2
โลกทั้งใบก็เหมือนจะหยุดหมุน เหลือเพียงร่างสองร่างใต้เงาไผ่ที่ซ้อนทับกันแนบแน่น เสียงหัวใจดังกลบทุกอย่าง ก่อนเรื่องราวทั้งหมดจะเลือนหายไปในม่านหมอกแห่งความลับ
แดดสายเริ่มส่องแรงลงมาที่ผืนนา กลิ่นโคลนชื้นกับกลิ่นหญ้าข้าวใหม่ลอยคลุ้งไปทั่ว ฟ้าใสสะพายผ้าเช็ดหน้าไว้กับบ่า มัดผมขึ้นสูงเพื่อเตรียมลงนา ดวงหน้าเปื้อนเหงื่อเล็กน้อยแต่ยังคงสดใส
เธอหันไปมองเขตที่กำลังเดินแบกฟ่อนกล้าลงมา ร่างสูงเปลือยท่อนบน แผ่นอกเปื้อนเหงื่อระยับแดด ลมหายใจของฟ้าใสสะดุดไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนตักน้ำร้อน ๆ
“ยืนเหม่อทำไม มาช่วยดำนาสิ” เขตส่งเสียงเรียก แววตาล้อเลียนชัดเจน
ฟ้าใสทำหน้าบึ้งพอเป็นพิธี
“ใครเหม่อ ฉันก็แค่…มองฟ้าอยู่”
“โกหกไม่เก่งเลยฟ้าใส” เขตหัวเราะเบา ๆ แล้วก้าวลงโคลนไปก่อน มือแกร่งจับต้นกล้าปักลงดินอย่างคล่องแคล่ว
ฟ้าใสเดินตามลงมาเท้าเปล่า โคลนเย็นกัดฝ่าเท้า จนเธอหัวเราะออกมาเพราะจั๊กจี้ เขตเหลือบมองแล้วอมยิ้ม ก่อนแกล้งตักโคลนขึ้นมาป้ายแขนเธอ
“เธอหัวเราะเสียงน่าฟังนัก”
“อ้ายเขต! เปื้อนหมดแล้วนะ” ฟ้าใสกรี๊ดเบา ๆ ก่อนจะก้มลงตักโคลนขึ้นมาบ้าง ป้ายกลับไปเต็มแผ่นอกเขา
ทั้งคู่หัวเราะร่า วิ่งไล่กันไปมาท่ามกลางผืนนาโล่ง สุดท้ายฟ้าใสพลาดท่าลื่น ร่างเล็กจะล้มลงแต่ถูกเขตรวบเอาไว้เต็มอก แขนหนาโอบรัดแน่นจนร่างทั้งคู่แนบสนิท
เสียงหัวเราะค่อย ๆ แผ่วลง เหลือเพียงเสียงหอบหายใจถี่ ๆ ดวงตาสองคู่สบกันใกล้จนเห็นเงาสะท้อนชัดเจน
“เธอนี่ดื้อจริง ๆ” เขตกระซิบเสียงแผ่ว ริมฝีปากโน้มเข้าใกล้ใบหู มือใหญ่ยังจับเอวเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ถ้าไม่ดื้อ ป่านนี้ก็คงไม่ได้มายืนตรงนี้กับพี่แล้ว” ฟ้าใสตอบเสียงสั่น แต่ดวงตากลับสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจปิดบัง
เขตยิ้มบาง ๆ ก่อนโน้มหน้าลงแนบชิด ริมฝีปากแตะที่แก้มเธอเบา ๆ แล้วเลื่อนไปหามุมปาก ความอุ่นวาบแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ฟ้าใสเผลอปิดตาแน่น หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา
โคลนที่เปื้อนกายกลับไม่สำคัญอีกต่อไป เมื่อเขตจูบเธอแนบแน่นกลางทุ่งนา เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัว มือที่ตั้งใจจะผลักกลับเกาะแน่นที่ต้นแขนเขาแทน
เสียงลมพัดใบข้าวดังซู่ซ่าเหมือนกล่อม รับรู้ถึงความลับต้องห้าม ร่างสองร่างเอนพิงกันอยู่กลางโคลนเย็น แต่ภายในกลับร้อนแรงเกินบรรยาย
เขตผละออกนิดเดียว มองใบหน้าแดงระเรื่อของฟ้าใสที่หอบหายใจ
“อย่าหนีจากพี่อีกนะฟ้าใส…ที่นี่หรือที่ไหน พี่ก็จะตามหาจนเจอ”
ฟ้าใสเม้มปากแน่น หัวใจสั่นระรัว ไม่ตอบ แต่สายตาเธอได้บอกทุกอย่างแทนแล้ว และท่ามกลางท้องนากว้างไร้ผู้คน
แดดบ่ายสาดเปรี้ยงลงบนผืนนา รังสีอุ่นแผดจนผิวแสบตา เสียงจักจั่นเรไรดังระงมราวกับบรรเลงทำนองแห่งความร้อนแรงของธรรมชาติ ฟ้าใสเหนื่อยหอบหลังจากดำนามาตลอดทั้งสาย ร่างเล็กเต็มไปด้วยโคลนและเหงื่อ เธอปาดหน้าผากด้วยผ้าเช็ดหน้า แต่ความร้อนก็ยังไม่หาย
“ขึ้นเถียงกันหน่อยเถอะฟ้าใส เดี๋ยวแดดเผาเนื้อไหม้หมด” เสียงเขตดังขึ้นจากอีกฟากนา เขาแบกคานฟ่อนกล้าไปพาดไว้ริมคัน แล้วกวักมือเรียกเธอ
ฟ้าใสเดินตามอย่างหมดแรง พอถึงเถียงนาหลังเล็กที่ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ไผ่ ร่างสูงของเขตรีบปีนขึ้นก่อน แล้วยื่นมือมารับเธอขึ้นไปด้วย ฟ้าใสลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ตัดสินใจก้าวขึ้นโดยยอมให้มือหนาประคองแขนพาเข้ามา
ลมบ่ายพัดโกรกใต้หลังคาใบจาก แสงแดดลอดช่องไม้ไผ่เป็นลายริ้ว เธอทิ้งตัวลงนั่งบนฟากไม้ หอบหายใจแรงจนอกกระเพื่อม เขตนั่งลงข้าง ๆ ดวงตาคมกวาดมองแล้วหยุดตรงข้อแขนขาวที่มีรอยขีดข่วนจากใบหญ้าคม ๆ
“แผลนี่ โดนหญ้าใบมีดบาดใช่ไหม” เขาพูดเบา ๆ แล้วคว้ามือเธอมากางดู
ฟ้าใสสะดุ้ง หวั่นไหวกับสัมผัสนั้น แต่ก็ไม่กล้าดึงหนี
“มันนิดเดียวเอง…ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไรได้ยังไง เลือดซึมอยู่” เขตขมวดคิ้ว ก้มลงเป่าลมเบา ๆ ตรงรอยแผลเหมือนเด็ก ๆ เวลาเจ็บตัว
ไอร้อนจากลมหายใจของเขาแตะผิวจนฟ้าใสสะท้านทั้งแขน ความอุ่นแผ่ว ๆ นั้นทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก เธอหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่แก้มกลับแดงจัด
เขตเห็นท่าทางนั้นก็ยิ้มมุมปาก เอียงตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด มือยังประคองแขนเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
“ฟ้าใส…” เสียงเรียกชื่อต่ำพร่าราวกับคำร่ายมนตร์
“อยากให้พี่ดูแลแบบนี้ตลอดไปไหม”
ฟ้าใสหันกลับมามอง ริมฝีปากสั่นระริก
“เขต…ถ้าใครรู้เข้า”
ไม่ทันจบคำ เขตก็โน้มหน้าลงประกบจูบแน่น ลมหายใจร้อนแรงบดเบียดทุกความลังเล มือหนาลูบแก้มและไล้ปลายนิ้วที่ต้นคอจนเธอสั่นสะท้าน เสียงลมพัดใบไผ่ดังซู่ซ่าเหมือนกำลังกลบเกลื่อนความลับที่เกิดขึ้น
ฟ้าใสหลับตาแน่น ร่างทั้งตัวร้อนผ่าวยิ่งกว่าแดดบ่าย เธอพยายามจะผลัก แต่แรงนั้นกลับอ่อนลงเพราะหัวใจไม่อาจต้านทานได้ มือเล็กกำเสื้อเขาแน่นแทน
ริมฝีปากของเขตผละออกเล็กน้อย แต่ยังคงชิดจนปลายจมูกแตะกัน เสียงหอบหายใจสอดประสาน
“พี่ไม่สนหรอกว่าใครจะว่าอะไร พี่จะมีแค่เธอเท่านั้น”
ฟ้าใสสั่นไปทั้งตัว น้ำตาคลอเพราะทั้งกลัว ทั้งซึ้ง ทั้งหวั่นไหว เธอกระซิบตอบเบา ๆ
“อย่าทำให้ฉันต้องเสียใจนะ”
เขตยกมือลูบผมเธอเบา ๆ ก่อนดึงร่างเล็กเข้ามากอดแน่น อ้อมแขนนั้นเต็มไปด้วยไออุ่นที่ทำให้เธอไม่อาจหนีไปไหนได้อีก
และในบ่ายที่แดดร้อนแรงที่สุด เถียงนาหลังเล็กก็กลายเป็นที่ซ่อนความลับอันร้อนแรงยิ่งกว่าเปลวไฟ
ลมบ่ายแก่ ๆ พัดเอื่อย กลิ่นดินชื้นกับกลิ่นใบมะขามโชยมาแตะจมูก ต้นมะขามใหญ่ริมคันนาสูงชะลูด กิ่งก้านแผ่กว้างเต็มไปด้วยฝักแก่ที่ห้อยระย้า ฟ้าใสเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วช้อนตาขึ้นมอง
“อยากกินจัง แกะกินสด ๆ คงมันลิ้นดีนะ” เธอเอ่ยกับตัวเอง แต่เสียงนั้นดังพอให้ใครอีกคนได้ยิน
“อยากกินก็ปีนขึ้นไปสิ” เขตที่นั่งพิงโคนต้นมะขามยิ้มมุมปาก ดวงตาจับจ้องเธออย่างมีเลศนัย
ฟ้าใสเบ้หน้าใส่
“คิดว่าฉันปีนไม่เป็นหรือไง” ว่าแล้วเธอก็จับกิ่งแน่น ยกตัวขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ร่างเล็กขยับขึ้นสูงทีละกิ่ง เขตเงยหน้ามองตาม สายตาคมกริบจ้องไม่ละไปไหน
แสงแดดลอดใบไม้กระทบเรียวขาเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นชายซิ่นเวลาปีนขึ้น ฟ้าใสไม่รู้ตัว แต่สำหรับเขตแล้ว ภาพนั้นช่างยั่วยวนเกินกว่าจะเบือนสายตาได้
“ระวังลื่นนะฟ้าใส” เขตตะโกนขึ้น แต่เสียงกลับแหบพร่าเสียเอง
ฟ้าใสหันลงมา หัวเราะคิก ๆ
“กลัวอะไรนักหนา ฉันเก่งจะตาย” เธอยื่นมือไปเด็ดฝักมะขาม แต่กิ่งนั้นกลับโยกแรงเพราะลมพัด ร่างเธอเซไปนิดเดียว
“ฟ้าใส!” เขตรีบยืนขึ้น ถลาเข้ามาใต้ต้นไม้ เธอหัวเราะพลางเกาะกิ่งไว้แน่น
“ไม่ตกหรอกน่า พี่เขตนี่เป็นห่วงเกินเหตุ” เธอพูด แต่เสียงหัวเราะกลับสั่นน้อย ๆ เพราะก็ใจหวิวอยู่เหมือนกัน
เขตยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างล่าง มองขึ้นไปพลางส่ายหน้า แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความร้อนแรงที่ไม่อาจซุกซ่อน
“ถ้าตกลงมาจริง ๆ ก็มีพี่อยู่นี่ไง จะรับเอาไว้เอง” คำพูดนั้นทำให้ฟ้าใสหน้าแดงวาบกว่าแดดยามเย็นเสียอีก หัวใจเต้นแรงจนแทบปลิด ฝักมะขามในมือแทบหล่น
