บท
ตั้งค่า

เทพบุตรหัวใจห้าวรัก / ตอนที่ 6

ใบหน้าทรงเพรียวใสกระจ่างประหนึ่งจันทร์เพ็ญตามที่มีคนชอบเปรียบกัน

ดวงตาที่ลืมสบตาเขาเต็มที่ในท่าแหงนศีรษะลงกับเบาะพิงสวยใส

ตาดำเป็นสีน้ำตาลใสราวกับเม็ดลำไยกลอกกลิ้งไปมาบนพื้นตาขาว อมฟ้านิดๆ

แต่เมื่อมองตอบเขา ตาใสดูเหมือนจะขุ่นขึ้งพอกันนั่นเลย

ปากบางดูอ่อนช้อยจนทำให้เขานึกถึงใบไม้แรกผลิ หรือกลีบดอกที่ค่อยๆ แย้มรับอรุณรุ่งที่มาพร้อมน้ำค้างพรม

จมูกโด่งเรียวปลายเชิด ไปกันได้ดีกับท่าทางรั้นๆ และคงดื้อไม่น้อย

แต่ภาพโดยรวมเปลี่ยนจากความคิดเดิมของเขาที่มีอยู่

หนุ่มน้อยบนหลังม้าเทศตัวใหญ่ ความจริงคือสาวน้อยวัยใส และแก้มคางก็บอกชัดถึงความเยาว์วัยของสาวแรกผลิ

“นี่เธอเป็น...”

“เฮ๊ ภีม มาถึงนานหรือยัง ไม่ได้ยินเสียงรถเลยว่ะ”

เสียงห้าวๆ ทักมาจากภายในบ้านที่อยู่ลึกเข้าไป นอกจากจะทำให้เขาปล่อยเสียงหายลงคอ ยังต้องละสายตาจากหน้าเพรียวเนียนกระจ่าง ไปมองและยิ้มรับผู้เป็นเพื่อนที่เดินยิ้มแฉ่งเข้ามาหา ท่าทางดีอกที่ใจที่ได้เจอกัน

“เป็นไงวะ ง่วงหรือเปล่าขับรถมาทั้งคืน”

ณัฐกานต์เข้ามาจับมือเพื่อนเขย่า ปากยังพูด

“พี่ณิชเตรียมของเช้าไว้เพียบ พอรู้ว่านายจะมาถึงเช้านี้ เอ้า? มาอยู่นี่เองหรือเรา”

สุ้มเสียงณัฐกานต์บอกว่าเพิ่งเห็น ในห้องโถงไม่ได้มีแต่เขากับเพื่อนรัก เมื่อร่างเล็กกะทัดรัดกระโดดลุกขึ้นยืน

“รู้จักเพื่อนพี่ซะสิ ชื่อภีมวัจน์ แต่เราจะเรียกพี่ภีมก็ได้ ภีม นี่ยายจุ๊บชื่อจริงวันใส เพราะแรกเกิดก็ลืมตาใสเป็นตาตั๊กแตน แล้วเช้าที่ยายจอมยุ่งนี่ลืมตาดูโลกยังเป็นเช้าที่แดดแจ่มท้องฟ้าใสทั้งที่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาฟ้ามืดมัวซัวฝนตกไม่หยุด น้องสาวเราเอง ลูกพี่ลูกน้องน่ะ อารวิชกับคุณพ่อของเรามีปู่คนเดียวกัน”

แค่ฟังเอาจากสุ้มเสียง ภีมวัจน์ก็รู้ว่าเพื่อนของเขาคงรักและเอ็นดูน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องไม่น้อยทีเดียว

จะว่าไป หน้าตาเจ้าหล่อนก็ชวนเอ็นดูอยู่หรอก แก้มใส ตาใส

แต่ภายใต้ความสวยใส มองน่ารักๆ เหมือนเด็กที่ยังไม่เดียงสา จะมีกี่คนรู้ว่าเจ้าหล่อนทั้งเก่งกล้าสามารถ ปากคมก็ปานนั้น โต้ตอบได้ฉอดๆ ไป

“ยินดีที่ได้รู้จัก...หนูจูบ เอ๊ย! หนูจุ๊บ”

ภีมวัจน์พูดขึ้นก่อน แต่ก็ทำเอาตาใสที่ขุ่นพอแรงอยู่แล้ว ตั้งแต่ถูกเขาถือวิสาสะดึงหมวกที่เจ้าตัวปิดหน้าเอาไว้ออก ขุ่นเขียวยิ่งขึ้น และเสียงทักตอบก็พอๆ กับแววตานั่นเลย

“ไม่ยินดี ที่ได้รู้จัก!”

“เอ้า! ยายจุ๊บ” ณัฐกานต์ต์เอะอะขึ้น “ไหงพูดกับเพื่อนพี่ยังงั้นล่ะหา เรานี่ไม่ไหวเลยมารยาทใช้ไม่ได้”

“ก่อนจะว่าจุ๊บ พี่ณัฐอบรมมารยาทเพื่อนตัวเองก่อนดีกว่ามั้ย”

“บ๊ะ! ยายนี่ ไปกินรังแตนที่ไหนมาแต่เช้า มาเถอะภีม ไปที่ห้องอาหารกันอย่าไปใส่ใจเด็กนี่เลย”

ณัฐกานต์ตัดบท ออกเดินนำ

“กระเป๋าเสื้อผ้าล่ะ อย่าบอกนะว่าแค่แวะมาแล้วจะเลยกลับเลย”

“อยู่ในรถ” ภีมวัจน์ตอบคำถามเพื่อน

“จุ๊บไม่ยักรู้ว่าพี่ณัฐเปิดไร่รับคนเข้าพัก”

เสียงรวนๆ พูดมาจากคนตัวเล็กที่เดินตามมา

“นายอย่าไปฟังยายเด็กบ๊องนั่นเลยนะ ภีม”

ณัฐกานต์ตั้งใจพูดกับเพื่อน แต่เสียงกังวานใสก็ตอบกลับมาทันที

“จุ๊บไม่ใช่เด็ก แล้วก็ไม่ได้บ๊องพี่ณัฐพูดให้ดีๆนะ ไม่งั้นเป็นเห็นดีแน่!”

“เอาล่ะสิ เจ้าณัฐเอ๋ย เจ้าของบ้านเจอนักเลงหญ่ายเข้าแล้ว”

ภีมวัจน์พูดเสียง ลากกล้ามตรงคำว่านักเลงใหญ่ล้อเพื่อน ก่อนเอี้ยวคอไปมองคนตัวเล็กแต่ท่าทางนักเลงเกินตัว ผลคือถูกมองตาเขียวปัด แถมมีเสียงพูดเย้ยๆ

“ผู้ใดพูดแทรกขณะคนอื่นพูดกัน เขาเรียกเส....”

“ถ้าพูดออกมานะ พี่จะเอาแปรงขัดลิ้นซะให้เข็ด!”

ณัฐกานต์รีบขัดและยังหันไปทำตาดุเข้าใส่ แต่ก็หาทำให้คนตัวเล็กกลัวไม่

“อย่างกะจุ๊บกลัวพี่ณัฐนี่” เสียงเล็กโต้ทันควัน “แล้วใครเขาจะนิ่งให้พี่ณัฐรังแกได้รังแกเอาฝ่ายเดียว”

“เราละ เป็นซะอย่างนี้ เถียงคำไม่ตกฟาก”

ญาติผู้พี่ทำเสียงอ่อนใจ

“ตกฟากก็เจ็บซี๊ แล้วใครที่ไหนจะอยากเจ็บตัว”

ภีมวัจน์เกือบลืมตัวหัวเราะออกมาด้วยความขันเพื่อน แต่พอเอี้ยวคอมองข้ามไหล่ไปเจอนัยน์ตาขุ่นราวน้ำโคลนในปลักควายเข้า เลยได้แต่เมินกลับไปยิ้มกับดินฟ้าอากาศ เขามารู้รายละเอียดภายหลังว่าบิดาของหญิงสาวที่เขาเห็นว่ายังไม่เต็มสาว แม้จะรู้หลังจากนั้นว่าเจ้าหล่อนเป็นนางสาวมาแล้วหลายปี แถมเรียนมหาวิทยาลัยตั้งปีสองกำลังจะขึ้นปีสาม เป็นเจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงต่างประเทศระดับสูง

“อารวิชได้รับคำสั่งย้ายด่วนจากปารีส ให้ไปประจำการที่เวเนฯที่กำลังมีปัญหา ยายจุ๊บปิดภาคพอดีก็เลยพามาไว้ที่นี่ ไม่อยากพาไปด้วย เวลานี้สถานการณ์ภายในประเทศไม่ดีนัก”

สำหรับมารดาเด็กเวรที่กลายมาเป็นหญิงสาววัยสิบเก้าเสียไปนานแล้ว

“ยายจุ๊บกำพร้าแม่แต่สิบขวบ อารวิชเลยรักลูกเป็นแก้วตา ถึงกับไม่ยอมแต่งงานใหม่ กลัวลูกจะถูกแม่เลี้ยงรังแกเอาได้ ทั้งที่ตำแหน่งหน้าที่การงานระดับนั้นควรมีภรรยาไว้ช่วยแบ่งเบาภาระ”

ณัฐกานต์บอกเขาภายหลัง ขณะอยู่กันตามลำพัง

“ปกติพ่อลูกไม่เคยห่างกันเลยนะ นี่ถ้าไม่ห่วงว่าการเมืองในประเทศที่เพิ่งย้ายไปกำลังมีปัญหา อาจถึงขั้นเกิดจลาจล ก็คงพาลูกสาวไปด้วยแล้ว เมื่อพาไปด้วยไม่ได้ก็เลยส่งมาอยู่ที่นี่จนกว่ามหา’ ลัยจะเปิด แล้วมาอยู่นี่ ก็ดีอย่างเอาม้ามาอยู่ด้วยได้”

เห็นสีหน้าของเพื่อน ณัฐกานต์จึงขยายความต่อ

“ยายจุ๊บรักม้าเป็นชีวิตมาตั้งแต่เด็ก อาจเพราะไอ้เลือดแม่ที่เป็นคนอังกฤษ พวกอังกฤษผู้ดีมักจะผูกพันอยู่กับสัตว์ประเภทนี้ แล้วคุณยายที่อังกฤษก็เคยมีคอกม้าแข่ง เพิ่งถูกขายไปเมื่อไม่นานมานี้หลังจากท่านเสีย ลูกชายคนโตที่เป็นผู้รับมรดกส่วนใหญ่ในฐานะทายาทสืบสกุล ไม่มีเวลามาดูแล เพราะมีธุรกิจอื่นของตัวเอง ม้าที่ยายจุ๊บนำมาด้วยจากฝรั่งเศสนั่นลุงเขาก็ให้กัน เป็นม้าเลือดผสมควอเตอร์ฮอสกับอารเบียน”

“มิน่าล่ะ ดูลักษณะท่าทางดีมากนี่”

“นายเห็นแล้วเรอะ?”

“เห็น เจ้าของปล่อยเล็มหญ้าอยู่ข้างบ้านนี้เอง”

ภีมวัจน์เปลี่ยนใจ ไม่คิดบอกเรื่องน้องสาวจอมเซียนและคงซนไม่หยอกของเพื่อนรักทำเอาเขาเกือบเกิดอุบัติเหตุในการเดินทางช่วงสุดท้าย

ไม่ใช่อะไร เขาไม่อยากเป็นคนขี้ฟ้องในสายตาเด็กนั่น ปกติตาสีน้ำตาลใสราวเม็ดลำไยคู่นั้นก็มองเขาอย่างเยาะๆยั่วๆ เหมือนจะเร่งอะดรีนาลินในกายเขาพุ่งปรี๊ดอยู่แล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel