สายตาของเจ้ามองแม่ด้วยความเกลียดชัง 2
"ไปนั่งรอด้านโน้นเสีย ในแปลงนาก็ครั้งหนึ่งแล้ว" เสิ่นหยางรุ่ยรีบจับแขนภรรยา ก่อนจะลากนางไปนั่งเงียบอยู่ข้างศาลา
ทุกคนเริ่มล้อมวงกินอาหาร ซือหยาจัดวางถ้วยชามลงบนโต๊ะไม้ ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนสีเหลืองอ่อนโรยต้นหอม ปลาต้มผักดองในหม้อดินยังร้อนกรุ่น ควันขาวพวยพุ่ง กลิ่นเปรี้ยว เค็ม หวานคลุ้งจนชวนให้น้ำลายสอ ผักกาดขาวผัดหมูสามชั้นรมควันมีสีทองน่ากิน
"อื้อ ฝีมือเจ้าดีมากนะน้องสะใภ้" เสิ่นหยางเฟิงตักปลาขึ้นมาชิมคำหนึ่งก็ต้องร้อง
"ใช่ ๆ อร่อยกว่าที่ข้าทำอีก งั้นต่อไปนี้รบกวนน้องสะใภ้ทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเรากินด้วยนะ" เสิ่นหยวนอีหัวเราะน้อย ๆ
"เจ้าค่ะ ให้เป็นหน้าที่ของข้า อี้หมิง อันหมิง ลูกลองชิมไข่ตุ๋นฝีมือแม่ดูสิว่าชอบหรือไม่" ซือหยายิ้มพลางพยักหน้า
นางคีบไข่ตุ๋นเนื้อนิ่มใส่ถ้วยข้าวลูกชายทั้งสอง อันหมิงเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตากลมเป็นประกาย
"ขอรับท่านแม่"
เด็กชายตักเข้าปาก คำแรกก็ทำให้แก้มกลม ๆ พองขึ้น ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้าง
"เป็นอย่างไร เจ้ายังชอบไข่ตุ๋นที่แม่ทำให้กินเหมือนเดิมใช่หรือไม่?"
ซือหยาพูดออกมาอย่างลืมตัว นางไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหยางเฉิงกำลังจับพิรุธนางด้วยความสงสัย ทั้งที่นางไม่เคยทำกับข้าวให้ลูกกิน แต่ทำไมนางถึงพูดเหมือนเคยทำให้เด็ก ๆ กินมาก่อน
"อื้อ อร่อยขอรับท่านแม่ อันหมิงขอกินอีกได้หรือไม่"
"ย่อมได้" ซือหยาหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปทางลูกชายคนโต
"..."
"แล้วอี้หมิงล่ะลูก จะไม่ลองกินสักหน่อยหรือ"
อี้หมิงทำหน้าขรึม ไม่รับไข่ตุ๋นที่แม่ตักให้ แต่หันไปคีบผักกาดขาวเข้าปากแทน ท่าทางไม่ไว้ใจยังคงชัดเจน
ซือหยาสบตาลูกชายแล้วถอนใจ นางจึงหันไปมองเจาตี้ที่เอาแต่ก้มหน้าคีบผักด้วยความเกร็ง เพราะสายตาของมารดานางยังคงกดดันอยู่ ซือหยาจึงเอ่ยเสียงนุ่ม...
"เจาตี้กินเยอะ ๆ หน่อย เจ้าก็ต้องบำรุงร่างกายให้ดี เกิดเป็นผู้หญิงก็มีคุณค่า ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ ไม่ต้องไปฟังคำพูดไร้สาระเหล่านั้น อาสะใภ้ตักไข่ตุ๋นให้เจ้า วันนี้อาสะใภ้ได้นมวัวอุ่นร้อนมาให้เจ้ากับน้อง ๆ ด้วย เจ้าต้องเก็บท้องไว้กินด้วยนะ ดีหรือไม่"
คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของเจาตี้สั่นไหว น้ำตาคลอจนเกือบไหลออกมา
"ขอบคุณเจ้าค่ะอาสะใภ้"
ไข่ตุ๋นถ้วยใหญ่ถูกอันหมิง เจาตี้ และเสิ่นเซียวกินจนเกือบหมด อี้หมิงที่แรกเริ่มไม่สนใจ พอเหลือบตามองถ้วยไข่ตุ๋นที่ใกล้จะว่างเปล่าก็อดไม่ได้ที่จะคีบชิ้นเล็ก ๆ มาชิม ครั้นรสละมุนเข้าปาก เด็กชายก็ตาโตโดยไม่รู้ตัว มือเล็กรีบคีบเพิ่มใส่ถ้วยตัวเอง ทำเอาซือหยาเผลอยิ้มออกมาอย่างพอใจ
หยางเฉิงซึ่งตอนแรกนั่งนิ่งกลับตักปลาต้มผักดองเข้าปากครั้งแล้วครั้งเล่า รสกลมกล่อมทำให้ลืมแม้กระทั่งจะรักษาหน้าตัวเอง ซือหยามองแล้วหัวใจแอบอบอุ่น ‘ชาติที่แล้วเขาชอบกินปลา ชาตินี้ก็ยังเช่นเดิม’
หลังมื้ออาหาร หยวนอีกับลูกชายก็รีบเก็บถ้วยชามไปล้างที่คลองส่งน้ำ เสียงน้ำไหลเอื่อย ๆ ช่วยคลายร้อนจากแดดยามเที่ยงได้บ้าง
ซือหยาจึงหยิบกระบอกเก็บอุณหภูมิ เทนมอุ่นใส่ถ้วยแจกให้เด็ก ๆ ทั้งอี้หมิง อันหมิง เจาตี้ และอาเซียว ต่างก็ยกขึ้นดื่ม รสหวานละมุนทำให้รอยยิ้มเปื้อนเต็มใบหน้า พวกเขาไม่เคยได้ลิ้มรสนมสดที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน
"ลืมถามไปเลย หน้าผากของเจ้าเป็นแผลเช่นนั้นไปโดนอะไรมาเหรอสะใภ้สาม" แม่เฒ่าเสิ่นหันมาถามขึ้น
ยังไม่ทันที่ใครจะเอ่ย อันหมิงก็ก้มหน้าตัวเกร็ง มือเล็กกำชายเสื้อแน่นราวกับซ่อนความผิด
ซือหยามองเห็นแววตาลูกชาย พลันเข้าใจ นางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
"ข้าล้มหัวฟาดขอบเก้าอี้เพราะลื่นเปลือกกล้วยเจ้าค่ะท่านแม่ เป็นความสะเพร่าของอันหมิงที่กินกล้วยแล้วทำเปลือกหล่น ข้าเหยียบพลาดจึงล้มลงไป"
อี้หมิงหันขวับมามองทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ ‘ไหนว่านางจะเปลี่ยนไปแล้ว เหตุใดถึงยังโยนความผิดให้น้อง’
ซือหยาหันไปสบตาลูกชาย แววตานางแน่วแน่ราวกับอยากสอนสั่งให้ถูกทาง
"..."
"แต่ความผิดนี้อันหมิงไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ใครบาดเจ็บ เรื่องนี้ไม่นับเป็นความผิดโดยตั้งใจ แต่เป็นเพราะความสะเพร่า คนเราทำผิดควรกล้ายอมรับ มิควรหลบหลังผู้อื่น มีโกหกครั้งแรกก็จะมีการโกหกครั้งต่อไป"
คำพูดของนางก้องกังวาน ทุกคนที่นั่งอยู่พลันนิ่งเงียบ หันไปมองนางด้วยแววตาเปลี่ยนไป
"..."
"อี้หมิง สายตาของเจ้ามองแม่ด้วยความเกลียดชัง แม่ไม่โทษเจ้าที่อยากปกป้องน้อง แต่ถ้าวันนี้คนที่เหยียบเปลือกกล้วยไม่ใช่แม่ แต่เป็นท่านปู่หรือท่านย่า ด้วยร่างกายชราของพวกท่าน อาจจะทนกับบาดแผลไม่ได้เหมือนแม่"
"..."
"สิ่งที่แม่ต้องการบอกเจ้ากับน้องชาย คือ...การกระทำของเรา ไม่ว่าผลของมันจะดีหรือร้าย เราต้องกล้ายอมรับ ไม่ควรหลบหลังผู้อื่น อนาคตข้างหน้าพวกเจ้าต้องเติบโต ไม่มีใครปกป้องพวกเจ้าได้ตลอดชีวิต"
