3
“พี่ไม่อยากให้เพลงต้องร้องไห้แบบนี้” เขาดีกับเธอมาตลอด ทำดีกับพ่อแม่ของเธอเพื่อเอาชนะใจ แต่เขาทำดีจากใจจริงไม่ใช่เพื่อหวังผลใด ๆ ผู้ชายคนอื่นเอาเงินถุงเงินถังและของมีค่ามาให้ ในขณะที่เขาให้ความจริงใจ ของฝากเป็นของเล็ก ๆ น้อยๆ ที่ทำขึ้นมาเอง หาด้วยน้ำพักน้ำแรง กับข้าวก็เป็นกับข้าวที่ทำเองไม่ใช่อาหารหรูหราราคาแพงจากเมืองใหญ่ พ่อแม่ของเธอจึงไม่ค่อยปลื้มเขาเท่าใดนัก
“เพลงแค่คิดว่าจะทำยังไงต่อไปน่ะค่ะ มันสับสนไปหมด” เธอยอมรับออกมาตรง ๆ ว่าตอนนี้สับสนไปหมด
“เพลงตั้งสติ แล้วมองหน้าพี่ครับ” เขาประคองใบหน้าของเธอเอาไว้
“พี่สัญญาว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ไหน ๆ ก็มาอยู่ที่นี่ด้วยกันแล้ว เพลงก็ทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่กับพี่ที่นี่ต่อไป แล้วทุกอย่างปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เอง”
“ค่ะ” เธอรับคำขณะมองสบตาเขา คมฉกรรจ์บดจูบริมฝีปากของเธออย่างดูดดื่ม มือหนาล้วงเข้าไปในเสื้อของเธอ แต่โดนตะครุบมือเอาไว้
“เพลงหิวแล้วค่ะ” อยู่ใกล้กันเป็นไม่ได้ เมื่อก่อนไม่เห็นเขาเป็นแบบนี้เลย หรือเพราะเธอตกเป็นของเขาแล้ว เขาถึงได้ปรารถนาเธอขนาดนี้
คีตาไม่รู้เลยว่าเขาต้องการเธอมากมายแค่ไหน แต่ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ แต่ตอนนี้เธอเป็นเมียของเขาแล้ว เขาจึงไม่ต้องทรมานเหมือนก่อน
“พี่ไม่เคยมีใคร ไม่เคยนอกกายนอกใจเพลงเลยสักครั้ง เพราะพี่รักเพลงคนเดียว ตอนรู้ว่าเพลงจะแต่งงานพี่เสียใจมาก” เขาเอ่ยมันออกมา ขณะนำข้าวเหนียวและเนื้อย่างมาป้อนให้เธอจนถึงปาก
เธอรับมากินด้วยความหิว เพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน
“อร่อยไหม” เขาเอ่ยถามอย่างเอ็นดู พอละทิ้งความโกรธที่เกิดขึ้น เขาก็ใจเย็นลง และพบว่าเธอยังเป็นหญิงสาวที่น่ารักสำหรับเขาเช่นเดิม
“อร่อยค่ะ” เธอมองหน้าเขา รู้ว่าเขาไม่เคยนอกกายนอกใจเธอหรือมีใคร เจ้าชู้สักครั้งก็ไม่เคยเห็น แม้สาว ๆ สวย ๆ จะมายั่วมาอ่อยเขา เขาก็ไม่เคยชายตาแล
คมฉกรรจ์ไม่ใช่คนขี้เหร่ เขาหน้าตาดีหล่อเหลาเอาการ สาว ๆ ที่ไม่สนฐานะ ก็อยากได้เขามาครอบครองด้วยกันทั้งนั้น
“กระท่อมที่นี่แข็งแรงพี่มาสร้างเอาไว้นานแล้ว เราสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้เป็นเดือนสองเดือนเลยนะ พี่เอาอาหารมาตุนเอาไว้ และรอบกระท่อมก็สามารถหาอาหารได้สารพัดชนิด” ทั้งจากลำธารที่มีปลาอยู่เยอะพอสมควร ทั้งหัวเผือกหัวมันที่เขานำมาฝังเอาไว้ใต้ดินและใต้โคนไม้ สามารถเก็บกินได้เรื่อย ๆ แบบไม่อั้น โดยไม่ต้องกลัวอดอาหาร ทั้งผักที่เขานำมาขยายพันธุ์เอาไว้ให้เก็บกินได้ตลอดทั้งปี
“เราจะอยู่ที่นี่เป็นเดือนเลยเหรอจ๊ะ” เธอเอ่ยถามเขาขณะเคี้ยวข้าวเหนียวเนื้อย่างที่เขาป้อนให้ด้วยความหิว
“ต้องดูสถานการณ์ก่อน พ่อแม่ของเพลงทำกับพี่ไว้เจ็บแสบมาก หลอกกันเห็น ๆ บอกให้พี่พิสูจน์ตัวเองแต่กลับทำแบบนี้” เขายั้งปากเอาไว้พลางมองหน้าเธอ
“พี่มองเพลงแบบนั้นทำไมคะ”
“พ่อแม่เพลงบอกว่าเป็นหนี้เลยขอเงินพี่ไปใช้หนี้”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ”
“เยอะไหมคะ” เธอเอ่ยถาม เขาก็บอกจำนวนเงินทั้งหมดที่บิดามารดาของเธอหยิบยืมไป ทำเอาเธอถึงกับตาโต
“เยอะมากเลยนะคะนั่น ไม่เคยเห็นพี่คมเล่าให้เพลงฟังเลย”
“ที่พี่ไม่ได้เล่าให้ฟังเพราะพี่คิดว่ามันเป็นหน้าที่ของพี่ที่ต้องดูแลครอบครัวของเพลง แต่ตอนนี้ที่พี่เปิดปากเล่าก็ไม่ได้จะทวงบุญคุณแต่เพราะพี่...” เธอยกมือขึ้นปิดปากเขาเอาไว้
“เพลงรู้ค่ะ ถ้าเป็นเพลง คงเจ็บใจมากที่พ่อแม่ของคนรักมาเอาเงินเราไป หลอกให้เราพิสูจน์ตัวเองแล้วสุดท้ายยังให้คนที่เรารักไปแต่งงานกับคนอื่น เพลงเข้าใจพี่คมแล้วค่ะ ว่าทำไมพี่คมถึงได้โกรธขนาดนี้ แต่พี่คมรู้ไหมคะว่าคืนนั้นเพลงเจ็บมาก” เธอกัดปากขณะพูดกับเขาตาแดง
“พี่ทำให้เจ็บมากใช่ไหม” เขารู้สึกสำนึกผิดเป็นที่สุด
“เจ็บมากค่ะ นั่นเป็นครั้งแรกของเพลงนะคะ เพลงคิดว่าครั้งแรกของเพลง เพลงจะมอบสิ่งที่มีค่าให้ผู้ชายที่เพลงรัก ที่เพลงเก็บรักษามานาน ไม่เคยปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผู้ชายคนไหน ไม่เคยใจง่าย ก็อยากให้ผู้ชายคนนั้นทะนุถนอมเพลงให้มากๆ ค่ะ”
“พี่ขอโทษนะเพลง” พอได้สติเขาก็สำนึกผิดที่ทำให้เธอต้องร้องไห้และเสียใจขนาดนี้
สรุปว่าต่างคนต่างเข้าใจกันและกัน คีตาตัดสินใจว่าจะอาศัยอยู่ที่กระท่อมกลางป่ากับคมฉกรรจ์ไปก่อน ไหน ๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว
เขาป้อนข้าวเหนียวกับเนื้อย่างให้เธอจนอิ่ม ก่อนจะจัดการเก็บกวาดห้องครัวด้วยตัวเอง ชดเชยกับสิ่งที่เขาทำไม่ดีกับเธอ เพื่อเป็นการขอโทษเธอด้วย
“เพลงไม่ต้องทำอะไรนะครับ พักผ่อนซะนะ” เพราะค่ำคืนที่ผ่านมาเธอคงทรมานจากบทรักรุนแรงของเขา
คีตาหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย เธอหลับลึกแบบนี้นานหลายชั่วโมง ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็มืดค่ำ เธอรับข้าวต้มรอบดึกจากคมฉกรรจ์ ข้าวต้มทำให้รู้สึกอุ่นท้อง เบาสบายไม่หนักท้องจนเกินไป ก่อนจะหลับไปอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย
หญิงสาวตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ รู้สึกว่าร่างกายฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว อากาศสดใส เสียงนกร้องขับขาน และเสียงลำธารทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยมาปะทะจมูก ทำให้เธอต้องเดินออกมาดูในห้องครัว
“ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวต้มร้อนๆ กันสิ พี่ทำข้าวต้มปลาให้กิน” เขาเอ่ยทักทายหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม ความโกรธเคืองหายไปหมดสิ้นเมื่อได้ปรับความเข้าใจกัน
“ข้าวต้มปลาเหรอคะ หอมจัง ปลาอะไรคะ” เธอมองข้าวต้มปลาหอมกรุ่นด้วยรอยยิ้มเป็นประกาย
“ปลาช่อนในลำธารครับ พี่ได้มาตัวใหญ่เลย”
“พี่ไปหาปลาตอนไหนคะ”
“ตอนเช้าครับ เลยเอามาทำข้าวต้มให้กิน”
“หอมจังค่ะไม่คาวเลย”
“ใส่เนื้อปลาลงไปในน้ำเดือดๆ ไม่คาวครับ รอให้สุกค่อยกวน พี่ใส่แค่เกลือนิดหน่อย ความหวานก็ได้จากเนื้อปลาและข้าวใหม่ที่นำมาต้ม กินข้าวคล่องคอดี” เขาไม่นิยมใส่น้ำตาลทุกชนิดในอาหารเพราะไม่ชอบกับข้าวรสหวาน คิดว่าวัตถุดิบจากธรรมชาติก็หวานอยู่แล้ว
“ขอไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะคะ” เธอเอ่ยขอตัว พบว่าเขาเตรียมอุปกรณ์ในการทำภารกิจส่วนตัวให้เธอแล้ว
คีตาไปล้างหน้าแปรงฟันที่ลำธารด้วยความรู้สึกสดชื่น เธอมองฝูงปลามากมายในลำธารแล้วอมยิ้ม ที่นี่น้ำใสมาก แต่น้ำดื่มน้ำใช้ คมฉกรรจ์นำไปกรองก่อนถึงจะนำมา
ดื่ม ทั้งซักผ้า ทำกับข้าว ก็จะเป็นน้ำกรองทั้งหมด เขาใช้ถังขนาดใหญ่หลายใบที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเองสำหรับดูดน้ำจากลำธารมากรองและใช้ในชีวิตประจำวัน น้ำพวกนี้จะใสยายสะอาด ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส น้ำจากลำธารโดยตรง
เราอาจจะมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หากเผลอดื่มกินเข้าไปอาจจะเกิดอันตรายได้
