ตอนที่ 20 การคัดเลือกผู้นำสำนักสูงสุดวันแรก
วันต่อมา
ณ บริเวณลานพิธีการคัดเลือกผู้นำเจ้าสำนัก ในลานกว้างมีบรรดาศิษย์ของแต่ละสำนักยืนเรียงแถวอย่างพร้อมเพรียงฝั่งซ้ายสุดคือสำนักวายุทลายสวรรค์ เครื่องแต่งกายเป็นสีม่วงดำ ถัดมาคือสำนักพฤกษชาติแต่งกายด้วยเครื่องแบบสำนักสีเขียวขี้ม้าสลับดำ ตรงกลางคือสำนักกาลพิภพแต่งกายด้วยชุดสีน้ำตาลเข้ม ถัดมาคือสำนักเพลิงอัคคีศิษย์ในสำนักแต่งกายด้วยชุดสีแดงเลือดหมู และสุดท้ายคือสำนักวารีหยกที่แต่งกายด้วยชุดสีฟ้าขาว ทุกสำนักแต่งกายแตกต่างกันเพื่อขณะที่ทำประลองสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน
ซูเชี่ยวลอบสังเกตไปที่หน้าลานพิธีที่ถูกยกสูงขึ้น มีเจ้าสำนักทั้ง 5 กำลังนั่งอยู่ฝั่งซ้ายสุดคือเจ้าสำนักวายุทลายสวรรค์มีนามว่าหม่าซิ่วลั่วอายุราวๆ 50 ปีไว้หนวดยาวประมาณ 1 คืบแต่เสื้อผ้าหน้าผมกลับดูสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยบนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มและดูอารมณ์ดีตลอดเวลา
ถัดมาคือเจ้าสำนักพฤกษชาติฮุ่ยเจินอายุประมาณ 60 กว่าปี ถึงแม้อายุจะมากแล้วแต่หน้าตาก็ยังดูหนุ่ม และร่างกาย เเข็งแรงเป็นอย่างมาก สมกับสำนักที่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาและสมุนไพร ตรงกลางคือเจ้าสำนักกาลพิภพลู่หลิงอันอายุราวๆ 40 ปลายๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูสุขุมและใจดี ต่อมาคือเจ้าสำนักเพลิงอัคคีเย่วชือวันนี้เขาสวมชุดสีเดียวกันกับศิษย์ในสำนัก หน้าตาหล่อเหลาอย่างเคยด้วยดวงตาและสีผมที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา และสุดท้ายคือเจ้าสำนักว่าวารีหยกลี่หยางวันนี้ลี่หยางแต่งกายด้วยชุดสีดำอย่างที่สวมเป็นประจำ นั่งด้วยท่าทางที่ดูสง่าผ่าเผย หน้านิ่งไม่แสดงอาการอะไรออกมาเหมือนเคย
ซูเชี่ยวมองไปที่เจ้าสำนักเพลิงอัคคีอีกครั้ง “นั้นเขานิ ที่เเท้เขาคือเจ้าสำนักเพลิงอัคคีอย่างนั้นหรือ ไม่น่าล่ะเขาถึงได้รู้จักเจ้าสำนักลี่หยาง” ตั้งแต่พบเจอกันครั้งแรกเย่วซือเพียงแค่แนะนำชื่อของเขาเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใคร ถ้าหากเจ้าตัวไม่เอ่ยปากบอกเอง นางก็ไม่อยากที่จะเสียมารยาทถาม
นางจึงคิดว่าเขาเป็นแค่เพื่อนของเจ้าสำนักวารีหยกลี่หยางเท่านั้น เย่วซือรู้สึกถึงสายตาที่มองมาเขาจึงมองไปทางซูเชี่ยวที่ยืนอยู่ด้านหน้าแถวของศิษย์สำนักวารีหยก และยิ้มให้พร้อมขยิบตาให้นาง 1 ทีเพื่อเป็นการทักทาย
“เชิญเจ้าสำนักทุกท่านเปิดพิธีการคัดเลือกผู้นำสำนักสูงสุดขอรับ” เสียงบ่าวที่เป็นคนจัดการพิธีกล่าวขึ้นเสียงดังฟังชัดเจ้าสำนักทั้ง 5 ลุกขึ้นจากที่นั่งจากนั้นเริ่มปลดปล่อยพลังภายในของตัวเองออกมา พลังของแต่ละคนแตกต่างกัน ของเจ้าสำนักวายุทลายสวรรค์คือแสงสีฟ้า สำนักพฤกษชาติคือสีเขียว สำนักกาลพิภพคือสีเหลือง สำนักเพลิงอัคคีคือแสงสีแดง และสำนักวารีหยกคือแสงสีขาว เจ้าสำนักทั้ง 5 คนปล่อยพลังเป็นเเสงขึ้นบนท้องฟ้า จากนั้นไม่นานเเสงทั้ง5 สีก็ชนกันจนเกิดเสียงระเบิดดังก้องกังวานไปทั่ว นั้นคือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการมีอยู่ของทั้ง 5 สำนักและเพื่อเป็นสัญญาณให้ศิษย์ทั้ง 5 สำนักเริ่มทำการประลองได้
คณะกรรมการในการตัดสิน รวมถึงคนที่คอยตรวจสอบการประลองว่ายุติธรรม เป็นคนของในวังหลวงเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตขณะทำการประลอง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ อาวุธต่างๆ ล้วนเป็นของจากวังหลวง สิ่งที่เเตกต่างกันของแต่ละสำนักคือธาตุพลังภายใน
“การประลองในวันนี้คือการยิงธนู หากสำนักใดยิงตรงเป้าได้น้อยที่สุดในเวลา 1 ชั่วยาวจะถือว่าตกรอบในการคัดเลือกทันที” เสียงของบ่าวชายประกาศข้อกำหนดในการประลองรอบแรก และมีบ่าวอีก10 คนเข้ามาแจกคันธนูคนละอัน รวมถึงลูกธนูคนละ 3 ดอก ดอกธนูจะมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างในแต่ละสำนักเพื่อให้ง่ายต่อการนับคะแนน นั้นหมายความว่าหากศิษย์คนใดคนหนึ่งถึงแม้จะเก่งกาจ ยิงธนูแม่นตรงเป้า 3 ครั้งแต่ถ้าหากศิษย์คนอื่นๆ ยิงไม่ตรงเป้าก็อาจจะไม่ชนะในครั้งนี้ เมื่อผลคะแนนที่ได้นำมารวมกัน
ศิษย์ในแต่ละสำนักที่ได้รับคันธนูและลูกธนูแล้ว เดินออกไปเพื่อประจำที่ของตัวเองแต่แล้วก็ยังไม่เห็นคนเอาเป้าธนูออกมา
“แล้วเป้าธนูที่จะให้พวกข้ายิงล่ะขอรับ” เสียงของศิษย์สำนักกาลพิภพตะโกนออกมา จากนั้นบ่าวชาย20กว่าคนปล่อยพลังสีฟ้าขึ้นบนท้องฟ้า เกิดเป็นอุโมงค์ใหญ่ขึ้นสูงนกที่บินอยู่ในอากาศที่อยู่ภายนอกอุโมงค์ไม่สามารถบินเข้ามาได้จากนั้นปล่อยนกจำนวนมากออกมาจากกรงขังและแน่นอนว่านกพวกนั้นไม่สามารถบินออกไปจากอุโมงค์นี้ได้เช่นกัน
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร” เจ้าสำนักพฤกษชาติลุกและเอ่ยขึ้น
“เรียนเจ้าสำนัก เป้าที่ว่าคือนกพวกนี้ขอรับ” บ่าวชายที่คอยประกาศกฎกติกาพูดขึ้น เจ้าสำนักพฤกษชาติจึงนั่งลงด้วยอารมณ์หงุดหงิด ส่วนเจ้าสำนักวายุทลายสวรรค์กลับยกชาขึ้นดื่มด้วยอารมณ์ดีพร้อมยิ้มที่มุมปาก ศิษย์ทุกคนที่ได้ยินก็ต่างหน้าซีดเผือดหากเป็นการยิงธนูปกติพวกเขาที่ฝึกฝนจนชำนาญย่อมไม่พลาดเป้า แต่ถ้าหากเป็นนกพวกนั้นนอกจากจะไม่อยู่นิ่งกับที่แล้วยังเคลื่อนที่รวดเร็วอีกด้วย
ฟิ้ว~~~
เสียงธนูที่ถูกยิงออกไปกลางอากาศของสำนักกาลพิภพพุ่งออกไป แต่กลับไม่โดนตัวของนกที่กำลังบินอยู่
ฟิ้ว~ ฟิ้ว~ ฟิ้ว~ จากนั้นเสียงธนูของสำนักอื่นๆ ก็ยิงตามออกไปแต่กลับไม่ถูกเลยสักตัวเช่นกัน ตอนนี้ศิษย์สำนักอื่นๆ มีสีหน้าดำคร่ำเครียดออกมาตามๆ กัน เพราะไม่ว่าจะยิงอย่างไรก็ยังไม่มีผู้ใดยิงถูกนกสักตัว
ฟิ้ว~~ ฉึก!
เสียงของลูกธนูสำนักวายุทลายสวรรค์ยิงถูกนกเป็นตัวเเรก ทำให้ศิษย์ทุกสำนักมองไปที่เขาเป็นตาเดียว สำนักแต่ละสำนักมีความสามารถเฉพาะตัวอย่างเช่นสำนักพฤกษชาติที่ชำนาญด้านการแพทย์และรักษา ส่วนศิษย์สำนักวายุทลายสวรรค์ได้เปรียบเรื่องความเร็ว แค่การใช้ธนูยิงนกความแม่นและความว่องไวมีโอกาสกว่าร้อยละหกสิบว่าจะยิงโดนเป้า เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วแต่ละสำนักยกเว้นสำนักวายุทลายสวรรค์ยิงโดนนกไม่ถึงสำนักละ10ตัวด้วยซ้ำ ซูเชี่ยวที่ไม่มีแรงแม้แต่ดึงสายธนูจะไปยิงถูกเป้าได้ยังไง นางไม่กล้าที่จะใช้พลังภายในออกมาเพื่อที่ดึงสายธนูจึงได้ยิงออกไปไม่ถึง 2 เมตรด้วยซ้ำ ตอนนี้ศิษย์สำนักอื่นๆ ต่างยิงดอกธนูลูกสุดท้ายแล้วส่ายหน้าเมื่อยิงไม่โดน ซูเชี่ยวเดินมานั่งพักตรงร่มไม้เล็กๆ กับเจียอี่และเจียวซิ่น ตอนนี้ศิษย์ในสำนักวารีหยกปรึกษากันว่าจะเหลือธนูดอกสุดท้ายเอาไว้จนกว่าจะหาวิธีที่จะยิงถูกนกเหล่านั้นได้ถึงค่อยลงมือ ซูเชี่ยวนั่งสังเกตการณ์ยิงธนูของสำนักวายุทลายสวรรค์ ว่าเหตุใดจึงยิงตรงเป้าได้มากมายขนาดนั้น หญิงสาวสังเกตไปสักพักก็เริ่มเข้าใจถึงวิธีการดังกล่าวจึงเรียกเจียวซิ่นเข้ามาใกล้เพื่อให้ดูวิธีการ เจียวซิ่นที่เห็นดังนั้นก็ตาลุกวาวและบอกให้เจียอี่ฟัง หากเจียอี่ไปบอกวิธีการยิงของคนในสำนักทุกคนอาจจะเชื่อมากกว่านาง ขณะนี้คนในสำนักวารีหยกเดินมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือ
“เจ้าแน่ใจหรือไม่ พวกเราเหลือแค่อีกคนละดอกเท่านั้น” ศิษย์ชายที่ได้รับให้เป็นผู้นำในการประลองจากรองเจ้าสำนักเฟยซิ่นกล่าวถามอีกครั้ง
“ข้าจะลองยิงให้พวกเจ้าดูก่อน หากไม่เชื่อ” จากนั้นเจียอี่หยิบลูกธนูดอกสุดท้ายและเพ่งเล็งจากนั้นปล่อยออกไปพร้อมพลังภายในที่ส่งออกไปด้วย ลูกธนูที่พุ่งไปไม่ได้พุ่งไปที่ตัวนกโดยตรง แต่ยิงในทิศทางที่คิดว่านกจะบินไป
ฉึก!!
เสียงธนูปักที่ปีกของนกตัวนั้นและหล่นลงมาที่พื้น บ่าวที่ทำหน้าที่ดูแลการประลองครั้งนี้วิ่งไปเก็บนกมาไว้ที่ด้านหน้าลานพิธีรวมกับนกที่ยิงได้ก่อนหน้าของสำนักวารีหยก จากนั้นทุกคนในสำนักวารีหยกก็ทำตามของเจียอี่ทันที
ฟิ้ว~ฉึก! ฟิ้ว~ฉึก!
เสียงลูกธนูที่พุ่งออกไปของสำนักวารีหยกล้วนพุ่งไปถูกนกที่บินอยู่แทบทุกดอก ศิษย์ที่เห็นว่าตัวเองยิงถูกก็ต่างพากันดีใจ เมื่อศิษย์สำนักอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นก็ต่างพากันทำตามแต่ก็เหลือลูกธนูไม่มากแล้ว จึงได้เพิ่มมาเเค่สำนักละ4-5 ตัวเท่านั้นคันธนูที่อยู่ในมือของซูเชี่ยวยังไม่ถูกใช้ ถึงนางจะรู้วิธีแล้วแต่ก็ไม่สามารถยิงออกไปได้อยู่ดี ทำเพียงยิงออกไปมั่วๆ ลูกธนูพุ่งออกไปได้ 2 เมตรก็ตกลง
ฉึก! เสียงลูกธนูปักไปที่พื้นตรงพุ่มไม้
จิ๊บๆ ~
เสียงดังกล่าวออกมาจากพุ่มไม้ที่หญิงสาวยิงเข้าไปสักครู่ เจียวซิ่นที่ได้ยินเสียงนั้นจึงรีบวิ่งไปดู พบว่าเป็นนกตัวเล็กที่บินมาแอบหลบบริเวณพุ่มไม้พอดี
“ซูเชี่ยวเจ้ายิงโดนนก” เจียวซิ่นตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมชูมือที่จับปลายธนูที่ตอนนี้ธนูปักที่ปีกของมันไว้
“ข้ายิงโดนเหรอ” ซูเชี่ยวยังไม่เชื่อว่าตัวเองที่ยิงทิ้งมั่วๆ แต่ไปโดนนกได้ก็ถามออกมาและกระโดดด้วยความดีใจ ลี่หยางมองไปที่ 3 คนตอนนี้ที่กำลังกระโดดกอดกันร้องด้วยความดีใจที่ซูเชี่ยวยิงธนูโดนนกก็ยิ้มที่มุมปาก
เสียงกลองดังขึ้นเพื่อเเสดงว่าตอนนี้หมดเวลาในการประลองรอบแรกแล้ว ศิษย์ทุกสำนักต่างเดินกลับมาที่ลานหน้าพิธี
“ข้าจะประกาศผลของการประลองรอบแรก” บ่าวชายคนหนึ่งผู้ขึ้นและนำผลการตรวจนับมากางตรงหน้า
“สำนักพฤกษชาติยิงตรงเป้า 27 ตัว สำนักวายุทลายสวรรค์ยิงตรงเป้า 65 ตัว สำนักเพลิงอัคคียิงตรงเป้า 30 ตัว สำนักกาลพิภพยิงตรงเป้า 24 ตัว สำนักวารีหยกยิงตรงเป้า 48 ตัว” สิ้นเสียงหลังจากประกาศคะแนนมีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของสำนักที่ผ่านเข้ารอบไป บ่าวที่จัดการพิธีทำท่าให้เสียงสงบลงและกล่าวต่อว่า
“ยินดีกับสำนักที่ผ่านเข้ารอบ และเสียใจกับสำนักกาลพิภพด้วย เชิญเจ้าสำนักกาลพิภพกล่าวอะไรสักเล็กน้อย”
“การแข่งขันย่อมมีผลแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา ข้าขอแสดงความยินดีกับสำนักที่ผ่านเข้ารอบด้วย” เจ้าสำนักกาลพิภพลู่หนิงอันลุกขึ้นกล่าวด้วยสีหน้าประดับรอยยิ้ม จากนั้นทุกสำนักก็แยกย้ายกันกลับกระโจมของตัวเองเพื่อพักผ่อนและทำการประลองในวันพรุ่งนี้ต่อ
“ข้าขอนกตัวนั้นได้หรือไม่” ลี่หยางถามบ่าวชายที่กำลังนำนกที่ถูกยิงออกไป และชี้ไปที่นกตัวที่ถูกซูเชี่ยวยิงโดนที่ปีกแต่ยังไม่ตาย หลังจากที่ทุกคนออกไปกันหมดแล้ว
“ได้ขอรับเจ้าสำนักวารีหยก” บ่าวชายพูดพลางยื่นนกตัวนั้นให้ลี่หยาง จากนั้นจึงเดินออกไป
ด้านซูเชี่ยววิ่งกลับมาที่ลานพิธีอีกครั้งด้วยอาการหอบ
“ขออภัยข้าขอนก 1 ตัวได้หรือไม่” ซูเชี่ยวพูดพลางชี้นิ้วไปที่กองนกที่ถูกยิงของสำนักวารีหยก
“ได้ขอรับ” บ่าวชายตอบและถอยห่างให้นางเลือก นางหาไปสักพักแต่กลับไม่พบนกที่นางยิงได้ จึงได้ถอดใจและเดินคอตกกลับมาที่กระโจมพัก
