บท
ตั้งค่า

ช่างใจ ครั้งที่ 5: พี่เหนือเดลิเวอร์รี [2/1]

ความฟินว่าอยู่ยั้งยืนยงแล้ว ความงงนี่อยู่ยั่งยืนกว่า

ยั่งยืนชนิดฝังรากแก้วลงไปในสมองผมเลยเถอะ จนตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าไปพูดอะไรให้ธารมันโกรธ อันที่จริงผมจะไม่สนใจก็ได้ว่าเด็กนั่นโกรธเรื่องอะไร แต่พอนึกถึงสวัสดิภาพของรถคันเก่งของตัวเองแล้วจะปล่อยผ่านก็เห็นทีจะไม่ได้ เลยต้องรีบเสนอหน้าไปถามพี่สมรว่าธารมีปัญหาอะไรที่บ้านหรือเปล่า ผมเดาเอาว่าอย่างนั้นเพราะตอนธารตอกกลับผม มันเน้นประเด็นเรื่องผู้ใหญ่ แต่ถามว่าพอไปถามพี่สมรที่เพิ่งดลับมาจากการพาโรมไปโรงพยาบาลแล้ว ถามว่าพี่สมรตอบคำถามผมมั้ย... ตอบ แต่ด่าก่อนตามด้วยเทศนาอีกหนึ่งชุดใหญ่ โทษฐานที่ผมปล่อยให้ธารหนีออกไปจากห้องปกครอง

บอกเลยว่ากูไม่ได้ปล่อยเว้ย มันก็ไม่ได้หนีด้วย แต่แม่งเดินออกไปเองหน้าด้านๆเลยต่างหาก!

สุดท้ายพี่สมรก็ตามกลับมาได้ แล้วก็พามันเข้าห้องเย็น พร้อมเชิญผู้ปกครองมารับทราบเรื่องอีกครั้ง ผมเลยได้รู้ในตอนนี้ว่าครั้งก่อนที่พี่สมรขู่ว่าจะเชิญผู้ปกครองตอนที่มันดูดบุหรี่ อันนั้นแค่ขู่ ไม่ได้ทำจริงเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เลยให้แค่เขียนสัญญาว่าจะไม่สูบบุหรี่ในวิทยาลัยอีก 

แต่รอบนี้คือของจริง โทรตามจริง และผู้ปกครองมาจริง ตอนแรกที่ผมเห็นผู้ปกครองของธาร ผมอดตกใจไม่ได้เลยที่เห็นว่าพ่อของเด็กนั่นยังหนุ่มยังแน่นอยู่ อายุอานามไม่น่าจะเกินสามสิบห้าด้วยซ้ำ ทว่าผิด... ไม่ใช่พ่อของเด็กนั่น เป็นเลขาของพ่อต่างหาก มาแทนเพราะพ่อของธารไปประชุมที่กรุงเทพฯ เลยไม่ว่างมาเอง

มิน่า หน้าตาถึงไม่เหมือนกันสักนิด ธารหล่อกว่าเยอะ

แต่การมาของเลขาพ่อก็ทำให้ผมรู้ว่าพ่อของเด็กนั่นเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าตำแหน่งอะไรมารู้หลังไมค์จากพี่สมรอีกทีว่าเป็น ส.จ.

โหย ไม่แปลกใจละว่าทำไมเด็กเวรนั่นถึงได้มีรถมอเตอร์ไซค์แพงๆอย่างนั้น เรื่องแม่ของโรมกับจอมแก่นที่ไปเป็นแม่นมกับแม่บ้านก็ไม่สงสัยแล้วด้วย บ้านรวยชัวร์ไม่มั่วนิ่ม และดูท่าทางเป็นลูกคุณหนูโดนสปอยล์แน่นอนถึงนิสัยเสียแบบนี้

"แล้วพี่สมรพอจะรู้บ้างมั้ยครับว่าเด็กเวร...เอ้ย ธารใจมีปัญหาครอบครัวบ้างมั้ยครับ" ผมถามพี่สมรทันทีที่เคลียร์ปัญหาเด็กตีกันเสร็จและกลับเข้ามาในห้องพักครู นึกถึงตอนที่ธารพูดกับผมก็ถามออกไป ดีนะที่เปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกมันได้ทัน ไม่งั้นพี่สมรต้องตกใจแน่ที่เห็นคนสุภาพเรียบร้อยอย่างผมพูดจาหยาบคาย

ก็นะ ฉากหน้าก็ต้องดูดีหน่อย ลับหลังก็ช่างมันเถอะ

"เท่าที่เห็นก็ไม่มีนะ เอาตรงๆ พี่ก็ไม่รู้หรอก ตั้งแต่สอนเจ้าธารมาตั้งแต่เรียนปี1 พี่ยังไม่เคยเจอพ่อของเจ้าธารเลยสักครั้ง" พี่สมรพูดโดยไม่มองหน้าผม มือก็ขยับเม้าส์สลับกับกดแป้นพิมพ์บนโน้ตบุ๊กไปด้วย

