3
เมื่อเธอปีนลงมาได้ครึ่งทาง เขตก็เอื้อมมือขึ้นไปรับตะกร้ามะขามก่อน แล้วฉวยโอกาสคว้าเอวเธอเมื่อเธอก้าวลงถึงกิ่งต่ำ ร่างเล็กไถลลงมาเกยกับอกเขาเต็มแรง
“ปล่อยสิ! ฉันลงเองได้” ฟ้าใสดิ้น แต่ยิ่งดิ้นแขนหนาก็ยิ่งกอดกระชับ
“ไม่ปล่อย” เขตตอบเสียงขรึม ริมฝีปากโน้มลงใกล้จนแก้มเธอร้อนผ่าว
“เพราะอยากกอดแบบนี้มานานแล้ว”
ฟ้าใสสะท้านไปทั้งตัว พยายามเม้มปากกลั้น แต่สายตาที่เขามองมานั้นเหมือนจะละลายทุกแรงต้าน เธอหายใจสั้นถี่ หัวใจเต้นแรงเกินทน
ริมฝีปากร้อนทาบทับลงมาอย่างเร่าร้อน รสจูบเปรี้ยวหวานเหมือนมะขามที่เพิ่งเด็ดจากต้น ความร้อนแผ่ซ่านจนลืมทุกสิ่งรอบข้าง เสียงจักจั่นเรไรเหมือนเงียบหาย เหลือเพียงเสียงหัวใจสองดวงกระแทกกันดังโครมคราม
ฟ้าใสเผลอปล่อยเสียงสะอื้นเบา ๆ ในจังหวะที่เขตรัดแน่นขึ้น มือเล็กกำเสื้อเขาแน่นแทนที่จะผลักออก สุดท้ายเธอก็ปล่อยให้ร่างกายตอบรับตามเสียงหัวใจ
เขตผละออกนิดเดียว มองใบหน้าแดงก่ำที่หอบหายใจถี่ของเธอ แล้วกระซิบเสียงพร่า
“คราวนี้ต่อให้มะขามทั้งต้นตกลงมา พี่ก็ไม่สนหรอก ถ้าได้กอดเธอไว้แบบนี้” คำพูดนั้นทำให้ฟ้าใสหลับตาแน่นอย่างยอมจำนน เธอรู้แล้วว่าหนีความรู้สึกนี้ไม่ได้อีกต่อไป
และใต้ร่มเงามะขามหวานในบ่ายนั้น ความสัมพันธ์ต้องห้ามก็ยิ่งผูกพันลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น
สายลมต้นฤดูร้อนพัดกลิ่นดินและหญ้าอบอวลไปทั่วท้องทุ่ง ฟ้าใสสะพายตะกร้าไม้ไผ่กับไม้ยาวเดินเลาะเข้าดงไผ่เพื่อหาไข่มดแดงมาทำแกงผักหวาน เธอชำนาญอยู่แล้วเพราะตั้งแต่เด็กก็ทำงานบ้านเป็นกิจวัตร
เขตเดินตามหลังมา มือถือไม้คานสั้นไว้ช่วยกันแหย่รัง
“แน่ใจนะว่าไม่กลัวมดกัด” เขาพูดพลางยิ้มมุมปาก
“กลัวอะไรเล่า ทำมาตั้งแต่เด็ก” ฟ้าใสยักคิ้วอย่างมั่นใจ แล้วเงยหน้ามองรังมดแดงที่ห้อยระหว่างกิ่งไผ่สูง
เธอใช้ไม้แหย่รังให้ร่วงลงมาตรงปากตะกร้า แต่กิ่งกลับโยกแรงกว่าที่คิด รังไข่มดแดงบางส่วนแตกออก มดนับร้อยกรูกันลงมาตามแขนทันที
“กรี๊ด! อ้ายเขต มดกัด!” ฟ้าใสร้องเสียงหลง ทิ้งไม้ในมือ รีบสะบัดแขนแต่ไม่ทัน เขตถลาเข้ามาช่วยเหลือ
“เดี๋ยวฉันช่วย” เสียงเขาต่ำทุ้ม แต่เต็มไปด้วยความร้อนรน
ฟ้าใสตัวสั่นเพราะทั้งเจ็บแสบและทั้งเขิน ร่างเล็กถูกแขนหนาโอบจนแนบชิด กลิ่นเหงื่อคลุกกลิ่นดินกับกลิ่นไผ่สดหอมอวล
“เจ็บมั้ย” เขตถามแผ่ว ๆ พลางใช้นิ้วค่อย ๆ ปัดมดออกจากลำคอและต้นแขนของเธอ
ฟ้าใสหอบหายใจแรง แก้มแดงจัด
“เจ็บแหละ แต่กัดนิดหน่อยเอง”
“แต่หน้าเธอนี่แดงกว่าคำว่านิดหน่อยนะ” เขตพูดพลางยกคางเธอขึ้น สายตาคมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาที่สั่นระริกของเธอ
หัวใจฟ้าใสเต้นรัวจนแทบทะลุออกมา ดงไผ่รอบข้างเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมซู่ซ่าและเสียงหัวใจสองดวง เธอพยายามเบือนหน้าหนี แต่เขตก็โน้มเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแตะกัน
“เขต…” เสียงเธอขาดห้วงราวกับจะห้าม แต่ไม่ทันเสียแล้ว
ริมฝีปากเขตประทับลงมาอย่างเร่าร้อน คราวนี้ไม่ใช่จูบที่รีรอ แต่เป็นการครอบครองที่เต็มไปด้วยความหวงแหน ร่างเล็กในอ้อมแขนสั่นสะท้าน มือเธอที่ควรจะผลักกลับยกขึ้นกอดต้นคอเขาแน่นโดยไม่รู้ตัว
เขตกระชับอ้อมกอดจนฟ้าใสแทบจมหายไปกับอกกว้าง เสียงลมหายใจประสานกันดังชัดในดงไผ่ เธอปล่อยเสียงครางอ่อยแผ่ว ๆ ร้อนวูบไปทั่วร่าง
เมื่อริมฝีปากผละออก เขตกระซิบพร่าใกล้ข้างหู
“คราวนี้เธอไม่ใช่แค่ของหวงหรอกนะฟ้าใส…แต่เป็นคนที่ฉันจะไม่มีวันยอมให้ใครแย่งไป”
น้ำเสียงนั้นหนักแน่นเสียจนหัวใจของฟ้าใสสั่นไม่หยุด เธอหลับตาแน่น ปล่อยตัวเอนซบในอ้อมกอดเขา ความลับที่เกิดขึ้นกลางดงไผ่ครั้งนี้ชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
และในความเงียบของป่า ความสัมพันธ์ต้องห้ามก็ก้าวข้ามเส้นไปอีกขั้น
บ่ายแก่ ๆ แสงแดดลอดช่องไม้ไผ่หลังครัวเข้ามาเป็นลายริ้ว ฟ้าใสนั่งยอง ๆ ตำพริกเกลือในครกหิน กลิ่นหอมเผ็ดฉุนลอยตลบอบอวลจนต้องปาดเหงื่อที่ขมับ ครัวไฟฟืนเล็ก ๆ มีหม้อดินตั้งบนเตา ควันสีขาวลอยขึ้นคลอไปทั่ว
เขตนั่งหั่นเนื้อปลาคังอยู่ข้าง ๆ แขนแกร่งเต็มไปด้วยเหงื่อวาวแสงไฟฟืน
“จะใส่ดีปลาร้าหรือเปล่า” เขาถาม แต่สายตาไม่ได้จ้องที่เนื้อปลา หากจับอยู่ที่เสี้ยวหน้าของหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับครก
ฟ้าใสไม่หัน แต่ยกคางตอบอย่างมั่นใจ
“ใส่สิ ขาดไม่ได้หรอก ลาบถ้าไม่มีปลาร้า มันไม่ถึงใจ”
เขตยิ้มมุมปาก พูดแซว
“เธอนี่ก็ปากเก่งนัก แต่พี่ชอบ”
ฟ้าใสชะงักมือ หันไปค้อนหนึ่งที
“พูดดี ๆ ไม่เป็นหรือไง” แต่แก้มกลับแดงเรื่อจนซ่อนแทบไม่มิด
เขตหัวเราะเบา ๆ วางมีดลง แล้วขยับเข้ามานั่งใกล้จนไหล่แทบชน
“ขอดูหน่อย ตำพริกได้แซบแค่ไหน”
“ไม่ต้องมายุ่ง!” ฟ้าใสพยายามดัน แต่เขตก็ฉวยไม้ตำจากมือเธอมา แล้วโน้มตัวเข้าประชิด ใบหน้าห่างกันแค่คืบ ลมหายใจร้อน ๆ แตะข้างแก้ม
“พี่ว่าแซบจริง ๆ ไม่ใช่เพราะพริกหรอก” เขตกระซิบเบา ๆ สายตาลึกซึ้งจ้องเธอไม่วาง
หัวใจฟ้าใสเต้นแรง มือเธอที่กำลังจะยื้อไม้ตำกลับสั่น เธอหายใจติดขัดจนต้องเบือนหน้าหนี
“อย่ามาพูดมั่ว ๆ”
แต่เขตกลับหัวเราะเบา ๆ กดไม้ตำลงแรง ๆ จนเสียงครกดัง
“ตึ้ก ตั้ก” สอดประสานกับเสียงหัวใจของฟ้าใสที่เต้นไม่เป็นส่ำ
กลิ่นควันไฟกับกลิ่นเนื้อปลาอบอวลไปทั้งครัว เขตกวาดตาไปเห็นผ้าขาวม้าที่ฟ้าใสพาดไว้กับเอว เขายื่นมือไปดึงเบา ๆ จนเธอสะดุ้งหันมา
“เขต!” เธอร้อง แต่ไม่ทัน เขตก็รวบตัวเธอเข้ามาแนบอก ท่ามกลางควันไฟที่โอบล้อม ริมฝีปากประทับลงบนริมฝีปากเธออย่างร้อนแรง
ฟ้าใสเผลอปล่อยเสียงครางเบา ๆ มือเล็กที่ตั้งใจจะผลักกลับเกาะแน่นที่ไหล่กว้าง ไฟฟืนที่กองอยู่ในเตาดูเหมือนจะลุกโชนแรงขึ้นตามความเร่าร้อนของร่างสองร่าง
เขตกระซิบเสียงพร่าใกล้ริมหู
“ฟ้าใส…ไม่ว่าข้าวแกงจะหอมยังไง พี่ก็หิวเธอมากกว่า”
เธอสั่นสะท้านไปทั้งกาย ร้อนผ่าวยิ่งกว่าควันไฟที่โหมในเตา แก้มแดงจัดจนไม่อาจซุกซ่อน สุดท้ายก็ยอมเอนซบอกเขาอย่างหมดแรง
ในครัวไฟฟืนนั้น กลิ่นควัน กลิ่นแกง และกลิ่นความลับปะปนกันแนบแน่น ไม่มีใครได้ยินนอกจากเสียงหัวใจของทั้งคู่ที่ดังเกินกว่าจะกลบได้
เสียงไก่ขันรับรุ่งอรุณยังไม่ทันจาง แสงแดดยามเช้าก็โผล่ขึ้นเหนือยอดไม้ ฟ้าใสสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินไปตลาดนัดที่ลานวัด หมู่บ้านเริ่มคึกคัก แม่ค้าเสียงดังเรียกลูกค้า ขายทั้งผักสด ปลาน้ำจืด เนื้อควาย และขนมพื้นบ้าน กลิ่นข้าวหลามหอมหวานผสมกับกลิ่นปิ้งไก่ลอยตลบ
เธอก้าวเดินอย่างคล่องแคล่ว ปากคุยกับแม่ค้า มือหยิบเลือกผักหวานสด ๆ แต่ใจกลับเต้นแรงเพราะรู้ดีเช้านี้ เขตจะมาเช่นกัน แม้ไม่ได้นัดหมายตรง ๆ แต่เป็นนัยที่ทั้งคู่รู้กัน เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นจากอีกฟากแผงขายปลา
