ตอนที่ 3 ข้ามิอาจตอบรับได้
เพียงแค่นั้น พี่สาวนางก็รีบนำจดหมายนั้น ลนไฟทิ้งทันที โดยที่ยังไม่ทันได้เปิดอ่าน
“เอ๊ะ! พี่ใหญ่เหตุใดท่านจึงได้…”
“ชู่ว… เบาเสียงหน่อย อิ๋งเซี่ยยังอยู่ข้างนอก”
ฟางเยว่รู้สึกเสียดายยิ่งนัก เพราะนางเองก็อยากจะรู้ว่า ฉีอ๋องเขียนสิ่งใดเอาไว้ในจดหมาย แต่พี่สาวนางกลับเผามันทันทีเมื่อเห็น
“เยว่เอ๋อร์เจ้าฟังข้านะ นับจากนี้ไป ไม่ว่าฉีอ๋องอยากจะมอบสิ่งใด หรือพูดอะไรฝากกับเจ้ามา ก็อย่ารับอีกเป็นอันขาด”
“เพราะเหตุใดเจ้าคะ”
“เพราะว่าข้ากำลังจะแต่งงานกับอวี้อ๋องแล้ว การรับจดหมายของชายอื่นเช่นนี้ เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะ ไม่สมควร”
“แต่ท่านกับอวี้อ๋องผู้นั้น ยังมิได้แต่งงานกันสักหน่อย เหตุใดจึงให้เกียรติเขาถึงเพียงนี้ ท่านยังไม่ได้เปิดอ่านเลยด้วยซ้ำไป รู้ได้อย่างไรว่า พี่ตงหยางจะทำให้ท่านเสื่อมเสีย”
“เด็กโง่ ต่อไปเจ้าจะเข้าใจเอง สตรีเรายึดถือหลักให้เกียรติบุรุษ แม้จะยังไม่ได้แต่งงาน แต่การรับจดหมาย หรือแม้แต่ความช่วยเหลือเพียงน้อยนิดจากชายอื่น ก็ถือว่าไม่ให้เกียรติว่าที่สามี เพราะฉะนั้นข้าจึงรับจดหมาย หรือเงื่อนไขใด ๆ ของฉีอ๋องไม่ได้แล้ว”
“เช่นนี้แล้วข้าจะไปบอกเขาอย่างไรกัน”
“เจ้ารู้สินะว่า เขาต้องการอะไร”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน ในจดหมายเขียนสิ่งใดก็ไม่รู้”
"ต่อให้ไม่มีข้อความในจดหมาย แต่เจ้าก็ต้องเคยคุยกับเขา ใช่หรือไม่"
ฟางเยว่ปฏิเสธไม่ได้ นางได้แต่พยักหน้าตอบกลับไป
“พี่ตงหยางอยากพบท่านเป็นการส่วนตัว สักครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ”
“เจ้าเข้าใจหรือยังว่า เหตุใดพี่ต้องทำเช่นนี้ หากว่าพี่เปิดอ่านจดหมาย ก็เท่ากับยอมรับนัดของเขา แต่ถ้าไม่เปิดอ่านและทำลายทิ้ง เท่ากับว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง ครั้งหน้าหากมีโอกาสพบเขาอีก ก็บอกไปตามตรง เขาจะไม่ถามเจ้าอีก หรือบางที… เขาอาจจะรู้เร็ว ๆ นี้แล้วก็ได้”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ดีแล้วเด็กดี คืนนี้อยากจะนอนกับพี่หรือไม่ เหมือนตอนเด็ก ๆ”
“อื้อ อยากเจ้าค่ะ ข้านอนได้ใช่หรือไม่”
"ได้สิ มาเถอะเข้านอนกัน"
“พี่ใหญ่ ท่านจะไปเมืองอวี้โจวแล้วจริงหรือ ข้าคงเหงาแย่เลย”
“รอให้เจ้าได้คู่ครองที่ดีและรักเจ้า ต่อไปก็จะไม่คิดถึงพี่แล้ว”
“ไม่จริงหรอก ข้าไม่รักใครนอกจากพี่สาวของข้า กอดหน่อย ๆ”
ไม่เอาน่าเด็กดื้อ ข้าจักจี้นะ นอนดี ๆ สิ"
สองพี่น้องนอนคุยกันจนหลับไป ท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ที่ดังออกมาจนสาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูอดยิ้มไม่ได้
สามวันถัดมา / จวนฉีอ๋อง
พระราชโองการสมรสถูกประกาศออกมา หลังจากวันนั้นฉีอ๋องก็ไม่ออกจากจวนอีกเลย เขาขังตัวเองอยู่แต่ในจวน ฟางเยว่รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ นางตั้งใจจะเข้าไปพบเขา เมื่อเห็นหน้านาง ฉีอ๋องดีใจและรีบวิ่งเข้ามาหานางทันที แม้แต่ฟางเยว่ก็ยังตกใจ
“กู้ฟางเยว่! เจ้ามาได้เสียที ข้ารอเจ้ามาหลายวันแล้ว ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“พี่ตงหยาง ท่าน… อดนอนอีกแล้วหรือเพคะ”
“นั่นไม่สำคัญ เรื่องที่ข้าฝากให้เจ้าทำ ตกลงว่านางตกลงหรือไม่ แล้วเหตุใดนาง… ไม่มาด้วยเล่า หรือว่านางจะนัดไปพบข้าที่อื่น หรือว่านาง…”
“ท่านอ๋องเพคะ! ใจเย็น ๆ ก่อนเถิดเพคะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าไม่ได้ให้จดหมายกับนางไปงั้นหรือ”
“ข้า!”
ฉีอ๋องหันมา สายตาของเขาน่ากลัวมาก ทั้งแดงก่ำ เต็มไปด้วยความโกรธ และเดินเข้ามาหานาง พร้อมกับเขย่าตัวอย่างแรง
“เหตุใดเจ้าทำเช่นนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่เอาจดหมายให้นาง”
“คุณหนูเจ้าคะ ช่วยด้วย!”
เจาตี้รีบตะโกนให้คนช่วย ไม่นานองครักษ์ของท่านอ๋อง “อู่เกิง” ก็รีบวิ่งมาแยกทั้งสองออกจากกัน
“ท่านอ๋องพระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูกู้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“หลีกไป! ข้าจะคุยกับนาง พวกเจ้าออกไปให้หมด”
ฟางเยว่หันไปมองทั้งคู่ และพยักหน้าให้ทันที แม้ว่าจะกลัวเขาอยู่บ้าง แต่ที่สุดแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ฉีอ๋องก็ต้องยอมรับความจริงในวันนี้ให้ได้อยู่ดี
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้นาง แต่ว่าพี่ใหญ่ไม่สามารถมาพบท่านได้อีกแล้ว นางให้ข้ามาบอกท่านว่า อย่าได้หวังอะไรกับนางอีกเลย”
เฉินตงหยางนิ่งอึ้งไป ราวกับถูกกดทับด้วยก้อนหินที่หนักอึ้ง เขาทรุดลงที่เก้าอี้
“พี่ตงหยาง”
“นางไม่อยาก… พบข้างั้นหรือ เช่นนั้นเรื่องที่นางจะอภิเษกกับอวี้อ๋อง ก็เป็นเรื่องจริงสินะ”
“จริงเพคะ อีกสิบวันจะถึงกำหนดพิธีอภิ….”
“หุบปาก! ข้าไม่อยากฟัง ได้ยินหรือไม่ว่าไม่อยากได้ยิน ไม่อยากฟัง!”
“ท่านปล่อยข้านะ ใจเย็น ๆ ก่อนสิ กรี๊ด!”
ผลัก!
ฉีอ๋องหันมาจับนางสะบัด จนร่างบางกระเด็นไปที่พื้น เขาโมโหจนควบคุมสติไม่ได้ราวกับคนบ้า ฟางเยว่รู้สึกปวดร้าวไปถึงขั้วหัวใจ ไม่คิดเลยว่าฉีอ๋อง จะชอบพี่สาวนางอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ในสายตาเขา ไม่มีนางเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อหันมาเห็นว่า กู้ฟางเยว่ล้มอยู่ที่พื้น เขาก็เริ่มได้สติ และรีบวิ่งเข้ามาพยุงนางทันที
“กู้ฟางเยว่ ข้าขอโทษนะ ข้า….”
“ท่านหลีกไปเถอะ ข้าลุกขึ้นเองได้”
“ข้าช่วยเจ้าเอง”
เขาจะเอื้อมมือออกไปคว้านาง แต่ฟางเยว่ที่ตกใจ น้ำตานองหน้า เป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็น เฉินตงหยางตกใจ มากกว่าตอนที่รู้ว่ากู้อันหลินไม่พบเขาเสียอีก
“กู้ฟางเยว่ ข้า…”
“ข้าแค่จะมาบอกท่านเพียงเท่านี้ ขอโทษด้วยที่ทำเรื่องที่ท่านไหว้วานเอาไว้ไม่สำเร็จ ท่านอ๋องโปรดรักษาพระวรกายด้วย”
“ฟางเยว่… กู้ฟางเยว่!”
นางวิ่งออกไปจากห้องของเขาแล้ว ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็รู้สึกว่า เหมือนมีบางอย่าง มากดทับที่หน้าอกของเขา เจ็บกว่าตอนที่รู้ว่า กู้อันหลินไม่ยอมมาพบเขาเสียอีก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
สามวันถัดมา
ฉีอ๋องนั่งอยู่ในห้องทรงงาน เขาเริ่มกลับมาทำงานได้แล้ว หลังจากเรื่องทุกอย่างผ่านพ้นไป เพียงแต่ว่ามีบางอย่าง ที่มันไม่เหมือนเดิม และทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
“อู่เกิง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ช่วงนี้ในจวน เงียบเหงาเกินไปหรือไม่”
“ในจวนหรือพ่ะย่ะค่ะ เงียบเหงาอย่างไร กระหม่อมก็เห็นว่าไม่แตกต่างไปจากทุกวัน”
“ข้าหมายถึง ช่างเถอะ ช่วงนี้กู้ฟางเยว่ไม่มาที่นี่บ้างเลยหรือ”
อู่เกิงถึงกับตกใจ และหันไปมองท่านอ๋อง ที่ทำเป็นขีดเขียนบางอย่างลงบนกระดาษ เมื่อถามหาคุณหนูรองสกุลกู้
“เอ่อ… ช่วงนี้ไม่เห็นเลยพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าคงจะช่วยงานที่จวน เตรียมเรื่องงานมงคล”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เขาเองก็ทราบเรื่องนี้ อีกหกวันก็จะถึงพิธีมงคลใหญ่ในเมืองหลวง ซึ่งจัดขึ้นที่จวนสกุลกู้ เขาเองก็ต้องไปร่วมงานด้วยเช่นกัน เพียงแต่การหายไปของกู้ฟางเยว่ ทำให้เขารู้สึกไม่ชินสักเท่าใดนัก
แม้ว่าจะเคยนึกรำคาญนาง และเคยหลบหลีกหนี แต่สุดท้ายก็ยอมพบเพราะเห็นว่า นางเป็นน้องสาวของกู้อันหลิน เขาสามารถถามเรื่องพี่สาวของนางได้ แต่พอฟางเยว่ไม่ได้มาที่จวนจริง ๆ ใจของเขากลับว้าวุ่นมากกว่าเดิม จนกระทั่งได้พบนางอีกครั้งที่งานสมรสพี่สาวของนาง
จวนสกุลกู้
"ยินดีด้วยท่านอ๋อง"
“ฉีอ๋องเสด็จ”
เมื่อท่านอ๋องเดินเข้ามา อวี้อ๋องก็เดินออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เขาเอ่ยแสดงความยินดีกับอวี้อ๋อง โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจได้อย่างน่าประหลาด เมื่อถึงเวลาที่เจ้าสาวเข้ามาในห้องโถง ตัวเขาก็มิได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่คิดเอาไว้ เพียงแต่ใบหน้าของกู้ฟางเยว่ ที่เดินถือพานมงคลมา ทำให้เขาอดตะลึงในความงามของนางไม่ได้
“นั่นคือ… กู้ฟางเยว่หรอกหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นคุณหนูรองสกุลกู้งั้นหรือ”
“ใช่แล้วล่ะ นางงดงามพอ ๆ กับพี่สาวเลยว่าหรือไม่”
“ข้าเห็นด้วย คิดว่าจวนสกุลกู้ คงจะมีข่าวดีอีกครั้งเร็ว ๆ นี้แหละ”
เพียงแค่ฉีอ๋องได้ยินดังนั้น ก็เริ่มกำหมัดขึ้นมา เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะเสียใจที่เห็นกู้อันหลิน แต่งงานกับชายอื่น แต่เขากลับไม่ได้โมโห เท่ากับการได้ยินผู้คน เอ่ยชื่นชมกู้ฟางเยว่ต่อหน้าเขา หรืออาจจะเป็นเพราะว่า เขายังรู้สึกผิด ที่เคยทะเลาะกับนางไปครั้งก่อน และยังไม่ได้ขอโทษนางเลยสักครั้ง
“กู้ฟางเยว่ คือว่า…”
“ถวายบังคมฉีอ๋องเพคะ”
“ข้า…”
“เชิญท่านอ๋องตามสบาย คืนนี้ในจวนยังมีงานอีกมาก หม่อมฉันอยู่รับรองพระองค์ไม่ได้ ต้องขออภัยด้วยเพคะ”