อุบัติรักใต้เงาอสูร / ตอนที่ 4
“ได้แล้วค่ะ”
เสียงพนักงานประชาสัมพันธ์สาว เรียกให้พจีจำเรียงละสายตาที่กำลังมองออกไปยังถนนหน้าโรงแรมไปพลาง ๆ ขณะรอ
หล่อนรับกุญแจมาถือไว้ กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็รีบหันกลับไปมองภาพบนท้องถนน ที่สายตามองเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลาขณะรอกุญแจของหล่อนสะดุดเข้า
เป็นภาพชายหนุ่มร่างสูงเพรียว มีหญิงสาวผมแดงเดินเกาะแขน ไปตามถนน มองเห็นหน้าตาไม่ชัดคมนัก เพราะอยู่ห่างออกไปพอสมควร แต่ก็พอดูออกคร่าวๆ ว่า หน้าตาน่าจะดีทีเดียว
ที่ดึงดูสายตาหล่อนให้มองตาม ด้วยความประหลาดใจ ไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตาของหนุ่มสาว แต่อยู่ที่ภาพเหตุการณ์
หล่อนสะดุดตาตั้งแต่มีผู้ชายอีกคน เดินตามออกมาจากโรงแรม ที่หนุ่มสาวเดินออกมา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมที่หล่อนพัก
ชายคนนั้น เดินตามหนุ่มสาวคู่นั้นในระยะห่างพอประมาณ หนุ่มสาวหยุด เขาหยุด หนุ่มสาวออกเดิน เขาก็ออกเดินตาม โดยรักษาระยะห่างพอประมาณนั้นไว้
หล่อนเกือบจะคิดว่าตนเองอาจคิดมากไปเอง ที่คิดว่าชายคนนั้นสะกดรอยตามหนุ่มสาว
แต่ขณะนั้นเอง ก็ปรากฏชายสองคน ออกมาจากโรงแรมเดียวกัน ตามชายคนที่ตามหนุ่มสาวไปก่อน ทิ้งระยะห่างพอกัน
คนทั้งหมดพากันเดินไปตามถนน ลับไปจากสายตาเพียงชั่วครู่ พวกเขา ก็พากันเดินย้อนกลับมา
หนุ่มควงสาวผมแดง นำหน้ามาก่อน ตามด้วยชายคนแรกที่ตามไป และชายสองคนที่เดินตามชายคนแรก เหมือนกำลังเล่นงูกินหาง โดยมีชายหนุ่มหญิงสาวเป็นหัวงู และชายทั้งสามเป็นหางงู เพียงแต่หางงูนั้นขาดตอนในระยะเท่าๆ กัน
พจีจำเรียงเห็นชายคนที่ตามหนุ่มสาวคนแรก ชะงัก มองซ้ายมองขวา แล้วหลบแวบเข้าร้านข้างทาง ที่มีแผงขายหนังสืออยู่หน้าร้าน ข้างในเป็นพวกของที่ระลึก ปล่อยชายสองคนที่เดินตามเขา ออกหน้าไปก่อน
ชายคนหลบเข้าไปที่ร้าน ทำทีเลือกดูหนังสือ รออยู่สักระยะหนึ่ง ก็ออกเดินตามชายทั้งสอง แล้วคนทั้งหมด ก็พากันกลับเข้าโรงแรมฝั่งตรงข้าม
ภาพที่พจีจำเรียงเห็นนี้ จะว่าไปก็ไม่แปลก หนุ่มสาว ชายที่มาคนเดียว ชายที่มาด้วยกันสองคน อาจพักที่โรงแรมฝั่งตรงข้าม และออกมาเดินเล่น เผอิญว่าหล่อนมองอยู่พอดี จึงเกิดสะดุดตาขึ้นมา ขณะที่คนอื่นๆ มองแล้วอาจเฉยๆ ไม่เห็นมีอะไรแปลก หรือน่าสนใจ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เหตุใด หล่อนจึงเกิดสะดุดตา และพาลสะกิดใจว่า ภาพที่เห็น ไม่ใช่เกิดจากความบังเอิญของคนสามชุด ที่บังเอิญออกมาเดินเล่นกันนอกโรงแรมที่พักตามปกติธรรมดา
พจีจำเรียงกลับขึ้นห้อง ขณะอยู่ในลิฟต์ หล่อนยังนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อสักครู่ แต่พอไขกุญแจเข้าห้อง หล่อนก็แทบจะลืมภาพเหตุการณ์ชวนพิศวงไปทันที
“โอย! นี่มันอะไรกัน?”
พจีจำเรียงยืนเกาะประตู ไม่กล้าก้าวล้ำเข้าไปในห้องพัก เนื้อตัวหล่อนออกจะสั่นนิดๆ ความประหลาดใจ ตกใจ มีมากพอกัน เมื่อมองไปที่เตียงที่หล่อนวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้บนนั้นก่อนจากห้อง
เมื่อเข้าห้องพัก และไม่คิดจะนั่งหรือนอนพัก แต่ได้กลับลงไปข้างล่าง และออกไปข้างนอก หล่อนไม่ได้เปิดกระเป๋าเสื้อผ้าทิ้งไว้ด้วยซ้ำ แต่ขณะนี้ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของหล่อน กระจายอยู่บนเตียง บางชิ้นตกอยู่ที่พื้น
กระเป๋าถือใบเล็กมีสายสะพายติดไหล่ ที่หล่อนใช้บรรจุพวกแป้ง ลิปสติก หวี กระดาษเช็ดหน้า ขวดน้ำหอมแบบพกพา และอื่นๆ ที่แยกออกมาจากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เพื่อสะดวกในการหยิบใช้ ไม่เพียงแต่ถูกจับคว่ำ เพื่อเทข้าวของออกจากกระเป๋า แต่ยังถูกกรีดเป็นทางยาวหลายริ้วรอย
พจีจำเรียงคิดว่าหล่อนคงยืนตะลึงอยู่อย่างนั้นเป็นหลายนาที แต่ความจริงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
ความคิดแวบแรกคือ ดีใจว่าหล่อนไม่ได้ทิ้งของมีค่าไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้า หรือกระเป๋าถือ ซึ่งของมีค่าที่มีมา ก็แค่กระเป๋าสตางค์
หล่อนก้าวเข้าไปในห้อง ไม่คิดจะไปหยิบจับข้าวของที่เกลื่อนอยู่ แต่มุ่งไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะเล็กข้างเตียง ต่อลงไปที่เคาน์เตอร์ ซึ่งมีพนักงานประจำอยู่ บอกให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนห้องพักของหล่อน
ขณะรอเจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมขึ้นมานั้น พจีจำเรียงก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง
ใครก็ตามที่บุกรุกเข้ามาในห้องพักของหล่อน ไม่น่าจะมีเจตนาแค่ลักขโมยสิ่งของมีค่าของแขกที่มาพักตามธรรมดา
ถ้าเป็นขโมยธรรมดาๆ คงแค่รื้อเสื้อผ้าเพื่อหาของมีค่าในกระเป๋า แต่นี่เล่นเล่นโยนเสื้อผ้าข้าวของกระจายเกลื่อน และยังกรีดกระเป๋าสะพาย เหมือนจะค้นดูให้แน่ใจว่า อาจจะมีซอกลับอยู่ภายใน
แต่ก็อาจเป็นได้ว่า ขโมยแค้นใจ ที่อุตส่าห์เสี่ยงเข้ามาแล้วไม่ได้อะไร จึงทำลายข้าวของเสียเลย
เจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมสองนายขึ้นมาถึง เห็นสภาพภายในห้อง ก็พูดไม่ออก พากันยืนตะลึงไปชั่วครู่ พักหนึ่งจึงพูดออกมาได้
“เกิดอะไรขึ้นครับนี่?”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ แต่ที่แน่ๆ ที่คุณเห็นอยู่นี้ ไม่ใช่ฝีมือของฉัน ฉันเช็ค-อิน เมื่อราวบ่ายโมงสามสิบห้านาที แค่เอากระเป๋าขึ้นมาไว้บนห้องแล้วกลับลงไป จากนั้นก็ออกไปข้างนอก เพิ่งกลับเข้ามา แต่ถ้าคิดว่าทั้งหมดนี้จะเป็นฝีฉันเอง ทำไปเพื่ออะไรก็ตาม เช็คจากพนักงานข้างล่างได้ว่าระยะเวลาที่ฉันขึ้นมาบนห้องแล้วกลับลงไป แม้กระทั่งขากลับเข้ามาเมื่อสักครู่นี้ว่า ฉันมีเวลาพอจะทำอะไรแบบนี้มั้ย?”
“เราก็... ไม่ทันคิดหรอกครับว่าจะเป็น... ฝีมือคุณ”
เจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมพูดอึกอัก
“เพื่อให้คุณมั่นใจว่า ฉันไม่ได้ทำ”พจีจำเรียงพูด “ฉันขอบอกว่าไม่คิดจะเรียกร้องค่าเสียหาย ถึงแม้ว่ากระเป๋าของฉันใบที่ถูกกรีดนั่นจะราคาหลายพัน”
ประมาณห้านาทีต่อมา ผู้จัดการโรงแรมก็เข้ามาสมทบ
ทุกอย่าง เป็นไปตามที่พจีจำเรียงคิดไว้ นั่นคือ ทางโรงแรมยืนยันว่าไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน และก็ไม่เคยปรากฏว่า ข้าวของของลูกค้าที่มาใช้บริการหาย หรือถูกขโมยแม้ครั้งเดียว
“พนักงานของเราไว้ใจได้ทุกคนครับ ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็ไม่เคยมีปัญหา”
ผู้จัดการวัยหนุ่มใหญ่ยืนยัน
พจีจำเรียงถอนใจ
“งั้นไม่แปลว่าฉันสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองหรือคะ?”
“เอ้อ... คือ...”
