บท
ตั้งค่า

๔ คนซาเบิ่ดบ้าน (ตกเป็นประเด็นคนทั้งหมู่บ้าน) (๑)

คนซาเบิ่ดบ้าน (ตกเป็นประเด็นคนทั้งหมู่บ้าน)

เวลาผ่านไปหลายนาทีร่างบางก็ยังคงนั่งกำชายกระโปรงแน่นโดยที่มืออีกข้างถือชั้นในชิ้นน้อยเอาไว้กัดริมฝีปากจนห้อเลือดเพราะแค้นใจที่ถูกล้วงล้ำเข้ามาภายในกายแม้จะไม่ได้ตกเป็นของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อย่างน้อยคนที่แสนเกลียดขี้หน้าก็ได้เห็นเรือนกายขาวผ่องจนหมด

ทว่านั่นยังไม่น่าแค้นใจเท่าหัวใจเจ้ากรรมดันคล้อยตามการกระทำนั้นอย่างน่าอับอาย อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเหลือเกิน ช่างไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทำตัวราวคนใจง่าย ใครจับจูงไปไหนก็ตามได้ง่าย

ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำใสไหลลงมาก่อนจะรีบเช็ดออกไม่อยากถูกเยาะเย้ย

“เลิกร้องไห้แล้วช่วยใส่เสื้อผ้าให้มันมิดชิดสักที เห็นแล้วทุเรศตา” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นขณะที่เอนกายพิงก้อนหญ้าอัด ปรายตามองคนที่เอาแต่นั่งหันหลังให้

“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย” อยากหันไปตะคอกเขาแต่ก็กลัวว่าตนเองจะต้องพบเหตุการณ์น่าอับอายอีกครั้งทำได้เพียงพึมพำในลำคอ แฝงกายอยู่ข้างหลังหญ้าฟางบรรจงใส่บราพร้อมสวมจีสตริงอย่างรวดเร็ว ไม่อาจรู้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเกิดอาการบ้าจับเธอปล้ำตอนไหน

มันไม่เหมือนที่คิดเอาไว้สักนิด ไม่ใกล้เคียงเลย.. ผู้ชายที่ควรอยู่ที่นี่คือชลธีสิ เจ้าของไร่แสนสุภาพไม่ใช่คนอย่างสัตวแพทย์จอมยโสจ้องแต่จะเล่นงานเธอ

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของพณณกร อารมณ์ที่คิดจะปลุกปั่นร่างบางย้อนกลับมาทำร้ายตนเองถึงแม้พยายามหายใจเข้าออกช้าๆ ก็ไม่เป็นผล เรือนกายขาวผ่องโผล่เข้ามาในความคิด ยิ่งยามเธอบิดตัวไปมา ครางเสียงหวาน ไหนจะดวงตากลมโตที่คลอด้วยน้ำใส

ไฟที่เป็นคนจุดขึ้นมาเองกำลังหันมาเล่นงานเขาเข้าเสียแล้ว ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังเอนแผ่นหลังพิงกำแพงพร้อมเนื้อตัวที่สั่นเทา ดวงตาเรียวมองเธอแล้วเห็นถึงอาการหนาวสั่นคงเพราะใส่ชุดที่ทั้งสั้นแถมยังบางแทบไม่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

..คงกะมาอ่อยชลธีเต็มที่สินะ

คิดแล้วก็รู้สึกปวดในอกแปลกๆ พยายามหันมองทางอื่นทว่าก็พบเพียงผนังเก่าๆ กับหญ้าเต็มไปหมด ไม่น่าพิสมัยเท่าร่างบางที่ส่องประกายท่ามกลางแสงไฟสีนวล

“ฉันแค่สงสารเธอหรอกนะ” บอกตนเองก่อนจะลุกขึ้นจากก้อนหญ้าแล้วนั่งลงข้างหล่อนอย่างเงียบเชียบ

