บท
ตั้งค่า

เทพบุตรหัวใจห้าวรัก / ตอนที่ 5

ภีมวัจน์รู้สึกโล่งอก เขาเริ่มจะง่วงขณะแล่นรถผ่านสุมทุมพุ่มไม้สูงระดับศีรษะบ้าง สูงกว่าศีรษะเล็กน้อยบ้างที่ขึ้นตลอดสองข้างทาง แสดงว่าเขาจวนถึงตัวบ้านไร่แดนวนา บ้านของเพื่อนสนิทที่ตั้งใจมาพักด้วยชั่วคราวเพราะกำลังเซ็ง

เขาขับรถมาไกล ครึ่งค่อนคืนเพื่อมาเช้าที่นี่หลังจากโทรบอกเจ้าของบ้านที่เคยเรียนหนังสือ หัวก้นขวิดด้วยกันตั้งแต่อยู่วชิราวุธฯ กระทั่งไปเรียนต่อระดับปริญญาที่บอสตันก็กอดคอไปด้วยกัน เพิ่งมาห่างกันไป ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน แต่ก็คุยกันบ่อยทางโทรศัพท์ ในช่วงปีสองปีมาหลังมานี้

ณัฐกานต์ เป็นลูกชายคนแรกของ ณรงค์ ฐิตินันท์ กับหม่อมราชวงศ์หญิง กนกนุช แต่ไม่ใช่ลูกคนโต เขายังมีพี่สาวคือณิชารีย์ อายุมากกว่าสองปี

นอกจากพี่สาว ณัฐกานต์ยังมีน้องชายอายุน้อยกว่าสองปีเท่ากับที่เขาอ่อนกว่าพี่สาว อยู่คนหนึ่ง

ปัจจุบัน ครอบครัวนี้เหลือเพียงลูกทั้งสามอยู่กันตามลำพัง เนื่องจากบิดาได้ถึงแก่กรรมไปเมื่อสามปีก่อน มารดาตามไปอีกคนในปีถัดมา

ภีมวัจน์ไม่คิดว่าการมาของเขาจะทำความลำบากให้เพื่อน เพราะสนิทกันเกินกว่าจะใช้คำว่าคนอื่นคนไกล ที่ผ่านมาก่อนเข้ารับภาระเป็นหัวหน้าครอบครัวในฐานะลูกชายคนโตณัฐกานต์ก็เคยไปกินไปนอนที่ปางน้ำสวยครั้งละนานๆ เวลาเบื่อหน้าคน หรือเกิดเบื่อสังคมขึ้นมา

แม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้องของเขา ก็เคยแวะไปพักที่ปางน้ำสวยหลายครั้งเวลาขึ้นไปเที่ยวทางเหนือ พลอยทำให้ผู้ใหญ่ต่อผู้ใหญ่ได้สนิทสนมกันไปด้วย

ภีมวัจน์พยายามเบิกตาให้กว้างเอาไว้ กว่าครึ่งคืนที่ต้องขับรถมาตามลำพังโดยไม่รู้สึกง่วงเลย เพิ่งจะมาเริ่มง่วงเอาหลังจากเข้าเขตไร่แดนวนา

อาจเพราะแสงอาทิตย์ที่เยี่ยมหน้าออกมาจากหลังเมฆก้อนใหญ่นั้นเอง ทำให้เขารู้สึกระคายตา

ชายหนุ่มสลัดศีรษะไล่ความรู้สึกหนักอึ้งตกทับหนังตา เปิดเพลงจากเครื่องเล่นในรถให้ดังขึ้น หลังจากเลือกได้เพลงจังหวะมันๆ ที่คิดว่าจะช่วยให้ตาสว่าง

เขาโน้มตัวมองผ่านกระจกบังลมด้านหน้า

ขณะนี้ไม่ใช่เวลาเช้า สายมากแล้วสำหรับคนต่างจังหวัดที่มักตื่นออกไปทำไร่ไถนากันแต่เช้า ก่อนพระอาทิตย์จะทันเยี่ยมหน้าขึ้นมาทักทายด้วยซ้ำ

เกือบเจ็ดโมงครึ่ง ณัฐกานต์คงจะยังรออยู่เพราะเขาบอกให้รู้แล้วว่าจะมาถึงเช้านี้

บางทีอาจจะยังรอรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับเขาก็เป็นได้

ภีมวัจน์มองเห็นหลังคาตัวบ้านไร่โผล่พ้นแนวไม้บังแต่ไกลๆ

จากที่เริ่มง่วง เปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่า เท้าเหยียบคันเร่งรถสปอร์จมลงอีกเพื่อให้ถึงที่หมายไวขึ้น

แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ต้องเหยียบเบรกตัวโก่งจนท้ายรถปัดไป เมื่อจู่ๆ ก็มีม้าเทศสีน้ำตาลเข้มลอยตัวจากแนวพุ่มไม้ข้างทางลงมาบนถนน ตัดหน้ารถเขา ก่อนถูกกระตุ้นจากคนบนหลังที่เขาเห็นหน้าไม่ชัด เพราะมีหมวกจ๊อกกี้ปิดอยู่ครึ่งๆ ให้กระโดดข้ามแนวพุ่มไม้อีกฝั่งถนน หายลับไปจากสายตา ทิ้งไว้แต่เสียงฝีเท้าม้าที่วิ่งห่างออกไป

เขาสบถออกมาอย่างหัวเสียด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งถ้าเป็นเวลาปกติ คงสบถอยู่แต่ในใจเท่านั้น

หลังจากค่อยหายตกใจที่เกือบมาเกิดอุบัติเหตุ ทั้งที่จวนถึงที่หมายอยู่แล้ว ภีมวัจน์ก็เคลื่อนรถออกวิ่งต่อแต่ไม่วายสงสัยว่าเด็กเวรที่ไหนนะมาขี่ม้าเพ่นพ่านอยู่ในอาณาเขตบ้านไร่ของเพื่อนเขา และยังใช้สุมทุมพุ่มไม้ข้างทางเข้าอาณาเขตตัวบ้านไร่ เป็นที่ประลองความสามารถในการบังคับม้ากระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง

ไม่ใช่ณฐกิตติ์แน่ๆ ถึงจะไม่ได้เจอกันนาน เขาก็จำได้น้องชายเพื่อนโตเป็นหนุ่ม ร่างสูงเพรียวไม่แพ้พี่ชาย ถึงตอนนี้ก็คงเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

แต่คนที่อยู่บนหลังม้าเมื่อสักครู่ดูยังเด็ก ถึงเป็นหนุ่มก็ยังเป็นหนุ่มน้อยดูจากรูปร่างโปร่งบาง ถึงว่าสามารถบังคับม้าตัวโตๆ ให้กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง และลงถึงพื้นได้อย่างสวยงาม ก่อนกระโดดข้ามต่อไปอีกในพื้นที่จำกัด

แต่ไม่ว่าเด็กนั่นจะเก่งกล้าสามารถมีฝีมือในการบังคับม้าแค่ไหนก็ตาม เห็นทีเขาจะต้องบอกให้ณัฐกานต์รับรู้เอาไว้ เผื่อเป็นเด็กลูกคนงานในไร่ จะได้เรียกมากำราบ ว่าไม่ควรมาขี่ม้ากระโดดข้ามไปมาบริเวณถนนสำหรับรถวิ่งสัญจรไปมา

ภีมวัจน์นิ่วหน้า เมื่อแล่นรถเข้าไปจอดหน้าอาคารสำหรับที่พักอาศัยหลังใหญ่กลางพื้นที่โล่งกว้าง เนื่องจากสะดุดตาเข้ากับเจ้าม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ ยืนแทะหญ้าอ่อนอยู่ข้างตัวบ้าน ที่เขาแน่ใจว่าเป็นตัวเดียวกับที่พุ่งตัดหน้ารถเขา เมื่อไม่กี่นาทีมานี้

เขาลงจากรถ นึกแปลกใจที่ไม่เห็นใครสักคนเยี่ยมหน้าออกมาดู ทั้งที่น่าจะได้ยินเสียงรถเขาแล่นเข้ามาจอด ตัดสินใจก้าวขึ้นบันใดไปแต่ตัวทิ้งกระเป๋าไว้ในรถ ผ่านระเบียงหน้าก็ถึงประตูไม้หนาหนัก เปิดเอาไว้เต็มที่ทั้งสองบาน

เขาเดินเข้าประตูอย่างคนเจนทาง รู้ว่าห้องแรกนี้เป็นห้องโถง ตั้งเก้าอี้ไว้ชุดหนึ่งกลางห้องง่ายๆ สำหรับรับแขกที่ไม่สนิท หรือนั่งเล่นคุยกัน

ภีมวัจน์ได้พบแต่ความเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ในบ้าน

เขากวาดสายตาไปรอบๆ กำลังนึกสงสัยว่าทั้งเจ้าของบ้าน และคนงานในบ้านพากันหายไปไหนหมดก็พอดีมองเห็นอะไรดำๆ ลักษณะเป็นศีรษะเล็กๆ โผล่พ้นพนักเก้าอี้บุนวมตัวหนาตั้งหันหลังให้ประตู โผล่ขึ้นมานิดเดียว

อะไรไม่รู้ทำให้เขาแน่ใจว่าคนที่นั่งอยู่ตามลำพังในห้องโถงชั้นนอกนี้ จะต้องเป็นเด็กเวรนั่นแน่ๆ

เขาก้าวยาวๆ เข้าไปหยุดอยู่เบื้องหลังเก้าอี้

มีคนนั่งอยู่จริงๆ แต่เป็นการนั่งในลักษณะกึ่งนอน ขาทั้งสองพาดไขว้กันถูกยกวางบนโต๊ะเตี้ยเบื้องหน้า

บนศีรษะที่เขาเห็นโผล่พ้นพนักขึ้นมาพียงเล็กน้อย หรือความจริง ต้องพูดว่าบนใบหน้าที่หงายพิงพนักในท่าสบาย มีหมวกจ๊อกกี้ที่เขาจำได้ปิดเอาไว้บังแสง

เขาเข่นเขี้ยว นึกสงสัยว่าเด็กเวรนี่เข้ามาอยู่ในบ้านเพื่อนเขาได้ยังไงกันนะ แล้วนี่ใครๆ ไปไหนกันหมด?

“ที่เราทำไปเมื่อสักครู่มันบ้าชัดๆ รู้มั้ยไอ้หนู? เกิดฉันเหยียบเบรกไม่ทันจะว่ายังไง ไม่ตายฟรีทั้งม้าทั้งคนเรอะ? เราน่ะฉันไม่เสียดายหรอก แต่เสียดายม้า ลักษณะม้านั่นดูก็รู้เจ้าของคงจะซื้อมาแพงทีเดียว”

ว่าจะไม่พูดแรงแล้วนะเขาน่ะ แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ทำเอาใจหายใจคว่ำอดโมโหขึ้นมาไม่ได้

‘ไอ้หนู’ ขยับตัวนิดเดียว แต่ไม่เปลี่ยนท่านอน ตอบจากเบื้องหลังหมวกจ๊อกกี้ฟังยียวน

“ไม่ว่ายังไง นอกจากจะบอกให้รู้ทางอ้อมว่าฝีมือบังคับรถของคุณไม่เอาไหน”

“ไอ้เด็กเปรต!”

พร้อมเสียงกระโชกบอกความฉุนจัด ภีมวัจน์เอื้อมมือไปกระชากหมวกที่อีกฝ่ายใช้ปิดใบหน้าเพื่อบังแสงแยงตา โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถแม้ขณะโต้ตอบเขาฉอดๆ

เขาไม่เพียงแต่เกิดอาการชะงักงัน แม้ดวงตาคมวับฉายประกายรุ่งโรจน์แห่งไฟโทสะยังพลันเบิกกว้าง เมื่อเห็นหน้าคนที่เขาเรียก‘ไอ้เด็กเปรต’ เต็มตา พร้อมกับผมที่ขมวดเก็บซ่อนคลี่กระจาย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel