ตอนที่8. รักษาเด็ก
ความจริงอังค์เนสเคยชินกับการตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องออกไปเก็บพืชสมุนไพรบางชนิดในช่วงก่อนเวลาที่ดวงตะวันจะทอแสง แต่การอยู่ในที่ที่ไม่รู้ว่ามันคืนที่ไหนเป็นเรื่องยุ่งยากใจเธอเหลียวมองไม่เห็นใครนอกจากม้าและรถบรรทุกสินค้าจึงปีนลงมายืนบนพื้น ไม่ไกลนักมีแสงสว่างจากกองไฟ
“คอแห้งจัง เข้าไปขอน้ำคงไม่เป็นไรมั้ง”
อังค์เนสบอกกับตนเองแล้วเดินไปที่กลุ่มคนที่นั่งล้อมรอบกองไฟอยู่ พวกเขาต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว
“พวกท่านพอจะปันน้ำดื่มให้ข้าหน่อยได้ไหม”
“อ้อ เจ้าหนูนั่นเอง”
ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับ เขาพอจะจำได้รางๆ ว่าเห็นคนตรงหน้าเมื่อกลางดึก เขารับเงินค่าจ้างมาแล้วจึงไม่อยากสนใจว่าใครเป็นใครนัก ชายผู้นั้นดีดนิ้วสั่งคนที่นั่งใกล้ๆ รินน้ำส่งให้อังค์เนส
“ขอบคุณ”
เธอรีบยื่นมือไปรับมาดื่มอึกๆอย่างกระหาย จนต้องยื่นถ้วยเปล่าเพื่อขอเติมน้ำอีก แต่เสียงท้องร้องโครกครากทำให้ผู้ที่นั่งล้อมกองไฟต่างพากันหัวเราะเสียงดัง อังค์เนสได้แต่ก้มหน้าเอามือกุมท้องอย่างอับอาย
โธ่! ก็ตอนที่เนเฟอร์คาเรบังคับให้กินอาหารเธอมั่วแต่กลัวและตกใจจนกลืนอะไรไม่ลงนี่นะ
“นี่ขนมปังกินกันตายได้” ชายคนเดิมยื่นขนมปังส่งให้
“ขอบคุณ”เธอรีบยื่นมือไปรับมากัดกินทันที
“เจ้านี่...มารยาทดีเหมือนกัน” ชายคนเดิมพยักหน้าชอบใจเขาเป็นพ่อค้าเร่มาหลายสิบปีการพูดจามักโผงผาง นานๆ ครั้งถึงจะพูดจาอ่อนน้อมกับใครสักหน “กินรองท้องไปก่อนใกล้จะถึงเขตเมืองอยู่แล้ว”
“เขตเมือง เมืองไหนหรือท่าน”
ยังไม่ทันที่อังค์เนสจะได้คำตอบ หญิงคนหนึ่งก็วิ่งมาทั้งน้ำตานองหน้าเข้ามาเกาะขาชายผู้นั้นแล้วละล่ำละลักทั้งสะอื้น
“อะไรนะ ลูกชายข้าชักเรอะ”
“เจ้าคะนายท่าน นายหญิงตกใจจนเป็นลมไปแล้วเจ้าคะ”
“ชัก” อังค์เนสลุกพรวดขึ้นแทบจะพร้อมกับชายวัยกลางคนที่เดาว่าเป็นพ่อของคนคนนั้น “ขอข้าไปดูอาการด้วยเถิด”
ฮาซันเหลือบมองด้วยหางตาก่อนพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก เขารีบวิ่งมาที่กระโจมของภรรยาและบุตรชายวัยสี่ขวบซึ่งกำลังมีอาการตัวเกร็ง น้ำลายท่วมปากและตาเหลือกจนดูน่ากลัว
“ลูกลูกข้า” ร่างใหญ่ปราดเข้าไปทันทีแต่ก็เงอะงะทำอะไรไม่ถูก “มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง”
“คุณหนูมีไข้มาตั้งแต่เมื่อเย็นวานจนเมื่อดึกก็มีไข้สูงแล้วก็”
“ทำไมไม่มีใครบอกข้า! ลูกข้าป่วยทำไมไม่บอกปล่อยให้เดินทางระหกระเหินได้ยังไง!”
“ก็...ก็...นายท่าน...นายท่าน”
“ขอข้าดูหน่อย”
อังค์เนสที่เพิ่งวิ่งตามมาถึงรีบแทรกตัวเข้าไปทันที มือเรียวเล็กรีบขยับจับคลายเสื้อผ้าบริเวณหน้าอกและคอให้หลวมๆ แต่เนื่องจากเป็นเด็กเธอจึงไม่เสี่ยงต่อการใช้อะไรมาง้างปากเพราะเกรงฟันน้ำนมจะหลุดลงคอ เธอจัดท่าเด็กให้นอนตะแคงในพื้นราบที่นุ่มไม่มีของแข็งมากระทบที่จะทำให้เกิดอันตรายมากยิ่งขึ้น แล้วพยายามทำให้ทางเดินหายใจโล่ง โชคดีที่ในช่องปากไม่มีเศษอาหาร
“ขอน้ำอุ่นเช็ดตัวเด็กด้วย”
เธอสั่งอย่างเฉียบขาดทำให้ทาสรับใช้สะดุ้งโหย่งแต่ก็รีบวิ่งไปเอาอ่างน้ำใบเล็กที่ผสมน้ำอุ่นพอเหมาะมาให้ อังค์เนสรีบเช็ดตัวเพื่อละความร้อน
เด็กเริ่มมีอาการดีขึ้นเมื่อหายใจสะดวกแล้ว เธอจึงดูตามเนื้อตัวของเด็กน้อย นอกจากจะมีไข้สูงแล้วยังมีอาการตาแดงมีผื่นเป็นลักษณะแบบผดแดงกระจายจากบริเวณหน้าผากไล่ลงมาตามตัว และแขนขา เธอจึงลองอ้าปากเด็กน้อยดูช่องปากบริเวณกระพุ้งแก้มจะเห็นผื่นเป็นจุดขาวๆ กระจายตามเยื่อบุในกระพุ้งแก้ม
“ลูกของท่านออกหัด อาจเพราะไข้สูงจึงมีอาการชัก หมั่นเช็ดตัวอยู่เสมอๆ เพื่อลดความร้อนของร่างกาย แต่ไม่ต้องห่มผ้าหนาๆให้เพราะเด็กจะหายใจลำบาก”
“จริงหรือนี่”
“ปกติเด็กที่ออกหัดจะหายเองตามธรรมชาติ แต่ลูกของท่านคงร่ายกายไม่แข็งแรงนักจึงไม่สบายหนักอย่างนี้” อังค์เนสหันซ้ายแลขวามองรอบๆ “ที่นี่มีเด็กอีกไหม ต้องระวังด้วยเพราะอาจจะติดหัดได้”
‘ถ้ามีย่ามใส่ยาของข้ามาด้วยก็ดี’
อังค์เนสได้แต่ถอนหายใจหนักๆ เธอช่วยอะไรไม่ได้นักทั้งที่รู้อยู่ในใจว่าสามารถทำได้มากกว่านี้ บิดาของเด็กน้อยปราดเข้ามาจับมือเรียวเล็กของอังค์เนสแล้วเขย่าแรงๆ ด้วยความตื้นตันในน้ำใจของเธอ
“ข้าไม่รู้จะตอบแทนเจ้ายังไงดี”
“ไม่เป็นไร...ท่านก็ให้อาหารและน้ำดื่มกับข้าแล้ว”