จนคนที่หลับไม่ได้ยินหรือรับรู้ว่าเขาอยู่ข้างกาย ใบหน้าคมมองริมฝีปากเล็กซึ่งมีเลือดซึมออกมา คงเพราะโดนกัดตอนที่จูบกัน มือหนายกขึ้นหวังสัมผัสแต่ก็หยุดนิ่งไว้เพียงเท่านั้น

'ทำบ้าอะไรวะไอ้เอิร์ธ'

ถามตนเองแล้วหันหน้าหนีจากภาพตรงหน้าแล้วถอดเสื้อลายสก็อตออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามเท่านั้นแล้วนำมันไปห่มให้คนหลับลึก ไม่รู้สักนิดว่าการกระทำนั้นอ่อนโยนมากแค่ไหน

ภายในโรงเก็บหญ้าที่เงียบสงัดมีแสงไฟนวลส่องสว่างพอให้มองเห็นมีสองร่างเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความเหนื่อย ใบหน้าเล็กเอียงไปมาก่อนจะซบลงที่ไหล่หนาแล้วขยับเข้าหาเขาเพราะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นราวมีกองไฟอยู่ใกล้ตัว

เสียงเพลงที่เคยดังสนั่นถูกปิดลง..งานเลี้ยงสิ้นสุดพร้อมเข้าวันใหม่ที่จะมีประเด็นร้อนให้กล่าวขานภายในไร่รุ่งอรุณ

'ทำไมมาเยอะจังวะ’

เสียงจอแจดังขึ้นภายนอก จนคนที่หลับสนิทรู้สึกรำคาญก่อนจะซุกตัวเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่นมากกว่าเดิมจนแทบจะเกยบนตักเขาอยู่แล้ว

'ก็นายบอกว่าอีกไม่กี่วันมีแข่งม้าต้องดูแลอย่างดี กูเลยไปเกณฑ์คนงานมาช่วยขนหญ้า'

ชายหนุ่มรับรู้ถึงความนุ่มหยุ่นของร่างกายขาวผ่องจึงลืมตาขึ้นมอง คนที่ทำให้เขาตื่นแต่เช้าก็พบใบหน้าหวานห่างไม่ถึงเซนติเมตร รับรู้ถึงลมหายใจร้อนจนต้องยกยิ้มมุมปาก

ขี้เซาเหมือนกันนะเนี่ย..

'แล้วมึงจำเป็นต้องพามาสิบคนเลยเหรอวะ ถ้าคุณธีถามหาคนเก็บส้มจะบอกว่ายังไง'

ความจริงเขาน่าจะปลุกหล่อนเพราะได้ยินเสียงคนจากข้างนอกแต่ไม่รู้ทำไมถึงยังนิ่งเฉยนั่งจ้องใบหน้าหวานหลับตาพริ้มจนอดสำรวจไม่ได้

ดวงตากลมโตที่มักส่งค้อนเสมอ จมูกโด่งพอประมาณ คาดคะเนจากสายตาคงไม่ได้ศัลยกรรม ยิ่งเมื่อคืนได้สัมผัสด้วยริมฝีปากก็รู้ว่าของจริงแน่นอน ปากสีชมพูรสหวานที่ไม่อาจลืมได้จนอยากโน้มตัวเข้าไปมอบจุมพิตรับอรุณ ทว่าต้องยั้งตัวไว้เสียก่อน

'ก็บอกว่านายสั่งไง เรื่องโยนความผิดกูถนัด'

พณณกรพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้ร่างบางตื่นแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเสียงจากภายนอกกำลังปลุกเจ้าหญิงให้ตื่นจากนิทรา

'พวกมึงพูดเสร็จยังวะ รีบเปิดประตูได้แล้ว ข้าต้องรีบไปไร่องุ่นนะเว้ย'

'รู้แล้วลุง เปิดแล้วๆ'

เสียงที่ดังแว่วทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังนอนหลับค่อยๆ รู้สึกตัว

ประตูที่เคยถูกปิดตายจากด้านนอกถูกเปิดออกอย่างง่ายดายพร้อมแสงสว่างส่องเข้ามาภายใน จนบุลลาต้องยกมือขึ้นปิดใบหน้าหลับตาแน่น ยังไม่คุ้นชินกับความสว่าง

“เข้ามา..เลย นาย!”

คนงานกว่าสิบชีวิตยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อมองเห็นหญิงชายซึ่งคุ้นหน้าเป็นอย่างดีอยู่ลำพังกันสองคนในโรงเก็บหญ้าซึ่งถูกปิดตายจากด้านนอก อีกทั้งร่างบางยังเกยบนตักหนาอีกทั้งบนตัวก็มีเสื้อของพณณกรคลุมร่างกายไว้ด้วย ไม่ต้องจินตนาการเลยว่าคืนที่ผ่านมาจะเกิดอะไรขึ้น

บุลลาทำตัวไม่ถูก ความรู้สึกตอนนี้มันยิ่งกว่าอับอายที่ถูกล่วงเกินเมื่อคืนเสียอีก สายตาหลายคู่จับจ้องมายิ่งทำให้เธออยากร้องไห้เสียเดี๋ยวนี้ก่อนจะรีบลุกขึ้นกลั้นหายใจ ก้มหน้าวิ่งฝ่าฝูงชนออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ลืมแม้กระทั่งคืนเสื้อให้คนตัวสูง และลืมแม้กระทั่งรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งเอาไว้

ใบหน้าคมมองตามพร้อมยิ้มมุมปาก ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ ก็นึกเอ็นดูขึ้นมาเสียอย่างนั้น

เอ็นดูอย่างนั้นเหรอ..บ้าไปแล้วไอ้เอิร์ธ ผู้หญิงหน้าเงินแบบนั้นอย่าไปหลงกลเด็ดขาด

คนงานต่างมองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าจะจัดการกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไร เว้นเสียแต่คนที่สนิทกับสัตวแพทย์หนุ่มอย่างโอ้กับอาร์ต คู่หูจอมกะล่อนยิ้มกริ่มเดินเข้าไปหาเจ้านายพลางทำหน้าล้อเลียน

“ไอ้เราก็นึกว่านายหายไปนอนแต่หัววันซะอีก ที่แท้ก็...” เว้นเสียงก่อนจะโดนโบกเข้าที่หัวอย่างไม่ปรานีสักนิดทำเอาคนตัวเล็กแทบปลิวไปตามแรง ดีที่ยั้งตัวไว้ทัน

“อะไรของมึง จะมาเอาฟางไม่ใช่เหรอ จัดการไปสิ” ว่าจบก็เดินแทรกกลางกลุ่มงานที่พร้อมใจกันเปิดทางให้พณณกรเดินผ่าน

ใบหน้าคมไม่มีแววกังวลหรือความอับอายเลยสักนิด มีเพียงมุมปากที่ยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีแถมผิวปากมองมอเตอร์ไซค์ถูกจอดทิ้งเอาไว้เพราะเจ้าของเดินหนีไม่คิดชีวิต กว่าจะถึงหมู่บ้านก็ตั้งสามกิโลเมตร

..หวังว่าคงไม่หมดแรงไปก่อนนะ

“นายเอาเรื่องว่ะ” อาร์ตหันไปมองแผ่นหลังหนาแล้วยกนิ้วโป้งให้ ไม่คิดว่าคนสวยแห่งไร่รุ่งอรุณจะกลายเป็นผู้หญิงของสัตวแพทย์ภายในเวลาไม่ถึงเดือน

เสืออย่างไรก็เป็นเสือวันยังค่ำ แม้จะไม่ได้กินเหยื่อมาหลายเดือนแล้วก็ตาม

“เรื่องนี้ต้องขยาย!”

ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าจะปล่อยให้เรื่องร้อนแรงหายเงียบไปกับสายลมและโรงเก็บหญ้าไม่ได้ ประเด็นนี้จะต้องถูกกล่าวขานให้คนในไร่รับรู้อย่างทั่วถึง

และด้วยอำนาจของการพูดปากต่อปากภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน คนทั้งไร่รุ่งอรุณ&ฟาร์มสายรุ้งก็ทราบเรื่องทั้งหมด ซึ่งถูกบิดเบือนไปกว่าครึ่ง

“ได้ยินเสียงครางเลยเหรอวะ” กลุ่มคนงานเก็บส้มซึ่งพักเที่ยงเอ่ยถามป้าสมรที่เห็นเหตุการณ์เสียงตื่น

“เออสิ ครางลั่นเลยเอ็งเอ๊ย ข้าล่ะขนลุก” ลูบแขนไปมาพลางส่ายหน้า

จนคนฟังอ้าปากค้างเป็นแถว บุลลามาทำงานไม่กี่วันก็ขยับฐานะเป็นคู่นอนของสัตวแพทย์หนุ่มหล่อประจำไร่เสียแล้ว

การกระจายของข่าวรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงแต่ทุกคนก็เชื่อคำบอกเล่านั้นสนิทใ จทั้งยังเอาไปเล่าต่อจนตอนนี้แทบจะรู้ทั้งอำเภอแล้ว

พณณกรค่อนข้างเป็นที่รู้จักเพราะบุกเบิกไร่แห่งนี้มาพร้อมกับชลธี ทั้งข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้าต่างรู้จักเขา และรู้กิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของหนุ่มหล่อเช่นเดียวกัน เห็นไม่มีข่าวกับผู้หญิงมาหลายเดือนคิดว่าจะถอดเขี้ยวเล็บ ที่ไหนได้ดันมาชอบพอสาวสวยคนงานใหม่ของไร่เสียนี่

บุลลาไม่กล้าออกจากบ้าน ได้แต่ขังตนเองไว้ในห้องนอน กอดเข่ามองไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาเหม่อลอย เรื่องผ่านมาสองวันแล้วและรถมอเตอร์ไซค์ ก็จอดอยู่หน้าบ้านเนื่องจากมารดาเดินไปขับมาไว้หลังฟังเรื่องราวทั้งหมดจากบุตรสาวที่พร่ำบอกทั้งน้ำตา ถึงอยากจะดุด่าว่ากล่าวก็ทำไม่ลงเพราะรักลูกสาวเพียงคนเดียวมากเกินกว่าจะทำร้ายร่างกายได้

“บัวเอ๊ย ออกมากินข้าวได้แล้วลูก” ตะวันกำลังจะลาลับทำให้ฟ้าถูกทาด้วยสีส้มชวนมอง จากที่เคยส่องแสงเจิดจ้าจนไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าก็เหลือเพียงแสงสีส้มนวลให้มองโดยไม่ทำร้ายสายตา “บัว..ไปกินข้าวเถอะ” หล่อนแตะมือลงบนบ่าของลูกสาว

จนคนเหม่อลอยหันมามองแววตาไร้จิตวิญญาณ ลุกขึ้นเดินตามออกมาเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงจนมารดาสงสาร

“พี่บัวจ๋า มะลิปอกแอปเปิลไว้ให้พี่ด้วยนะ” หลานสาวเอ่ยอย่างเอาใจ รับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดตามประสาเด็กช่างสังเกตทั้งยังแอบฟังบานเย็นคุยกับบุลลาจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ขอบใจนะ” ฝืนส่งยิ้มแกนๆ ให้เด็กตัวเล็ก แล้วนั่งรับประทานอาหารเย็นซึ่งกินเหมือนแมวดม ข้าวแทบไม่พร่องจากที่ตักตอนแรกด้วยซ้ำ

คนเป็นแม่มองอย่างเป็นห่วง

“อิ่มแล้วเหรอบัว” นั่งไปสักพักก็รวบช้อนส้อมหยิบจานลุกขึ้นไปวางไว้อ่างล้างจาน จนคนแก่วัยเอ่ยถามสีหน้ากังวล บุตรสาวผอมลงกว่าตอนที่มาถึงบ้านเสียอีก

