สายตาของเจ้ามองแม่ด้วยความเกลียดชัง 1
เสียงจักจั่นร้องแว่วเป็นระยะ แสงตะวันส่องผ่านกอไผ่ข้างศาลาไม้หลังเล็ก จนเกิดเงาไหววูบไหวบนพื้นดิน
ซือหยาเดินเข้ามาใกล้ศาลานั้นทีละก้าว มือทั้งสองหอบตะกร้าอาหารหนักอึ้งไว้แน่น ร่างบางในชุดผ้าฝ้ายธรรมดามีเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผาก แต่ริมฝีปากยังคงยกยิ้มละมุน
สายตาของทุกคนในตระกูลเสิ่นหันมาจับจ้องด้วยความแปลกใจ เพราะตั้งแต่เข้ามาเป็นสะใภ้ นางไม่เคยแม้แต่จะย่างกายมายังแปลงนาเลยสักครั้ง
แม่เฒ่าเสิ่นกำลังนั่งปอกฝักข้าวโพดกับหลาน ๆ พอเห็นสะใภ้เล็กหิ้วของมาสองมือก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ เดินตรงมาหาสะใภ้เล็กแล้วช่วยนางถือของ
"ซือหยา ถืออะไรมาเยอะแยะเลยลูก วางก่อน ๆ เดี๋ยวแม่ช่วยเอง" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอ็นดูปนประหลาดใจ
ซือหยาค้อมศีรษะ วางตะกร้าลงอย่างนอบน้อม
"ข้าทำกับข้าวมาให้ทุกคนกินตอนร้อน ๆ เจ้าค่ะท่านแม่ วันนี้มีไข่ตุ๋นมาให้เด็ก ๆ ด้วยเจ้าค่ะ"
แม่เฒ่าเสิ่นเอื้อมมือจับบ่าของนางเบา ๆ
"เห็นเจ้าใส่ใจเด็ก ๆ แบบนี้แม่ก็ดีใจ มาเถอะ แม่จะช่วยเจ้าจัดโต๊ะเอง"
อี้หมิง ลูกชายคนโตที่นั่งเก็บข้าวโพดอยู่ข้างเจาตี้ ลูกของสะใภ้รอง แววตาคมกริบยกขึ้นมองมารดาด้วยความไม่เชื่อใจ ใบหน้าเรียบนิ่งราวกับผู้ใหญ่ ทั้งที่ยังเป็นเพียงเด็กชายวัยเพียงสามขวบ
ต่างจากอันหมิงน้องชายตัวน้อย ที่กำลังชะเง้อมองไข่ตุ๋นในตะกร้าด้วยดวงตากลมใส จนเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากจนมุมปากมีน้ำใส ๆ ไหลริน
ไม่นาน เสิ่นหยางเฟิงกับเสิ่นหยวนอีผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ เสิ่นเซียวลูกชายวัย 15 ปี และเสิ่นหยางรุ่ยกับเสิ่นเหรินซินผู้เป็นสะใภ้รอง รวมถึงเสิ่นหยางเฉิง ต่างก็เดินขึ้นมาจากแปลงนา ถึงเหงื่อไหลอาบแก้ม แต่แววตาก็ยังหันมามองตะกร้าอาหารอย่างสนใจ ทุกคนไปล้างมือที่คลองส่งน้ำข้างศาลา ก่อนจะทยอยมาล้อมวงเตรียมกินข้าว
ขณะนั้น เสิ่นเหรินซินยืนกอดอก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ เอ่ยเสียงประชดประชันดังขึ้นทันที
"กิน ๆ ๆ รู้จักแต่กิน งานการไม่รู้จักทำ อย่างเดียวที่ทำได้ดีก็คือมีลูกชายสองคน ทำอาหารฟุ่มเฟือยขนาดนี้คงไม่ใช่หาเรื่องจะขอเงินไปซื้ออาหารเพิ่มหรอกนะ รสมือก็ไม่ได้เรื่อง ทำไปก็เสียของเปล่า ๆ"
เสียงนั้นทำให้บรรยากาศอบอ้าวเงียบงัน ซือหยาชะงักไปเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็ตั้งสติได้ นางหันไปสบตากับเหรินซิน นัยน์ตาเรียบสงบ แต่ลึกซึ้งอย่างคนที่ผ่านผู้คนมากเล่ห์มาในระดับหนึ่ง
"วันนี้ข้าตั้งใจทำกับข้าวมาให้ทุกคน ส่วนใครที่ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินก็ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่บังคับ ที่ผ่านมาข้าเอาเปรียบทุกคน ไม่เคยช่วยงานในแปลงนา จากนี้ไปข้าจะรับผิดชอบงานในเรือนทั้งหมด ทำกับข้าว ซักผ้า หาบน้ำ ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง"
ถ้อยคำหนักแน่นของนาง ทำให้ทุกคนในที่นั้นอึ้งเงียบไปชั่วครู่ การที่ซือหยาจะอาสาทำงานมากมายขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก
"อั๊ยหยา! จะทำแบบนั้นได้ยังไงสะใภ้สาม" แม่เฒ่าเสิ่นเอ่ยเสียงอ่อน มือเหี่ยวย่นลูบไหล่นางเบา ๆ แฝงความเป็นห่วง
เสิ่นหยวนอีสะใภ้ใหญ่ผู้มีน้ำใจก็รีบเอ่ยเสริม
"นั่นสิน้องสะใภ้ งานมากมายขนาดนั้นจะทำคนเดียวได้อย่างไร ทำทั้งวันก็คงไม่เสร็จ เอาเป็นว่าเราช่วยกันทำเถอะ"
น้ำเสียงนางอ่อนโยนจนคลายบรรยากาศตึงเครียด
"เหอะ! ทำเป็นพูดดี ข้าว่าพี่สะใภ้ใหญ่ต้องดูนางให้ดีเถอะ ถ้านางทำอาหารฟุ่มเฟือยแบบนี้ เงินที่พวกเรามอบเข้ากองกลางครอบครัวละ 100 อีแปะคงไม่พอ ไม่แน่นางอาจแอบเอาไปให้มู่ไต้คนนั้น แล้วมาขอเงินเพิ่มก็ได้" เหรินซินหัวเราะหยัน
หยางเฉิงกับลูก ๆ ที่นั่งฟังอยู่ แม้ไม่ได้พูด แต่แววตาก็คล้ายเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
"ข้ายอมรับว่าที่ผ่านมาข้าทำตัวไม่ดี ข้าถึงได้ขอโอกาสเริ่มต้นใหม่ หากทุกคนไม่ลองให้โอกาสข้าดูสักครั้ง จะรู้ได้อย่างไรว่าผลจะเป็นเช่นไร หากนี้ข้าทำได้ไม่ดี ข้าจะยอมลงชื่อในหนังสือหย่าที่ท่านพี่เขียนขึ้น แล้วออกจากบ้านนี้ไป"
ซือหยาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ เสียงของนางหนักแน่นจนแม้แต่สายลมก็เหมือนเงียบฟัง พ่อเฒ่าเสิ่นรีบยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ
"เอาเถอะ ๆ พ่อกับแม่ให้โอกาสเจ้านะสะใภ้สาม ส่วนสะใภ้รอง อาหารมื้อนี้เจ้าก็ไม่ต้องกินหรอกนะ ดูท่าเจ้าคงมีพลังงานเหลือล้นจนพูดไม่หยุดปาก"
ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้คนรอบศาลาหลุดหัวเราะ เหรินซินหน้าขึ้นสี กัดฟันแน่น แต่ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก
