เทพบุตรหัวใจห้าวรัก / ตอนที่ 3
ทัศนียาสะอื้นไห้ด้วยความปราโมทย์เปรมปรีดิ์ หล่อนไม่เคยมีความสุขในระดับนี้มาก่อน นอกจากกับผู้ชายคนนี้ ที่กำลังจะทำให้หล่อนขาดใจ สำลักความสุขที่ถูกเติมเต็มจนล้นปรี่
ไม่ต้องพูดถึงสามีแก่คราวปู่ที่สิ้นอายุขัยไปแล้ว แม้แต่หนุ่มๆ ที่หล่อนแอบลักลอบ หามาปรนเปรออารมณ์สามถึงสี่คนที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครสามารถทำให้หล่อนบรรลุความสุขได้สูงถึงระดับนี้
หลังจากสุขสมกันแล้ว ก็นอนอยู่ด้วยกันเฉยๆ
ทัศนียาขยับตัวก่อน ถูศีรษะที่มีผมยุ่งเหยิงกับไหล่ชายหนุ่ม มือไล้แผงอกกว้างแน่นด้วยมัดกล้ามเขาเบาๆ
“ทำไมจะต้องปีนเข้ามาหาทางหน้าต่างด้วยคะ ความจริงนัดกันไว้ก่อนก็พอมีทางจะเข้าประตูมาได้”
“มาอย่างนี้ดีแล้ว ไม่มีใครรู้”
ภีมวัจน์ตอบ มองยิ้มๆ พอใจในรสแห่งเพศสัมพันธ์ที่ม่ายสาวสนองให้
“คุณนี่ร้ายจัง!” หล่อนทำเสียงต่อว่า
“อยากว่าผมร้าย ก็จะร้ายจริงๆ ละนะ”
“อุ๊ย! อะไรกันคะ”
ภีมวัจน์นึกขันกับสุ้มเสียงดีดดิ้นแต่กลับกอดตอบเขาทั้งแขนขา
ครั้งนี้ไม่มีการเล้าโลม มีแต่ความรุนแรงกระแทกกระทั้น ซึ่งดูเหมือนม่ายสาวจะยิ่งชอบ ถึงกับครวญครางจนเขาต้องรีบจูบปิดปาก เพื่อเก็บเสียงบอกความรัญจวนสุขสมใจของหล่อน
ทัศนียานอนหอบหายใจระรวย รู้สึกเหมือนวิ่งขึ้นลงเขาสูงๆ กว่าระดับน้ำทะเลสักพันเมตร ไม่มีการหยุดพัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภีมวัจน์ทำให้หล่อนสุขสมได้เสมอ หล่อมองเขานอนอยู่ข้างตัว ไม่คิดจะปกปิดเรือนกายที่ดูล่ำสันกว่าเวลาสวมเสื้อผ้า
รูปร่างของเขาชวนหลงใหล มีมัดกล้ามที่งดงาม
หล่อนรู้ว่าเขาเป็นบุตรชายพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงทางเหนือ แต่พื้นเพทางปู่ย่าของเขาเป็นคนกรุงเทพฯ
หล่อนได้รู้จักเขา ก็เพราะบังเอิญได้พบกันที่งานเลี้ยงหนึ่ง เพื่อนของเขาที่มีบ้านอยู่ระหว่างกึ่งกลางเส้นทางสายเหนือลงมากรุงเทพฯ ที่ภีมวัจน์แวะมาพักด้วยชั่วคราว ก่อนจะเลยเข้ากรุงเทพฯ เป็นคนแนะนำ
หล่อนไม่ทันคิดจะจับเขา เมื่อรู้จักกัน แม้จะพอทราบว่า ฐานะครอบครัวของเขาอยู่ในขั้นมหาเศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทย แต่ถึงตอนนี้ หล่อนคิดอยากจะให้เขาขอแต่งงานด้วย
หล่อนเกิดความมั่นใจในตนเอง เพราะเขาตามมาหาหล่อนคืนนี้ แสดงว่าเขาเองก็ติดใจ คิดถึงหล่อน อย่างนี้แล้วก็คงมัดได้ไม่ยาก ถ้าเขาขอแต่งงานหล่อนจะตอบรับทันที
ฝันหวานอย่างนี้แล้ว ทัศนียาก็มีกำลังใจ ลูบไล้แผ่นอกชายหนุ่มไปมา กระซิบถามว่า
“คุณรักทัศหรือเปล่า”
ภีมวัจน์เกือบจะครางออกมาดังๆ นึกในใจว่า “ให้ได้อย่างนี้สิน่า!”
ทำไมนะ? พวกผู้หญิงถึงชอบเซ้าซี้กันนัก
เวลาจะเริ่มความสัมพันธ์ เขาก็ไม่เคยเอ่ยอ้างเรื่องความรักขึ้นมาเลย แต่พอมีอะไรกันนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องของการสนองความต้องการทางกายแท้ๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับหัวใจ เป็นต้องถามทุกทีว่า รักหรือเปล่า น่ารำคาญ!
เขาลุกจากเตียง คว้ากางเกงมานุ่ง เท้าควานหารองเท้า ตามองหาเสื้อเชิ้ตซึ่งไปกองอยู่อีกฟากเตียง
ทัศนียาชักงง เพราะอยู่ๆชายหนุ่มก็ลุกพรวดขึ้นมาแต่งตัว ไม่ทราบว่าผิดใจอะไร แต่หล่อนก็ลุกมากอดคอเขาไว้อย่างประจบ เอาเนื้อตัวเข้าเสียดสี อย่างที่คิดว่าจะทำให้ได้ผลสมใจ
“คุณยังไม่ได้ตอบทัศเลยค่ะ”
ภีมวัจน์มองหน้าหล่อนตรงๆ
“ไม่” เขาพูดสั้น แต่ไม่ถึงกับฟังห้วน
“อะไรนะคะ?”
“คำตอบของผมคือไม่”
ม่ายสาวกระพริบตา ลดมือจากที่กอดคอเขา
“ทัศ...ไม่เข้าใจ?”
“คุณถามผม ว่าผมรักคุณหรือเปล่าผมก็ตอบว่าไม่ ภาษาไทยนะที่ผมตอบน่าจะเข้าใจ แต่พูดชัดๆ อีกทีก็ได้ ผมไม่ได้รักคุณ”
“คุณภีมวัจน์...”
“คุณเป็นผู้หญิงสวยทัศนียา มีเสน่ห์และช่ำชองมากด้วยในการหาความสุขร่วมกัน ผมต้องการคุณและคุณก็เต็มใจให้ผม เราต่างคนต่างได้ความสุขด้วยกันทั้งคู่ในการคบหาระหว่างเรา แต่นั่นไม่ได้แปลว่าผมจะรักคุณ พูดจริงๆแล้วผมพบผู้หญิงน่ารักอย่างคุณมาหลายคนอยู่ เห็นจะในราวๆสิบกว่าคน แต่ที่ไม่เป็นสับปะรดก็มีมาก”
“คุณพูดอย่างนี้ได้ยังไงกันคะ ในเมื่อเราเพิ่งมีความสุขด้วยกันหยกๆ?”
“อย่าคิดนอกเรื่องสิครับ ความปรารถนาหรืออารมณ์ใคร่นี้มีคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความรักมานักแล้ว พากันหลงใหลได้ปลื้ม คิดว่าความรักเป็นอย่างนี้แต่ไม่จริงหรอก ในความรักอาจจะมีความใคร่ แต่ที่เราอยู่ด้วยกัน หาความสุขจากกันและกันเมื่อสักครู่ เป็นแต่ความใคร่ คนคนละเรื่องกันกับความรัก”
ม่ายสาวยืนจังงัง ความฝันที่กำลังเบ่งบานของหล่อนพังครืน
นาทีนั้นหล่อนเกิดความโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรง
อ้อ! นี่เขาคิดจะหลอกกินฟรีอย่างนั้นหรือ? ไม่มีทาง!
หล่อนจะประกาศให้รู้โดยทั่ว เอาให้อื้อฉาว เขาจะต้องเสียชื่อเสียง ดูหน้าใครไม่ได้ไปตลอดชีวิต!
ทัศนียามองประตูที่ลงกลอนเอาไว้ บอกตัวเองว่าจะต้องไปเปิดประตูนั้นแล้วร้องกรี๊ดให้ลั่น เรียกหาคนมาช่วย
ผู้คนในบ้านจะตกใจตื่นกันทั้งบ้าน ป้าและลุงเขยของหล่อนที่เป็นเจ้าของบ้านพอมีหน้าตาอยู่ในจังหวัดนี้ ท่านจะต้องเอาเรื่องอย่างแน่ๆ หลังจากมาเห็นภีมวัจน์ติดอยู่ในห้องของหล่อน แต่งตัวไม่เรียบร้อย สวมกางเกงตัวเดียว
เขาจะต้องแต่งงานกับหล่อน ถ้าไม่แต่งเขาจะเสียชื่อ ไม่มีใครคบ
คิดออกมาได้ดังนี้หล่อนก็ยิ้มหวาน หยิบเสื้อคลุมมาสวมก่อน จากนั้นก็หยิบเสื้อเชิ้ตของเขายื่นไปข้างหน้า
“เสื้อคุณค่ะ”