“ค่ะ” ทั้งยังถามคำตอบคำ

..อาการหนักกว่าที่คิดไว้เสียอีก

ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม คนที่ไร่ก็เอ่ยถามนางทุกวันถึงเรื่องราวของบุลลาจนต้องขึ้นเสียงใส่จึงยอมลดราวาศอกบ้างแต่ก็ยังไม่หายไปทั้งหมด คนไม่ชอบหน้าก็เอ่ยแซะว่าอยากถีบตนขึ้นมาถึงไม่ได้ชลธีแต่พณณกรก็มีภาษีดีไม่แพ้กัน อาจไม่เป็นเจ้าของไร่แต่ก็เป็นที่นับหน้าถือตา จนคร้านจะเถียงด้วยจำต้องปล่อยให้พูดกันไป ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น

ร่างบางซ่อนกายภายใต้ผ้าห่มผืนหนา น้ำตาไหลรินไม่อาจห้ามได้

..ทำไมคนแบบเธอต้องเจอเรื่องราวแบบนี้ร่ำไป ที่ต้องระเห็จตัวออกจากเมืองหลวงของประเทศก็เพราะข่าวลือมั่วซั่วว่าหล่อนขายตัวให้เสี่ยรุ่นราวคราวพ่อ หลังจากนั้นชีวิตที่เคยสงบก็อันตรธาน มีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามาทุกสิบนาทีพูดคุยถึงการซื้อตัวหล่อน บางคนเสนอมูลค่ากว่าหนึ่งแสนบาทด้วยซ้ำ

“บอกแล้วว่าอย่ามาเล่นกับคนอย่างฉัน ให้มันรู้ซะบ้างว่าเธอมันก็แค่เด็กหัดเดิน คิดจะเล่นงานฉันเหรอ รอชาติหน้าเถอะย่ะ” รุ่นพี่พริตตี้ซึ่งโดนเธอเล่นงานเดินมาพร้อมเพื่อนกลุ่มใหญ่แล้วรุมทำร้ายร่างกายจนมีแต่รอยฟกช้ำต้องนอนรักษาตัวที่ห้องกว่าหนึ่งสัปดาห์

พอไปแจ้งความก็ไม่มีอะไรคืบหน้า กล้องวงจรปิดเสียทั้งยังมีอำนาจมืดอีกต่างหาก เธอโดนไล่ออกจากงาน พยายามหาอาชีพอื่นทำเพื่อใช้หนี้ธนาคารที่ไปกู้มาก็ไม่มีที่ไหนรับ รู้ดีว่าเป็นเพราะการกลั่นแกล้งที่ไม่เลิกราของผู้หญิงคนนั้น..

นอกจากจะแย่งแฟนเธอแล้วยังราวีเรื่องงานอีก คงไม่ให้เธอได้ลืมตาอ้าปากได้ จนบุลลาตัดสินใจกลับมาบ้านด้วยสภาพนกปีกหัก หวังมารักษากายและใจค่อยกลับไปอีกครั้ง แต่แล้วการคืนถิ่นกลับสร้างบาดแผลให้มากขึ้นจากผู้ชายที่เธอเกลียด

..ใช่เธอเกลียดเขา

เกลียดที่สุด! ไอ้หมอเฮงซวย

บ้านไม้หลังเล็กชั้นเดียวถูกสร้างขึ้นท่ามกลางธรรมชาติสวยงาม ไม่มีบ้านหลังอื่นในละแวกนั้นราวเจ้าของต้องการปลีกวิเวกจากผู้คน ข้างหน้าเห็นเพียงทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ด้านหลังมีลำธารขนาดเล็กไหลผ่าน ข้างบ้านมีต้นมะขามสูงใหญ่ให้ร่มเงา ลมพัดเอื่อยจนทำให้คนร่างสูงซึ่งนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หลับสบายก่อนจะสะดุ้งตื่นเพราะมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาใกล้เขตที่พักของตนในเวลาพลบค่ำเช่นนี้

