บทที่ 8
“ฉันก็มี งานเยอะท่วมหัว จนแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่น” แม้จะบ่นแต่ภูตะวันกลับไม่ได้มีสีหน้าหรือท่าทีเคร่งเครียด นั่นเพราะเขามีความสุขและสนุกกับงานที่ทำ
“เมื่อไหร่จะแต่งงาน” คำถามของภูเมฆทำเอาคนฟังเกือบสำลักเหล้าที่พึ่งดื่มเข้าไป
“คิดยังไงถึงถาม”
“เพราะฉันใกล้แล้วไง ถึงถามว่าเมื่อไหร่นายจะแต่งงาน”
“ถามจริง” ภูตะวันกะพริบตาปริบๆ นั่นเพราะไม่รู้มาก่อนว่าพี่ชายมีความรัก ที่รู้คืออกหักครั้งก่อนมันสาหัสจนเซไปหาเขาถึงภาคใต้ จากนั้นก็ดื่มเหล้าอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่หลายวัน พร่ำเพ้อถึงคนรักและวิธีการบอกเลิกที่สุดจะห่วยแตกให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก กว่าพี่ชายฝาแฝดจะตั้งสติได้เขาก็หมดค่าเหล้าไปหลายหมื่น
“จริง เจอกันครั้งหน้านายอาจได้อุ้มหลาน”
“ไวขนาดนั้น”
“ให้ทำไงได้ อายุก็เยอะขึ้นทุกวันอีกอย่างฉันไม่อยากถือไม้เท้าหรือนั่งวีลแชร์ไปงานแต่งงานลูก” ภูเมฆยักคิ้วให้น้องชายคนกลางเพราะตอนนี้พวกเขาอายุถึงวัยมีครอบครัวกันแล้ว เขารู้ว่าใครจะเป็นแม่ของลูก ต่อให้จะผ่านมากี่ปีความรู้สึกนั้นก็ยังไม่เคยเปลี่ยน
“นี่ก็อยากมีแต่ไม่มีเวลาให้คิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ จริงๆ อย่างมะรืนก็ต้องบินไปคุยงานที่จีน เสร็จจากจีนก็ต้องบินไปอเมริกาอีก” พอพูดถึงอเมริกาภูตะวันก็นึกถึงน้องชายคนเล็กที่ไม่ได้เจอหน้ากันเป็นปีๆ ขึ้นมา
“บินเป็นนก”
“แค่คิดก็สงสารผู้หญิง รักใครไม่รักมารักคนบ้างานไม่มีเวลาให้” ภูตะวันหัวเราะตัวเอง เขาอยากมีความรักและรอความรักที่ว่าอยู่ว่ามันจะโผล่มาเมื่อไหร่ รอแล้วรอเล่า รอจนขี้เกียจรอ ถ้าเกิดมาแล้วไม่มีคู่ก็แก่ไปแบบหล่อๆ ให้คนมีคู่อิจฉาก็ดีไปอีกแบบ
“รู้ว่าบ้างานก็เพลาๆ ลงหน่อย ระวังคุณแม่จะจับคู่ให้”
“ไม่มีทาง คุณแม่ไม่ทำแบบนั้นแน่” คนฟังแย้งทันทีเพราะถ้ามารดาจะจับคู่ให้จริงๆ ก่อนจะถึงคิวเขาต้องเป็นพี่ชายอย่างภูเมฆ เพราะรายนี่ก็โสด
“ไหนๆ นายก็ไปอเมริกาแล้วแวะไปหาบาสหน่อยก็ดี”
“อืม…ผมก็ตั้งใจจะไปอยู่เหมือนกัน” ภูตะวันเอ่ยรับ ก่อนที่ภูเมฆจะคว้าโทรศัพท์ออกมากดวิดีโอคอลหาน้องชายอีกคน แม้เวลาจะต่างกันหลายชั่วโมงทว่ากลับไม่ใช่อุปสรรค สองคนนั่งด้วยกันอีกคนโผล่หน้าผ่านโทรศัพท์ แต่อรรถรสในการพูดคุยก็ไม่ได้ลดน้อยแต่อย่างใด
เภตรากลับมาถึงบ้านของภูเมฆในเวลาไล่เลี่ยกับที่ชายหนุ่มกลับ พักกันไม่ถึงสิบนาทีก็ออกเดินทางต่อโดยจุดหมายปลายทางคือเชียงใหม่โดยมีลูกน้องคนสนิทขับรถให้ นอกจากทำหน้าที่ขับรถแล้วไตรยังเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวให้ชายหนุ่มอีกด้วย
ขณะอยู่บนรถเภตราเอาแต่นั่งนิ่งแต่ความคิดในสมองนั้นกลับยากเกินจะควบคุม เธอฟุ้งซ่านคิดไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ความเจ็บปวดมากมายถาโถมเข้าหาจนทำให้เธอซึมและภูเมฆก็สัมผัสได้
“คิดอะไรอยู่”
“เปล่าค่ะ”
“ให้เดาไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
“คุณเดาไม่ถูกหรอก”
“รู้ได้ไงว่าผมเดาไม่ถูก” คนอื่นเขาอาจเดาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่แต่ถ้าเป็นเภตราเขามั่นใจว่าเดาได้อย่างแม่นยำหรือไม่ก็เก้าสิบเปอร์เซ็นต์
“งั้นก็ลองเดาดู”
“ถ้าผมเดาถูกจะได้อะไร”
“ไม่ได้อะไร” เภตราอยากข่วนหน้าคนข้างๆ นัก ในเมื่อเขาได้ทุกอย่างไปจากเธอแล้วยังจะอยากได้อะไรอีก “แต่ถ้าคุณเดาผิดช่วยลบรูปที่ว่าให้ด้วย”
“โอเค จะให้แฟร์จริงๆ คุณต้องเขียนคำตอบก่อนว่ากำลังคิดอะไร เพราะถ้าผมตอบถูกแล้วคุณเฉไฉบอกว่าไม่ใช่ก็แย่สิ” ภูเมฆส่งไอแพดมาให้เภตรา หญิงสาวรับมันไปถือไว้แล้วเปิดออกจากนั้นก็เขียนลงไปว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ มั่นใจว่าภูเมฆไม่มีทางเดาได้แน่นอน
“ฉันเขียนเสร็จแล้ว คุณเดาได้เลย”
“คุณกำลังคิดว่าจะฆ่าณดลด้วยวิธีไหนถึงจะคู่ควร จะจับถ่วงน้ำหรือเอามีดกรีดแล้วเทเกลือลงไป ทุกอย่างในหัวคุณตอนนี้มีแต่เรื่องของณดล” เสียงทุ้มตอบกลับแทบจะทันที นั่นทำเอาเภตรานั่งนิ่ง ใจหนึ่งก็ยินดีที่ภูเมฆรู้ใจเธอทว่าอีกใจกลับเจ็บปวดที่ซ่อนความรู้สึกตัวเองไว้ไม่ได้ “ผมเดาถูกไหม”
“ถูก” เภตราเอ่ยรับอย่างตรงไปตรงมา ในสมองของเธอตอนนี้มีเรื่องของณดลจริงๆ เขาคือต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเธอ
“แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ที่คุณไม่คิดถึงผมเลย ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเรา” ภูเมฆยิ้มกริ่มซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เภตราอยากฆ่าเขาให้ตายอีกคน
“ฉันจำอะไรไม่ได้ เพราะจำไม่ได้ก็เลยไม่มีความทรงจำต้องให้คิดถึง”
“งั้นให้ผมทบทวนให้ไหม” เอ่ยถามเสร็จก็ขยับเข้าหาพร้อมจะทบทวนความทรงจำให้เภตรา
“อย่านะ” เภตรารีบห้ามพร้อมกับขยับให้ห่างจากอีกฝ่ายจนหลังชิดประตูฝั่งที่นั่งอยู่ ตั้งการ์ดพร้อมสู้เต็มที่หากภูเมฆยังบ้าบิ่นคิดจะเข้าใกล้ ท่าทางไม้เบื่อไม้เมาของทั้งคู่ทำให้ไตรแอบยิ้มออกมา เพราะตนอยู่ข้างตัวภูเมฆตั้งแต่แรกจึงรู้เรื่องความรักของเจ้านายอย่างไม่ตั้งใจและรู้ด้วยว่าไม่มีใครแทนที่เภตราได้
ท่าทางพร้อมสู้ของเภตราทำให้ภูเมฆหัวเราะออกมาอย่างชอบใจเพราะถ้าเขาเอาจริงขึ้นมามีหรือจะพ่ายแพ้ ขณะที่เภตรายังคงระแวดระวังภูเมฆก็นั่งทำงานเงียบๆ กระทั่งเห็นว่าอีกฝ่ายหลับจึงจัดท่าทางให้เธอนอนสบายขึ้น หมอน ผ้าห่มก็เตรียมมาให้อย่างพรั่งพร้อม
และเพราะเป็นคนค่อนข้างขี้เซาเภตราจึงมารู้ตัวอีกทีก็ตอนใกล้ถึงเชียงใหม่ ทันทีที่ลืมตาเธอก็ดีดตัวออกจากอ้อมกอดของภูเมฆ นั่นพลอยทำให้ชายหนุ่มที่พึ่งงีบไปเมื่อครู่ตื่นเช่นกัน
“ตื่นแล้วเหรอ”
“อะ…อืม” คนถูกถามเอ่ยตอบเพียงสั้นๆ นั่นเพราะสมองยังตื่นตัวไม่เต็มที่ ก่อนจะพยายามคิดว่าเธอมานอนในท่าเมื่อครู่ได้ยังไงแต่สุดท้ายก็คิดไม่ออก
“ทนหน่อย อีกไม่กี่กิโลก็ถึงบ้านผมแล้ว”
“ค่ะ” เภตราเอ่ยรับสั้นๆ อีกตามเคย ตอนที่คบหากันเธอรู้ว่าภูเมฆทำอะไร ตอนนั้นชายหนุ่มไปเป็นวิทยากรรับเชิญที่มหาวิทยาลัยส่วนเธอก็ไปช่วยงานอาจารย์ในฐานะนักศึกษาปีสุดท้าย หลังจากนั้นก็พูดคุยสนิทสนมกันมาเรื่อยๆ ก่อนจะคบหากันในฐานะคนรัก เพราะอายุที่มากกว่าหลายปีภูเมฆจึงเป็นที่ปรึกษาของเธอในทุกๆ เรื่อง
