บทที่ 7
“ไม่พอ” คำตอบของเขาช่างแสนเลือดเย็นจนทำให้เภตราจุกไปทั้งอกก่อนจะกล้ำกลืนน้ำตาลงคอ เพราะไม่อยากให้มันไหลออกมาประจานตัวเอง ในเมื่อเขาไม่เห็นค่าของมันเธอไปเก็บมาใส่ใจแล้วจะได้อะไร
ก่อนจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าเธอกำลังคาดหวังอะไรจากเขา อยากให้เขารับผิดชอบหรือขอโทษอย่างนั้นเหรอ เภตรายิ้มเหยียดตัวเองเล็กน้อยที่คาดหวังในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้
เพราะอยากสงบสติอารมณ์ตัวเองเช่นกันนั่นทำให้ภูเมฆลุกออกไปจากโต๊ะอาหารแล้วก้าวยาวๆ ตรงไปยังห้องทำงาน ทันทีที่ได้อยู่คนเดียวเภตราถึงกับถอนหายใจออกมาหนักๆ สายตามองไปยังโทรศัพท์มือถือพร้อมกับคำถามว่าเธอจะเอายังไงต่อจากนี้ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็มีเพียงต้องจำนนต่อเขา
เภตราไม่ได้โทรศัพท์หาที่บ้านแต่เลือกที่จะกลับมาบอกด้วยตัวเอง เพราะเธอมีของใช้ส่วนตัวที่ต้องกลับมาเอา ซึ่งภูเมฆก็ไว้ใจว่าเธอจะไม่ตุกติกพร้อมกับให้คนสนิทขับรถมาส่งและรอรับ โดยเหตุผลที่เธอบอกมารดาคือต้องบินไปดูงานที่ต่างประเทศด่วน แต่สิ่งที่มารดาซึ่งเวลานั้นอยู่บ้านเข้าใจกลับเป็นอีกอย่าง
“แม่ว่าก็ดีเหมือนกันนะที่ขิมจะบินไปดูลู่ทางก่อนจะย้ายไปใช้ชีวิตที่นั่นกับคุณณดล” ใจจริงร้อยแก้วไม่อยากให้ลูกสาวคนเล็กย้ายไปอยู่ต่างประเทศสักเท่าไหร่นักแต่ก็พูดแบบนั้นออกไปไม่ได้
“ค่ะ” เภตราเอ่ยรับอย่างกล้ำกลืน เพราะชีวิตของเธอเวลานี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่มารดาคิดแต่กำลังจะเดินลงนรกมากกว่า
“แล้วนี่จะไปกี่วัน”
“ยังไม่รู้ค่ะ แต่อาจจะนานหน่อย เรื่องงานที่บริษัทฝากคุณแม่บอกคุณพ่อพี่นพพี่บัวว่าไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงขิมก็จะทำงานและจะดูแลส่วนที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด” เภตราให้คำมั่นเพราะเธอเองก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน แม้จะยังไม่เต็มตัวเท่าพี่ชายพี่สาวก็ตามที
ด้วยความที่เธออายุห่างจากพี่ๆ หลายปี ทำให้มีช่องว่างที่กว้างพอสมควร เธอยังเรียนไม่จบแต่พี่ๆ ทำงานสะสมประสบการณ์มานาน รู้ว่าต้องทำอะไรในขณะที่เธอกำลังพึ่งเริ่มก้าว ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างแต่เธอจะพยายามทำให้เต็มที่
“โอเคๆ แม้จะฉุกละหุกไปหน่อยจนแม่ตั้งรับไม่ทันก็เถอะ เดี๋ยวแม่จะบอกทุกคนให้เองนะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ค่ะ ขิมไปก่อนนะคะ”
“จ้ะๆ เดินทางปลอดภัยนะลูก” ร้อยแก้วสวมกอดลูกสาวคนเล็ก เภตราพยายามยิ้มทั้งๆ ที่ใจนั้นร้องไห้ เธอลากกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านซึ่งทันทีที่คนสนิทของภูเมฆเห็นก็รีบกุลีกุจอลงมาช่วยถือ พร้อมกับยกเก็บในรถให้ทันที จากนั้นก็พาเธอกลับมาหาเจ้านาย
ระหว่างทางเภตราอยากโทรศัพท์หาพิงค์พลอยมาก เพราะถ้าเธอหายไปดื้อๆ โดยไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้เพื่อนสนิทต้องเป็นห่วงแน่และดูเหมือนพิงค์พลอยจะรู้ใจเพราะแค่เภตรานึกถึงอีกฝ่ายก็โทรมาทันที เพียงแค่ได้ยินเสียงเพื่อนสนิททำนบน้ำตาของเภตราก็แตก น้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาจนคุยกันไม่รู้เรื่อง
ต่อให้ภูเมฆจะกำชับว่าห้ามบอกใครแต่เวลานี้เภตราต้องการใครสักคนที่รับฟังและจะเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับ ส่วนพิงค์พลอยตกใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเภตรา เธอบอกให้เพื่อนรักใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ เล่า ซึ่งทันทีที่ได้ฟังอารมณ์ของพิงค์พลอยก็ทะยานขึ้นท้องฟ้าเหมือนจรวดทันที
“คุณบีมเป็นบ้าไปแล้วเหรอ แต่ที่ทั้งเลวทั้งบ้าทั้งชั่วคือไอ้ณดลนั่น อย่าให้เจอนะจะฟาดให้หน้าหงายเชียว” พิงค์พลอยไม่รู้ว่าจะด่าใครก่อนดี ถ้าไม่ได้ยินกับหูและเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวอย่างเภตรา เธอคงไม่เชื่อแน่ๆ ว่านั่นจะเป็นสันดานของณดล เธอเองก็โง่งมมองไม่ออกว่าเขาไม่ใช่คนดี แถมยังสนับสนุนให้เภตราไปรักอีกด้วย
“ฉันขอโทษนะ”
“ขอโทษฉันเรื่องอะไร”
“ก็ที่ฉันสนับสนุนให้เธอไปรักกับไอ้ผู้ชายเลวนั่นไง ในฐานะเพื่อนสนิทฉันควรมองคนให้ดีกว่านี้สิ” พิงค์พลอยสะอื้นเพราะเวลานี้เธอเองก็กำลังร้องไห้เช่นกัน เภตราเลยวัยเบญจเพสมาแล้วไม่ใช่หรือทำไมยังเจอเรื่องแย่ๆ หนักหนาสาหัสอย่างนี้อีก
“ไม่เป็นไร แค่เธออยู่ข้างๆ คอยปลอบฉันแบบนี้ก็พอแล้ว” เภตราปาดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มอีกครั้ง เมื่อได้ระบายความอัดอั้นที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ลืมตาตื่นออกไป แม้จะไม่ทั้งหมดแต่มันก็ทำให้ใจเธอเบาขึ้นพอสมควร
“แต่ฉันอยากทำมากกว่าปลอบใจ”
“ขอบใจนะพิงค์ เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”
“ถ้าไปถึงแล้วปักหมุดตำแหน่งที่อยู่ให้ฉันรู้หน่อยก็ดีนะ เคลียร์งานเสร็จฉันจะได้แวะไปหา”
“อือ”
“เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว สู้ๆ นะขิม ฉันเอาใจช่วย ยังไงคุณบีมก็ได้ชื่อว่าคนเคยรักกัน เขาคงไม่ใจร้ายใจดำทำร้ายเธอไปมากกว่านี้หรอก”
เภตราไม่ตอบอะไรมีเพียงเสียงถอนหายใจหนักๆ เท่านั้น พิงค์พลอยอยากสวมกอดเพื่อนเหลือเกิน แต่เวลานี้ทำได้เพียงแค่ส่งกำลังใจให้ผ่านเรื่องบ้าๆ พวกนี้ไปให้ได้
ขณะที่เภตราไปเก็บของที่บ้าน ภูเมฆก็ใช้จังหวะนั้นแวะเข้าไปหาบิดามารดาเช่นกัน เขาลงมากรุงเทพฯ ได้หลายวันแล้วแต่กลับไม่มีเวลาไปไหว้ท่านทั้งสองกระทั่งวันจะกลับ แถมโชคดีเพราะเจอน้องชายฝาแฝดคนที่สองอย่างภูตะวัน นายหัวสวนยางที่ภาคใต้ ส่วนฝาแฝดคนเล็กอย่างภูภูมินั้นน่าจะอยู่เหมืองทองที่ต่างประเทศ
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นฝาแฝดแต่ทั้งสามก็ไม่ได้มีหน้าตาที่เหมือนกันขนาดนั้น เพราะทั้งสามต่างก็มีจุดเด่นเป็นของตัวเอง แต่หลักๆ คือเรื่องหน้าตาที่หล่อเหลาไม่แพ้ใคร
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้พี่น้องทั้งสามคนอยู่คนละที่ละทาง เพราะมารดาพวกเขาเป็นสาวเหนืออ่อนหวานที่ตกหลุมรักกับหนุ่มใต้หน้าคมเจ้าของสวนยาง ครอบครัวมารดาทำธุรกิจอสังหาส่วนครอบครัวบิดาส่งออกยางพารา ส่วนเหมืองทองที่ต่างประเทศนั้นเป็นของคุณปู่
และวิธีเลือกว่าใครจะดูแลงานอะไรก็ง่ายๆ คือการจับฉลากวัดดวง ซึ่งผลที่ได้ก็ตรงกับใจทุกคนอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกได้ว่าถ้าไม่จับฉลากแล้วให้พูดพร้อมกันก็ไม่มีใครพูดซ้ำ
“จะกลับเหนือเมื่อไหร่” หลังร่วมโต๊ะกินมื้อเย็นกันเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินมานั่งจิบแอลกอฮอล์คุยกันในห้องนั่งเล่น ส่วนบิดากับมารดานั้นขึ้นห้องนอนไปแล้ว
“คืนนี้” ภูเมฆเอ่ยตอบน้องชายไป แม้เขาจะเกิดก่อนแค่ไม่กี่นาทีแต่ก็มีศักดิ์เป็นพี่ชายคนโตของน้องชายฝาแฝดอีกสองคน
“คืนนี้เลยเหรอ นึกว่าจะอยู่อีกหลายวัน”
“มีงานต้องเคลียร์”
