บท
ตั้งค่า

อุบัติรักใต้เงาอสูร / ตอนที่ 7

“คุณ... นี่หรือคะ เป็นครู?” หล่อนยังไม่เชื่ออยู่ดี

ให้เขาบอกว่าเป็นดารา หรือนักแสดง แม้หล่อนจะไม่คุ้นหน้า หรือเคยผ่านตามาก่อน ก็ยังจะทำใจให้เชื่อได้ง่ายกว่า

“ครับ ผมนี่แหละ เพียงแต่เขาไม่เรียกผมครู เรียกอาจารย์แทน แต่บางคนก็เรียกโพรเฟสเซอร์”

“ศาสตราจารย์หรือคะ?”

เขายิ้มแทนการตอบรับ พูดว่า

“ท่าทางคุณไม่เชื่อ มาดผมคงไม่ให้ ทำไมละครับ? หน้าตาผมดูโง่ จนคุณเชื่อไม่ลงเชียวหรือครับว่า ผมจะได้รับยกย่องให้เป็นผู้ทรงภูมิทางความรู้ ระดับศาสตราจารย์กับเขาคนหนึ่งได้เหมือนกัน

“อุ๊ย! ไม่ใช่ค่ะ คุณเข้าใจผิด” หล่อนตอบเร็ว

“เข้าใจผิดยังไงครับ”

เขาถาม สีหน้าไม่เปลี่ยน แม้ขณะดึงหล่อนถอยห่างออกมาจากแผงโปสการ์ด หลบทางให้ลูกค้าฝรั่งสองคน แต่ยังไม่ออกนอกบริเวณร้าน

“ผมว่า คุณจ่ายตังค์ก่อนดีกว่า เราจะได้ออกจากร้าน ไม่มายืนเกะกะหน้าร้านเขา”

จ่ายเงินและรับซองบรรจุโปสการ์ดมาแล้วก็พากันเดินออกจากร้าน

“ฉันต้องไปลงเรือแล้วค่ะ เกือบลืมเวลาเรือออกแน่ะ”

หล่อนพูดขึ้นก่อนเมื่ออกมาพ้นร้าน

“ไปสิครับ” เขาบอก

พจีจำเรียงเดินไปได้ราวสี่ห้าก้าว ก็ชะงัก หันมองเขา เพราะชายหนุ่มยังตามมาข้างๆ

“คุณจะไปลงเรือเหมือนกันหรือคะ?”

“ครับ ผมจะข้ามไปเที่ยวเกาะผีเสื้อ ผมได้หยุดพักผ่อนสองอาทิตย์ ก็อยากพักผ่อนเงียบๆ มีคนแนะนำผมว่า ถ้าต้องการความสงบ แต่ก็สะดวกสบายต้องมาที่นี่ คนแนะนำ เขาโฆษณาว่าที่นั่นสวย มีเนินเขา ลำธาร ต้นไม้ ดอกไม้ ชายหาดขาวสะอาดสำหรับนอนอาบแดด มีที่พักอยู่แห่งเดียว เพราะเป็นเกาะเล็กๆ เป็นของเอกชน หน้านี้คนเยอะหน่อย ต้องจองที่พักล่วงหน้า ว่าแต่คุณจองหรือยัง ที่พัก”

พจีจำเรียงยิ้มเหย ตอบไม่เต็มเสียง

“ยังเลยค่ะ หวังว่าจะพอมีเหลือ ... คุณละคะ จองหรือยัง”

“เรียบร้อยครับ”

พจีจำเรียงมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย กลัวว่าพอไปถึงเกาะ อาจจะหาที่พักไม่ได้

“คุณยังติดค้างคำตอบผมอยู่นะ”

ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง

“ติดค้างคำตอบคุณ? เรื่องอะไรคะ?” หล่อนงง เพราะเขากลับบทสนทนาเร็วมาก

“ก็ที่คุณไม่เชื่อว่าน้ำหน้าอย่างผม จะเป็นศาสตราจารย์กับเขาได้เหมือนกันนะซีครับ ก็ถ้าคุณไม่เห็นว่าหน้าตาผมดูโง่ แล้วอะไรทำให้คุณไม่เชื่อ”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อค่ะ แต่เชื่อ...ไม่ค่อยลง”

“นั่นสิครับ ผมอยากรู้ว่าทำไม”

“ก็... หน้าตาคุณไม่ให้เลยนี่คะ”

“ต้องหน้าตายังไงหรือ แต่ผมก็เพิ่งรู้นี้แหละว่า คนจะเป็นศาสตราจารย์ได้ หน้าต้องบอกยี่ห้อด้วย” เขาทำเสียงขัน “ว่าไงครับ?”

“ก็... ควรจะแก่ๆ หน่อย หรือมีอายุมากกว่านี้น่ะค่ะ”

“สามสิบเจ็ดอย่างผม คุณคงเห็นว่ายังแก่ไม่พอ” สุ้มเสียงเขาฟังล้อเลียน

อีกครั้ง ที่พจีจำเรียงมองเขาตาโต

“คุณนะหรือคะ อายุสามสิบเจ็ด?”

“ครับ ผมนี้แหละ และไม่ได้โกงอายุด้วยนะ”

“ไม่อยากเชื่อ! แต่ก็... มองไม่เห็นเหตุผลที่คุณจะต้องโกหก ก็เห็นจะต้องเชื่อล่ะค่ะ”

“ทำไมครับ หน้าหน้าผมไม่ให้อีกแล้วหรือยังไง”

เสียงมีกังวานทุ้มของเขา ฟังกลั้วหัวเราะ

“ไม่ให้จริงๆ ค่ะ ยิ่งกว่าที่คุณบอกฉันว่าคุณเป็นโพรเฟสเซอร์เสียอีก”

“คุณคิดว่าผมควรอายุสักเท่าไหร่”

“น่าจะ...ราวๆ สามสิบต้นๆ อย่างมากก็ไม่เกินสามสิบเอ็ดสามสิบสองเท่านั้นแหละค่ะ”

“ผมควรดีใจ หรือเสียใจดีล่ะเนี่ย แต่ยังไงก็ขอบคุณ ที่เห็นผมยังหนุ่มขนาดนั้น”

เขาหัวเราะ มองหล่อนตาพราว

หนุ่มสาว ซึ่งดูเหมือนจะสนิทกันเร็วเป็นพิเศษ พากันเดินมาถึงทางลงสะพานที่จะไปลงเรือ มีอาคารพาณิชย์ เป็นตึกเก่า สูงสองชั้นขนาบ

“ต้องไปเอากระเป๋าก่อนค่ะ”

พจีจำเรียงหยุดเดิน หันมาบอกชายหนุ่ม ทำให้ศีรษะเบี่ยงไปจากมุมมองตรงเล็กน้อย

วินาทีนั้นเอง หล่อนก็รู้สึกว่ามีอะไรอย่างหนึ่ง วิ่งเฉียดริมหูไป ด้วยความเร็วสูง พร้อมกับมีเสียงดังเหมือนประทัด

ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นร้องกรี๊ด แล้วก็มีเสียงดังเหมือนจุดประทัดขึ้นอีก

“พจี... หมอบ! ใครไม่รู้ยิงเรา”

พจีจำเรียงได้ยินเสียงชายหนุ่มตะโกนพร้อมกับตัวหล่อนถูกกระชากให้หมอบลง

ขณะหมอบตัวแข็งอยู่นั้น หล่อนได้เสียงเร่งเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ห่างออกไปยังอีกฟากถนนแล่นจากที่จอด โดยที่ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ เหมือนจะพากันตกตะลึงไปหมด

ทุกอย่างที่สงบนิ่งลงชั่วขณะ เริ่มมีเสียงเอะอะ ร้องถามกันว่าเกิดอะไรขึ้น

พจีจำเรียงถูกดึงขึ้นยืน ด้วยมือแข็งแรงของคนที่ช่วยชีวิตหล่อนเอาไว้ในช่วงวินาทีดับจิต เพราะถ้าไม่ได้เขากระชากหล่อนให้หมอบลง ป่านนี้ หล่อนก็คงเหลือแต่ชื่อไปแล้ว

“จะไปเอากระเป๋าไม่ใช่หรือ”

เสียงถามของชายหนุ่มฟังเรียบราบ แต่สีหน้าของเขาดูโกรธ แสงตาคมกริ๊บเป็นประกายวะวับเหมือนมีแสงอสุนีบาต

“ค่ะ”

เสียงหล่อนยังสั่น แม้เนื้อตัวก็ดูจะยังสั่นอยู่

เขาคงสำเหนียกในอาการที่ยังตระหนกตกใจไม่หายของหล่อน เพราะเขาดึงเอาตัวหล่อนเข้าไปกอดปลอบขวัญ มากกว่าจะเป็นไปในเชิงอารมณ์พิศวาส

“ไม่มีอะไรแล้ว” เขาพูดเสียงเบาแต่หนักแน่นกับกระหม่อมหล่อน

“ไม่ต้องกลัวนะ อุบัติเหตุน่ะ ใครอาจจะเข้าใจผิด”

พจีจำเรียงรู้สึกว่าคำพูดของชายหนุ่ม ค้านกันเองยังชอบกลอยู่ หล่อนแหงนมองหน้าเขา เพื่อจับพิรุธ

สีหน้าเขาสงบเฉย เฉยมาก แต่เขาก็อุตส่าห์ยิ้มกับหล่อน เมื่อปล่อยหล่อนและถอยออกห่าง พร้อมกับบอกเรียบๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไปเอากระเป๋าเถอะ จะได้ไปลงเรือกัน จวนได้เวลาเรือออกแล้วล่ะ”

พจีจำเรียงไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้คืน ทรงพิชิตช่วยหิ้วลงเรือ หล่อนมองเขาอย่างแปลกใจ เมื่อไม่เห็นเขามีอะไรมาเลย มีแต่ตัวเปล่าๆ

“เพื่อนผมคนที่ช่วยจองที่พักให้ จัดการส่งสัมภาระของผมล่วงหน้าไปก่อน เขามีเรือส่วนตัว เลยช่วยอำนวยความสะดวกทุกอย่าง”

พจีจำเรียงมีความรู้สึกอีกแล้วว่า ชายหนุ่มยังมีบางอย่างที่เขาไม่ได้บอก แต่ก่อนจะก้าวลงเรือ หล่อนก็คิดขึ้นได้อย่างหนึ่ง

“คุณทรงพิชิตคะ เราไม่ต้องไปแจ้งความหรือคะ ที่มีคนลอบยิง?”

เขานิ่ง ทำท่าคิดอยู่อึดใจ ก่อนตอบ

“อย่าดีกว่า อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ น่าจะมีการเข้าใจผิด ป่านนี้คงรู้แล้วว่าพจีหรือผม ไม่ใช่เป้าหมาย”

หล่อนไม่ควรเชื่อเขาหรอก เพราะจะว่าไปแล้ว ก็ไม่รู้จักเขาดี แม้แต่การพบกัน ที่ดูเป็นเหตุบังเอิญ แต่ก็ดูจะเป็นความบังเอิญที่มาจากความตั้งใจ ... แต่หล่อนก็เชื่อ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel