เมื่อแรกเริ่มก่อนซ่อน (ดวง) ใจ ปฐมบทของซ่อนดวงใจ ใต้รอยรัก ... ต่อ
“ใส่เสื้อก่อน ฝนยังลงเม็ดอยู่ เดี๋ยวไม่สบาย”
เธอรับเสื้อมาแล้วสวมคลุมไว้ทั้งตัว ค่อยปีนขึ้นไปนั่งค่อมเบาะ หลังตรงแน่ว เห็นเขาปรายตามองมาแล้วกระตุกยิ้มหน่อยหนึ่ง ยิ่งทำให้เธอคิดว่าผิดหรือถูกที่ยอมมาด้วยแบบนี้ เพราะปกติมัชฌิมาไม่ค่อยสุงสิงกับต่างเพศนัก เธอพอมีบ้างเพื่อนที่เป็นผู้ชาย แต่ก็น้อยเต็มที
เขาเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันได้ไม่กี่ครั้ง แต่เธอกลับให้ความไว้ใจเขายอมขึ้นรถมาด้วยหน้าตาเฉย แบบนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่เพราะเขาเล่นของ ก็เพราะเธอเองล่ะที่ใจกล้าเหลือเกิน
ชายหนุ่มขับช้าๆวนไปจนถึงที่หมายแล้วจอดให้เธอลงตรงตึกที่เป็นหอพักสำหรับนักศึกษาภายในรั้วมหาวิทยาลัย หญิงสาวตะกายลงจากรถได้ ก็เอ่ยปากบอก
“ขอบคุณมากค่ะ”
“พี่ชื่อธรรศ”
ได้ยินเขาแนะนำตัวเองก่อน ก็ชักกระดาก เธออึกๆอักๆเล็กน้อย ก่อนจะแนะนำตัวเองออกไปบ้าง
“เอ่อ...อุ่นค่ะ”
บอกชื่อตนเองแล้ว หันหลังขวับเดินดุ่มๆกลับเข้าหอพักทันที ด้วยความรู้สึกแปลกๆ คล้ายกับว่าหัวใจถูกสูบลมจนเต็มแล้วลอยละล่องขึ้นไปฟ้า ลมจะพาพัดไปทิศทางใดก็สุดจะทานมันได้ เดินขึ้นบันไดไปชั้นเดียวเลี้ยวตรงหัวมุมก็ถึงห้องพักของตนเอง เปิดประตูเข้ามาเห็นเพื่อนร่วมห้องนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือ เจ้าหล่อนเป็นรุ่นน้องของเธอชื่อ ‘นลินี’ มองสำรวจตรงๆก่อนจะถามขึ้น
“เป็นอะไรคะพี่อุ่น ทำไมพี่อุ่นหน้าแดงๆ”
“ไหน” มัชฌิมายกมือขึ้นจับแก้มตนเอง “หน้าพี่แดงเหรอ”
“แดงน่ะสิคะ” นลินีตอบแล้วเลิกสนใจ เอ่ยปากชวน “พรุ่งนี้เราออกไปซื้อของด้วยกันไหมพี่อุ่น”
มัชฌิมาเดินเอากระเป๋าไปวางยังที่ของตนเองบ้าง แล้วจึงพยักหน้า “ไปสิ ของใช้พี่หมดพอดีเลย”
สองสาวคุยเล่นกันอยู่ครู่ พอถึงเวลาเย็นก็แยกย้ายกันหามื้อเย็นกินด้วยกัน แล้วทำกิจวัตรของใครของมันต่อจนหมดวัน รุ่งขึ้นจึงพากันตื่นสายหน่อย แล้วออกไปห้างสรรพสินค้าใกล้ๆกับหอพักเพื่อหาซื้อของใช้ที่ขาดเหลือ ขณะหยิบของลงรถเข็น นลินีก็ชวน
“พี่อุ่นไปงานบายเนียร์ไหมคะ”
“ไม่รู้สิแต่พี่ว่าจะไม่ไป”
“อ้าว! ทำไมละคะ ทับทิมไปนะคะ อยากไปแสดงความยินดีกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว พี่อุ่นต้องไปนะคะ”
มัชฌิมายิ้มตอบ ไม่ได้ต่อความอะไร เพราะใจจริงเธอก็ยังห้าสิบห้าสิบอาจไปและอาจไม่ไปเท่าๆกัน จนเลือกซื้อของเสร็จ นลินีชวนต่อ
“งั้นพี่อุ่นไปช่วยทับทิมเลือกชุดหน่อยนะคะ”
มัชฌิมาไม่ได้ขัดอะไร เธอสองจิตสองใจอยู่กับเรื่องของงานบายเนียร์เลยเดินตามไปช่วยกันเลือกชุด เลือกจนได้ชุดที่ถูกใจแล้วจึงกลับหอพักด้วยกันในตอนเย็น
พากันเดินผ่านรั้วลอดผ่านเข้าไปตามทางลัดที่มีรุ่นพี่ทำเอาไว้ก่อนหน้า สองสาวก็ทะลุมาจนถึงหอพักในที่สุด เสียงเฮดังลั่นที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่พวกคณะวิศวะ ชอบมานั่งสรวลเสเฮฮากันอยู่นั้นดังกว่าทุกที ขณะเดินผ่านเสียงเรียกชื่อ ‘อุ่น’ ดังออกมาจากในวงนั้น มัชฌิมาคิดว่าตนเองคงหูแว่วไป จึงไม่ได้สนใจ เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ จนมีผู้ชายในนั้น ลุกออกมาจากโต๊ะ วิ่งเหยาะๆมาที่เธอ แล้วเรียก
“อุ่นครับ”
เธอชะงักไปนิดแต่ไม่ได้ขานรับอะไร
“มีแฟนหรือยังครับ”
มัชฌิมายืนเงียบ เมื่อถูกจู่โจมแบบไม่ให้ได้ตั้งตัวแล้วเสียงเฮก็ดังออกมาจากวงนั้นอีก เธอหันไปมองบ้างจึงประสานสายตาเข้ากับธรรศที่นั่งอยู่ในนั้นพอดิบพอดี แล้วเลยไม่ได้ตอบอะไรคนที่วิ่งมาถาม ตัดสินใจเดินหลบชายคนนั้นเพื่อกลับขึ้นห้องของตนเอง โดยมีสายตาของรุ่นน้องร่วมห้องที่มองตามมาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
“เสน่ห์แรงจริงๆเลยพี่เราเนี่ย” เสียงนลินีเปรยขึ้นเมื่อเดินจนมาถึงหน้าห้องพักแล้ว
“เสน่ห์แรงอะไรล่ะทับทิม” บอกปัดไปเสีย แล้วนลินีก็บอกขึ้นคล้ายชวนคุย
“เมื่อกี้พี่ธรรศก็นั่งอยู่ด้วยนี่คะ” คราวนี้มัชฌิมาหยุดเดินไปจังหวะหนึ่ง ถามอย่างไม่ให้ดูว่าสนใจมากไปนัก
“ทับทิมรู้จักด้วยเหรอ”
“รู้จักสิคะ ก็พ่อทับทิมเคยช่วยพี่ธรรศไว้ตอนที่พี่แกโดนเผาไล่ที่”
“สนิทกันเหรอ” เสียงถามที่แฝงความอยากรู้ทำให้นลินีต้องลอบยิ้ม ก่อนตอบออกไป
“ทับทิมกับพี่ธรรศ เราสนิทกันมากเลยล่ะค่ะ”
มัชฌิมากับเพื่อนที่ไปฝึกงานด้วยกัน ช่วยกันจัดของใส่ถุงเพื่อนำไปให้เด็กกำพร้า ที่ทางอาจารย์ฝึกงานของพวกเธอขอแรงอาสาในตอนบ่ายคล้อยก่อนเวลาเลิกเล็กน้อย หลังจากที่เจอธรรศที่หน้าหอพักนี่ก็ครบสัปดาห์พอดี เธอรู้เรื่องของธรรศจากนลินีมาบ้าง เช่นว่า เขาจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ไปหลายปี เคยทำงานในบริษัทเอกชนแต่ลาออกมาเพราะทัศนคติไม่ตรงกับกับหัวหน้างาน แล้วหันมาศึกษาและทำไร่พืชแบบผสมผสานในพื้นที่บ้านของเขาเองและดูท่าจะไปได้ดีเชียวละ เขายังลงทุนปลูกปาล์มในพื้นที่ที่ลงทุนซื้อเอาไว้อีกด้วย ทั้งหมดเธอไม่ได้เอ่ยปากถามแม้เพียงครึ่งคำ นลินีเล่าแต่เรื่องของธรรศจนเธอคิดว่านลินีนี่เก่งจริงที่เล่าจนเธอเห็นภาพชัดแจ้ง จนไม่ต้องไปเห็นของจริงๆแค่ฟังจากปากของนลินีนั่นก็เพียงพอแล้ว
“เรียบร้อยไหมเด็กๆ” เสียงอาจารย์ผู้คุมฝึกงานเดินเข้ามาถามเธอกับเพื่อน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“เดี๋ยวรถมา พี่ขอแรงพวกเขาขนของใส่ท้ายรถนะ... นู่นแน่ะมาพอดีเลย ตายยากจริงพูดถึงปุ๊บมาปั๊บ”
อาจารย์องุ่นผู้คุมฝึกงานเดินไปโบกรถให้ถอยเข้ามาจอดเทียบ แล้วเดินไปคุยตรงข้างประตูคนขับ ครู่เดียวประตูฝั่งคนขับก็เปิดออกมาพร้อมกับธรรศ
มัชฌิมาออกอาการประหม่าเล็กน้อยตอนที่เขาลงรถมาแล้วมองสบตากับเธอ เลยทำเมินๆมองไปยังของที่เตรียมเอาไว้สำหรับยกขึ้นรถ
“มา พี่ช่วย” เขาว่าตอนเดินเข้ามาสมทบแล้วและกลายเป็นธรรศคนเดียวที่ขนของทั้งหมดนั่นขึ้นรถ
“เด็กๆจะไปกับพี่ไหม พี่เอาของไปให้เด็กกำพร้าที่บ้านครูอัญ” อาจารย์องุ่นชวนอีกรอบ จากตอนแรกสุธิตาว่าจะไม่ไป อ้างจะกลับหอไปอ่านหนังสือ แต่แล้วกลับลำเปลี่ยนใจเฉยเลย
“ไปค่ะ”
“ดีดี เดี๋ยวขากลับพี่แวะส่งที่หอ” อาจารย์องุ่นยิ้มหวานบอก
ทั้งหมดจึงพากันขึ้นรถสี่ประตูของธรรศ อาจารย์ผู้คุมฝึกงานของเธอเป็นหญิงสาวร่างเล็กที่คล่องไปทุกสิ่งอย่าง บทจะตลกแกก็ตลกเหลือหลาย แต่เวลาเข้มเอาจริงขึ้นมาก็พอตัวเหมือนกัน
