หออักษรจันทรา 1
เช้าวันใหม่
หลังจากทุกคนออกไปทำงานที่แปลงนาหมดแล้ว ซือหยาก็ถือโอกาสนี้เข้ามิติไป นางตรงเข้าไปยังห้องครัวที่กว้างขวางและเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย ในใจของนางตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวคือนางอยากทำอาหารที่สามารถตุ๋นทิ้งไว้ได้ตลอดทั้งวัน และอาหารที่เข้ามาในหัวของนางก็คือ พะโล้หมูสามชั้น
นางหยิบหม้อใบใหญ่ตั้งบนเตาแก๊ส ก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบหมูสามชั้นออกมาหลายชิ้น นางหั่นหมูสามชั้นเป็นชิ้นพอดีคำแล้วนำไปล้างให้สะอาด ก่อนจะนำหมูสามชั้นลงไปผัดในหม้อจนหนังหมูเริ่มเหลือง นางใส่เครื่องปรุงรสพะโล้และส่วนผสมอื่น ๆ ลงไปผัดจนเข้ากัน
แล้วเติมน้ำเปล่าลงไปจนท่วมหมู ตั้งไฟกลางแล้วปล่อยให้ตุ๋นไปเรื่อย ๆ จนมั่นใจว่าไฟจะไม่ไหม้หม้ออย่างแน่นอน ก่อนจะออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก
จังหวะที่ซือหยากำลังหาเสื้อผ้าที่จะใส่ นางก็สังเกตเห็นห่อผ้าเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้า นางหยิบมันขึ้นมาแล้วแกะออกดูข้างใน นางต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นก้อนเงินจำนวนมากที่ถูกห่อไว้ด้วยผ้าเช็ดหน้าสีแดง
ในห่อผ้านั้นมีเงินอยู่ถึง 70 ตำลึง ซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับครอบครัวชาวนาในชนบท เงินเหล่านี้มาจากหยางเฉิงที่ล่าหมูป่าและสัตว์ป่าเข้าไปขายให้ร้านอาหารในเมือง รวมไปถึงหนังสัตว์ที่มีราคาสูง
"อื้อฮือ 70 ตำลึง นี่มันเงินที่ท่านพี่ล่าสัตว์ไปขายทั้งนั้น ยังกล้าคิดจะเอาไปใช้กับผู้ชายคนอื่น เป็นผู้หญิงใจบาปจริง ๆ"
ซือหยาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ในใจของนางรู้สึกทั้งโกรธและอยากด่าตนเองในอดีต พลางคิดว่าเงินก้อนนี้นางต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ ถึงจะต้องเสียไป นางก็จะใช้จ่ายกับคนในครอบครัวเท่านั้น
พูดจบซือหยาก็หาถุงย่ามใบเก่ามาเตรียมไว้ ส่วนเงินก้อนนั้นนางก็เอาออกมาเพียง 2 ตำลึง ส่วนที่เหลือก็เก็บเข้ามิติเพื่อความปลอดภัย นางใส่เงินลงในถุงย่ามแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเรียบร้อย นางปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าเมืองลั่วสุ่ยทันที
เส้นทางจากหมู่บ้านไปยังเมืองลั่วสุ่ยไม่ไกลนัก ซือหยาต้องเดินเท้าไปตามทางเดินดินแดงที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ นางเดินไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนแรงของยามสาย
นางมองไปรอบ ๆ ตัวเองแล้วก็เห็นแต่ทุ่งนาและแปลงข้าวโพดที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา บรรยากาศสงบร่มเย็น นางเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางได้เห็นว่าเมือง ลั่วสุ่ย แห่งนี้เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนเดินไปมาก็มีร่างกายที่แข็งแรง ใบหน้ายิ้มแย้ม
แต่สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คือ อีก2 เดือนข้างหน้าเมืองนี้จะกลายเป็นแอ่งบาดาล ขนาดตอนนี้ฝนยังไม่ตกก็มีน้ำมาก แม่น้ำ2 สายมาบรรจบที่เมืองทางทิศใต้แห่งนี้ เมื่อถึงวันที่พายุฝนห่าใหญ่พัดถล่ม ผู้คนจะล้มตายเป็นเบือ
ซือหยาได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป นางไม่อยากคิดถึงเรื่องที่เลวร้ายอีกแล้ว สิ่งที่นางต้องทำตอนนี้ก็คือหาวิธีหาเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะพาครอบครัวของนางหนีไปจากเมืองนี้ให้ได้
ราว ๆ 2 เค่อ (30 นาที) ก็มาถึงเมืองลั่วสุ่ย
เมื่อเดินเข้ามาในเมือง ซือหยาก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ผู้คนเดินซื้อของอย่างคึกคัก นางได้ยินบรรดาพ่อค้าร้องเรียกลูกค้า แต่ละร้านต่างก็แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
"ข้าวขาวจินละ 6 อีแปะ! ข้าวกล้องจินละ 4 อีแปะ! ข้าวฟ่างจินละ 2 อีแปะ! เชิญเข้ามาดูก่อนขอรับ ไม่ซื้อไม่ว่ากัน แต่ถ้าซื้อเยอะร้านเรายังมีส่วนลดให้ด้วย พลาดไม่ได้!"
เสียงของพ่อค้าขายข้าวตะโกนเรียกลูกค้าเสียงดังลั่น ซือหยามองดูข้าวในร้านแล้วก็ต้องประหลาดใจกับราคาที่ถูกมาก ค่าแรงของคนงานในยุคนี้วันละ 20-30 อีแปะ สามารถซื้อข้าวได้หลายจินทีเดียว
"เกลือจินละ 7 อีแปะ! ซีอิ๊วไหละ 10 อีแปะ! ถั่วต่าง ๆ ก็ราคาถูก! เชิญเข้ามาดูก่อนแม่นาง!"
เสียงของพ่อค้าเครื่องปรุงตะโกนเรียกลูกค้าไม่หยุด ซือหยามองดูเครื่องปรุงในร้านแล้วก็รู้สึกดีใจที่ราคาไม่แพงอย่างที่คิด
"ขนมถั่วกวนชิ้นละ 4 อีแปะ! ซื้อ 3 ชิ้นเพียง 10 แปะเท่านั้น!" เสียงของเถ้าแก่ร้านขายขนมก็ตะโกนขายอย่างไม่ย่อท้อ
"ถังหูลู่...ถังหูลู่...ถังหูลู่มาแล้ว เจ้าหนูเอาถังหูลู่หรือไม่ หวานอร่อยแน่นอน" เสียงของพ่อค้าถังหูลู่ก็เรียกขายให้กับเด็ก ๆ ที่เดินมากับพ่อแม่
"เสื้อผ้าสำเร็จรูปชุดละ 200 อีแปะ! เชิญเข้ามาดูก่อนเจ้าค่ะ! ร้านเรามีผ้าเข้าใหม่มากมายหลายแบบหลายสี ของดีทั้งนั้น เชิญเลยเจ้าค่ะ"
เสียงของคนงานร้านผ้าก็ตะโกนขายอย่างแข็งขัน
ซือหยาเดินดูจนทั่วตลาดแต่ก็ยังไม่รู้ว่านางจะทำอะไรเพื่อหาเงินเก็บไว้ ถึงนางจะมีเสบียง แต่เงินเพียง70 ตำลึงนี้ก็ไม่เพียงพอที่จะซื้อที่อยู่ใหม่ ถึงจะมีครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอางที่พอจะทำเงินได้ แต่การตั้งร้านในตอนนี้ก็ไม่เหมาะ
อีกอย่าง...เมืองนี้ส่วนมากมีแต่ชาวบ้านรากหญ้าเสียส่วนใหญ่ จึงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของนาง หากต้องย้ายจากเมืองลั่วสุ่ยไป นางก็ต้องหาวิธีเตรียมที่พักเอาไว้ก่อนที่น้ำท่วมจะมาถึง ก่อนที่ราคาค่าเช่าจะพุ่งสูง นางเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางได้ยินแม่ค้าร้านซาลาเปากับร้านบะหมี่คุยกัน
"บ้านเมืองสมบูรณ์ก็ดี แต่พอของมีมากก็ต้องขายราคาถูก ไม่อย่างนั้นก็ขายไม่ได้ ลูกค้าก็มีทางเลือกเยอะ"
แม่ค้าร้านซาลาเปากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า
"ใช่...คนที่หาเงินง่ายที่สุด โดยไม่ต้องลำบาก...เห็นทีจะมีเพียงนักเล่านิทานเท่านั้น ใครเล่าได้ดีก็จะถูกเชิญไปเล่าที่หอสุรา ไม่ก็เหลาอาหาร ทั้งได้ดื่ม ได้กิน ได้เงิน ไม่เหมือนพวกเรา"
แม่ค้าร้านบะหมี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายปนอิจฉา
"ก็ใครใช้ให้เราทำไม่ได้เหมือนพวกเขาล่ะ"
แม่ค้าร้านซาลาเปากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย ตอนนี้การค้าของนางแม้จะขายในราคาที่ถูกแสนถูก แต่ก็ยังหาเงินได้ไม่คุ้มค่าเหนื่อย
คำพูดของพวกนางทำให้ซือหยาเกิดความคิดใหม่ผุดขึ้นมาในหัว นางหยุดเดินแล้วยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ เหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาในหัวของนาง ใบหน้าเรียวมีรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
"จริงด้วย...สมัยเรียนมัธยมปลายข้าเคยแต่งนิยายเพื่อหารายได้เสริมนี่นา ขายเขียนที่แต่งไว้ก็มีตั้งหลายเรื่อง"
ในหัวของนางพลันคิดถึงเรื่องราวในอดีตชาติ เมื่อครั้งยังเรียนมัธยมปลายจนจบมหาวิทยาลัย นางได้เขียนนิยายหลายเรื่องเพื่อส่งตัวเองเรียนจนจบ การเป็นเด็กกำพร้าทำให้นางต้องดิ้นรนทุกทาง
กระทั่งมาเจอกับสามี ครอบครัวของเขาเป็นนักธุรกิจ แม้ตัวเขาจะเป็นทหาร แต่พ่อแม่พี่น้องของเขาก็ดึงนางเข้าสู่วงการ ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ
ความคิดของซือหยาทำให้หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น นางรู้แล้วว่าเป้าหมายของนางคือที่ไหนกันแน่ นางจึงมุ่งหน้าไปที่ร้านหนังสือทันที...