พณณกรลุกขึ้นมองคนมาเยือนด้วยแววตานิ่ง หากจำไม่ผิดหญิงวัยกลางคนร่างผอมมีใบหน้าซูบตอบทว่ายังคงไว้ซึ่งความงดงามเมื่อครั้งยังสาวไม่ผิดกับลูกแม้แต่น้อย

..น้าบานเย็น

“สวัสดีครับ” ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะเชิญให้พนักงานในไร่ขึ้นไปนั่งที่ชานหน้าบ้าน รู้สึกเกร็งเล็กน้อยเพราะคดีที่ทำไว้กับบุตรสาวของหญิงตรงหน้า ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเขาก็ไม่พบบุลลาอีกเลยราวเธอหายสาบสูญ

“น้าอยากมาพูดเรื่องของคุณกับบัว”

ไม่ผิดจากที่คาดการณ์เอาไว้เท่าไหร่ หากไม่ใช่เรื่องนี้จะมีเหตุอะไรให้คนที่แทบไม่ได้คุยกันมาพบเป็นการส่วนตัวขนาดนี้

“ครับ” ร่างสูงนั่งตรงข้ามผู้ใหญ่มีท่าทีอ่อนลงจากที่เคยเป็น ด้วยรู้สึกผิดต่อท่านที่ทำให้บุลลาได้รับความเสียหายทางชื่อเสียงและร่างกาย

“น้าจะไม่อ้อมค้อม คุณจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง”

แววตาของคนสูงวัยมีความเด็ดเดี่ยวและเอาเรื่องจนต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น ใครจะคิดว่าผู้หญิงที่มีลักษณะอ่อนหวาน เรียบร้อย ไม่ค่อยพูดยามจริงจังจะน่ากลัวเช่นนี้

“ผม..” คนต้นเรื่องนิ่งคิดเพราะหลายวันที่ผ่านมาเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับข่าวลือพวกนั้นที่กระพืออย่างรวดเร็วไม่อาจหยุดยั้งได้ คนงานชอบมองเขาแปลกๆ ก่อนหันไปยิ้มกริ่มให้กันจนอดโมโหไม่ได้ ใครจะคิดว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ ที่แม้แต่นายอำเภอยังเอ่ยแซว

“คนเสียหายคือผู้หญิง ลูกสาวน้าถูกตราหน้าว่ายอมทอดกายให้คุณทั้งที่มาทำงานไม่ถึงเดือน” พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เสียใจเอาไว้ยามได้ยินคนอื่นพูดเรื่องบุลลาเสียๆ หายๆ ใจคนเป็นแม่อยากจะเถียงแทน ทว่าเหมือนน้ำท่วมปาก พูดอะไรกลัวจะเข้าตัวจำต้องเงียบเอาไว้

“บอกหน่อยได้ไหมคะว่าคุณจะทำยังไง”

ตอนนี้เขากำลังรู้สึกเหมือนมีคีมมาบีบตัวให้ย่อลงไปเรื่อยๆ มันกดดันเสียยิ่งกว่าวินาทีที่ผลสอบเอ็นทรานซ์ประกาศเสียอีก

พณณกรสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกขวัญกำลังใจให้ตนเองแม้หาทางออกเรื่องนี้ยังไม่ได้ก็ตาม

“ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเองครับ” พูดไปทั้งที่ตนเองไม่รู้ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร

บางทีอาจใช้เงินปิดปากคนเหล่านั้นให้เรื่องซาลงไปตามกาลเวลา..แต่ว่ามันก็ผ่านมาหลายวันแล้วดูเหมือนคนงานยังพูดถึงอย่างสนุกปาก

“รับผิดชอบยังไง”

ความกดดันถูกส่งผ่านแววตาดุดันนั่นอีกครั้ง เคยคิดว่าบุคคลที่น่ากลัวสุดคือมารดาตอนนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว คนที่อยู่ตรงหน้าต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวหดลงกลับไปเป็นเด็กชายพณณกรนั่งอยู่ในห้องปกครองอีกครั้ง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel