ตอนที่ 8
ต้นยามเหม่า ขอบฟ้าทอประกายสีทอง เสียงสกุณาเจื้อยแจ้วแว่วอยู่ไกลๆ ปลุกให้คนที่กำลังหลับฝันลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับวันใหม่ เมื่อหลี่อี้เทียนปรือเปิดตาก็พบว่าด้านข้างมีเพียงความว่างเปล่า ท่าทางเขาคงสะสมความอ่อนเพลียไม่น้อย คนทั้งคนปีนข้ามไปยังไม่รู้สึกตัว
“อ้าว ท่านพี่ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”
คนที่กำลังนึกถึงเปิดประตูเข้ามาพอดิบพอดี ในมือถืออ่างใส่น้ำใบเล็กพร้อมผ้าสำหรับเช็ดหน้าอีกผืน
ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะแถวนั้น
“ท่านล้างหน้าล้างตาก่อนนะเจ้าคะ ข้าต้มข้าวไว้ อีกประเดี๋ยวจะยกมาให้”
“ลำบากเจ้าแล้ว”
“ไม่ลำบากหรอกเจ้าค่ะ มันเป็นหน้าที่ของข้า”
ครอบครัวหลินมีกันอยู่สี่คน สองสามีภรรยาอยู่ไม่ค่อยติดบ้าน หาเอาตามบ่อนแลจะพบตัวได้ง่ายกว่า การดูแลเรื่องภายในบ้านจึงตกเป็นงานของหลินจื้ออิงมาตั้งแต่อายุได้สิบขวบปี ยามนี้ก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะปัดกวาดเช็ดถูหรือจัดเตรียมสำรับอาหาร ย่อมเป็นสิ่งที่ภรรยาอย่างนางพึงกระทำ หน้าที่ไม่ต่างจากเดิม เปลี่ยนแค่เพียงแวดล้อมเท่านั้น
กล่าวจบหญิงสาวก็เดินออกประตูเพื่อไปยังห้องครัว หลี่อี้เทียนล้างหน้าบ้วนปาก ยกผ้าขึ้นซับหยาดน้ำเสร็จเป็นจังหวะเดียวกับที่คนตัวเล็กกลับเข้ามาพอดี ข้าวต้มเกลือควันกรุ่นพร้อมรับประทานวางลงคู่กับชิงช่ายผัดน้ำมัน
“น้องหญิงเก็บผักมาจากที่ไหนหรือ?” ชิงช่ายในจานมีสีเขียวไร้ใบเน่าเสีย สภาพเหมือนผักสดใหม่มากกว่าของเหลือทิ้ง
“ข้าออกไปดูข้างนอก เจอแปลงผักตรงโน้นเลยเก็บกลับมาเจ้าค่ะ เอ่อ ของไว้ขายหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“น้องหญิงอย่ากังวล เพราะข้าก็จำไม่ได้เช่นกัน”
หลี่อี้เทียนแย้มยิ้มน้อยๆ เพราะไม่อยากให้อีกคนคิดมาก หลังจบมื้ออาหารเขาตั้งใจออกเดินสำรวจแถวนี้เสียหน่อยว่าที่ทางเป็นอย่างไร
“ท่านยังเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
หลินจื้ออิงรู้สึกผิด เมื่อวานมัวใส่ใจแต่กับพิธีการ จนเผลอลืมไปว่าผู้เป็นสามีสูญเสียความทรงจำเพราะโดนโจรทำร้ายเมื่อสัปดาห์ก่อน
“มีปวดหัวอยู่บ้าง แต่ข้าไม่เป็นไรแล้ว มากินข้าวกันดีกว่า”
เมื่อผู้เป็นสามีจับตะเกียบ หลินจื้ออิงจึงค่อยเริ่มรับประทานบ้าง สำรับบนโต๊ะมีเพียงกับข้าวหนึ่งอย่าง และข้าวต้มเกลือคนละถ้วย เรียบง่ายสมฐานะชาวนายากจน กระนั้นอดีตซูเปอร์สตาร์ก็หาได้คิดน้อยเนื้อต่ำใจ แค่มีหนึ่งสมองกับสองมือ เขาจะต้องพลิกฟื้นชีวิตให้ดีกว่านี้
คิ้วของหลี่อี้เทียนเลิกขึ้นเมื่อคีบชิงช่ายเข้าปากไปหนึ่งคำ มองเผินๆ จานตรงหน้าเป็นแค่ผัดผักธรรมดา ยุคนี้ไม่มีเครื่องปรุงสำเร็จรูป ทว่ารสชาติของมันกลับอร่อยเกินคาด
“รสชาติดีทีเดียว”
“จริงหรือเจ้าคะ?”
ใบหน้าผู้ถามเรียบนิ่ง หากแต่แววตาแสดงออกซึ่งความปลาบปลื้ม นอกจากน้องสาวแล้ว บิดามารดาไม่เคยชื่นชมหรือให้กำลังใจนางสักครั้ง หลินจื้ออิงคิดมาตลอดว่าทั้งหมดคือหน้าที่ แม้ไม่ได้คาดหวังมาก่อนแต่เมื่อได้ยินประโยคชมเชยจึงอดดีใจไม่ได้ ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยันแล้วกินต่อ ไม่ถึงสองเค่อมื้อเช้าก็ลำเลียงลงกระเพาะอาหารพวกเขาจนหมด
“น้องหญิง เดี๋ยวข้าขอออกไปสำรวจละแวกนี้สักหน่อย”
“ข้าขอตามท่านไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ข้าคงไปนาน เจ้าจะไม่เหนื่อยหรือ?”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าแข็งแรง”
ด้วยยังไม่ทราบจุดหมายการสำรวจแน่ชัด รู้สึกเกรงใจหากจะพาคนที่ตื่นเข้าครัวแต่เช้าไปตะลอนอย่างไร้แบบแผน เมื่อเห็นนางยืนยันเช่นนั้นจึงไม่ขัดศรัทธา