"เอ้า แล้วที่เชิญผู้ปกครองมาล่ะครับ"

"ไม่ส่งเลขามา ก็ส่งลูกน้องคนอื่นมาตลอด ไม่เคยมาเองเลย"

"งานปฐมนิเทศอะไรนี่ก็ไม่เคยมาเหรอครับ"

"ไม่เคย ส่งลูกน้องมาตลอดแหละ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีผู้ปกครองนักศึกษาคนไหนมานะ มีแต่นักศึกษาที่มา มีแค่ธารคนเดียวนี่แหละที่มีผู้ปกครองมาด้วย รายนี้มีผู้ปกครองมาด้วยตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว ประชุมผู้ปกครองก็มีแค่คนของคุณพ่อเจ้าธารนี่แหละที่มาคนเดียว"

ตอนแรกผมเกือบจะเดาเอาแล้วว่าธารอาจจะมีปัญหากับพ่อ เพราะพ่อไม่ใส่ใจอะไรเทือกนี้ แต่ถ้าพี่สมรพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าการคาดเดาของผมผิดพลาดอย่างแรง

ถึงพ่อจะไม่มีเวลาให้ก็ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจสักหน่อยนี่นา ส่งคนมาดูแลรับทราบพฤติกรรมของลูกชายตลอด กระนั้นผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

“แล้วพี่สมรพอจะรู้มั้ยครับว่านอกจากคุณพ่อของธารแล้ว ยังมีผู้ใหญ่คนอื่นในครอบครัวด้วยอีกมั้ย” เดาว่าอาจจะมีปัญหากับสมาชิกในครอบครัวคนอื่น

พี่สมรละสายตาจากจอโน้ตบุ๊กมามองหน้าผม

“ไม่มีนะ เท่าที่เคยได้ยินจากคุณเลขา เห็นว่าเจ้าธารอยู่กับคุณพ่อแค่สองคน”

“อยู่แค่สองคน... หมายถึงธารอยู่บ้าน?” อันนี้ผมสงสัยขึ้นมากะทันหัน เพราะที่ผมรู้คือไอ้เด็กนั่นมันเช่าห้องอยู่ข้างห้องผม

ทว่าเหมือนพี่สมรจะไม่รู้ พยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“อืม บ้านของเจ้าธารอยู่เลยวิทยาลัยไปหน่อยเดียวเอง ถัดไปถนนนึงน่ะ”

เอะใจขึ้นมาอีกแล้วแฮะ ในเมื่อบ้านก็อยู่ใกล้แค่นี้ ทำไมถึงต้องมาเช่าหออยู่

หากแต่ไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อ เอาแต่ยืนครุ่นคิด พี่สมรก็มองหน้าผมอย่างจับผิด แล้วเป็นฝ่ายถามผมบ้าง

“อยากรู้เรื่องเจ้าธารเยอะขนาดนี้นี่ มีอะไรหรือเปล่า ไอ้ตัวแสบทำอะไรน้องเหนือมาใช่มั้ย”

“เปล่าครับ เปล่าเลย” ...ยังไม่ได้ทำครับ แต่อีกเดี๋ยวมันใกล้จะทำแล้วล่ะ อยากบอกอย่างนี้ชะมัด

“งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าจะก่อปัญหาอะไรอีก แค่นี้ก็ก่อเรื่องไม่เว้นวันอยู่แล้ว รายนี้น่ะนะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง มีเรื่องได้ทุกวี่ทุกวัน ทั้งที่การเรียนก็ดี แต่เรื่องเกเรนี่เหลือรับประทานจริงๆ”

“เด็กนั่นน่ะนะครับเรียนดี?” ผมถามอย่างไม่เชื่อหู ก็จะให้เชื่อได้ไง ผมเข้าสอนทีไร มันหลับตลอดศกอย่างนั้น แถมหน้าตาก็ไม่ได้ดูฉลาดอะไรด้วย

พี่สมรก็เลยพิสูจน์ให้ผมเห็นด้วยการเปิดไฟล์ผลการเรียนของธารใจทุกเทอมขึ้นมา แล้วเลื่อนหน้าจอโน้ตบุ๊กให้ผมดู เห็นเลข 4.00 ทุกเทอมแล้วผมก็อ้าปากค้าง

โหย ฉลาดนี่หว่า มึงนอนเพื่อนิมิตความรู้เอาไปสอบแน่ๆ เหมือนกูเดี๊ยะ!

เหมือนหรือไม่เหมือนไม่รู้ แต่ผมเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งเลยว่าเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะบุคคล ผมเองก็ไม่เข้าเรียนเหมือนกันถ้าวิชานั้นไม่มีเช็กชื่อ อ่านหนังสือเอาเองแล้วเข้าไปสอบก็กวาดเอมาได้ง่ายๆ เช่นเดียวกันถ้าจับจุดถูก

หากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจมากเท่าสิ่งที่พี่สมรพูดขึ้นต่อไป

“เจ้าธารเรียนเก่งมาก ได้ที่หนึ่งของแผนกทุกเทอม แต่พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเกเรนัก พี่พยายามเข้าหาหลายครั้งแล้วเหมือนกัน สนิทน่ะมันก็สนิทอยู่นะ แบบพูดเล่นกันได้ แต่เจ้าธารก็ไม่ยอมเปิดใจเท่าไหร่ ถามเรื่องทางบ้านทีไร ถ้าไม่คุยด้วยก็เดินหนีทุกที พี่เองก็จนปัญญาจะไปยุ่มย่ามเหมือนกัน เคยแต่ได้ยินเพื่อนของพี่ที่เป็นครูโรงเรียนประจำที่เจ้าธารเคยเรียนบอกมาว่าเจ้าธารเริ่มเกเรตั้งแต่ที่คุณแม่เสียไปตอน ม.สาม ก่อนหน้านี้เป็นเด็กเรียบร้อยจะตาย”

โรงเรียนประจำก็คือโรงเรียนเอกชนชื่อดังของจังหวัดน่ะ ส่วนเรื่องธารเข้าถึงยาก ผมเห็นด้วยจังๆ รู้สึกตลอดว่าเหมือนมีกำแพงบางอย่างมากั้นขวางเวลาที่ผมคุยกับเด็กนั่นอยู่ตลอดเวลา ส่วนเรื่องแม่เสียชีวิตนั้น ผมรู้มาจากลูกสมุนธารใจแล้วเลยไม่แปลกใจเท่าไหร่ จะมีอยู่เรื่องเดียวนี่แหละที่ยังคาใจอยู่

“เห็นพวกเพื่อนๆ ธารใจบอกว่าตอนที่คุณแม่เสีย ธารใจหยุดเรียนไปปีนึง พี่สมรพอจะรู้มั้ยครับว่าเพราะอะไร”

พี่สมรส่ายหน้าแทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิด “เรื่องละเอียดอ่อนแบบนั้น ถามไป เจ้าธารไม่พูดหรอก พี่เองก็ไม่อยากจะไปเซ้าซี้ถามด้วย เพราะพูดถึงแม่ทีไร เจ้าธารก็ของขึ้นทุกที เลยไม่อยากไปแตะเท่าไหร่”

“งั้นเหรอครับ” ผมคราง เข้าใจขึ้นมาอีกนิดว่าทำไมธารถึงสั่งให้เปลี่ยนเรื่องคุยตอนที่ผมถามเรื่องแม่

“แต่เท่าที่พี่รู้ คุณแม่ของธารเสียชีวิตเพราะถูกฆ่านะ”

“ฮะ!?” อันนี้เซอร์ไพรส์ผมอย่างจัง อุทานออกมาซะเสียงดังจนพี่สมรตีแขนผมเรียกสติเบาๆ เมื่อถูกสายตาของอาจารย์คนอื่นในห้องจับจ้อง

“ถูกยิงน่ะน้องเหนือ ถูกยิงค่ะ ไม่ใช่ฆ่าแบบชำแหละอะไรอย่างนั้น ตอนนั้นที่ออกข่าว เหมือนจะเป็นการยิงผิดตัวด้วย พูดง่ายๆ คือโดนลูกหลงน่ะ”

ผมพ่นลมหายใจออกมาเลย เกือบจะเข้าใจผิดไปแล้วว่าโดนฆ่าแบบโหดเหี้ยมอะไรอย่างนี้ แต่เอาจริงๆ โดนยิงนี่ก็ถือว่าโหดร้ายเหมือนกันนะแม้ว่าจะเป็นการโดนลูกหลงก็เถอะ

“น้องเหนือมีอะไรจะถามอีกมั้ยคะ ถ้าไม่มี เดี๋ยวพี่จะได้ขึ้นไปสอน” พี่สมรตัดบท ผมเลยส่ายหน้าให้เป็นพัลวัน ตามด้วยยกมือไหว้

“ไม่มีครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากนะครับพี่สมร”

พี่สมรรับไหว้ เตรียมอุปกรณ์การสอนแล้วทำท่าจะออกจากห้องพักครูไป ทว่าไม่ทันจะได้ก้าวออกไปไหน เธอก็เดินกลับเข้ามาหาผม ยกมือขึ้นตบไหล่เบาๆ พลางกระซิบบอก

“เจ้าธารน่ะเป็นเด็กดีนะจริงๆ แล้ว เป็นเด็กที่น่าสงสารมากด้วย ถึงจะเกเร แต่ก็ไม่ได้ดื้อด้านถึงขนาดจัดการไม่ได้ ถ้าน้องเหนือสามารถทำให้เจ้าธารไว้ใจได้ รับรองเลยว่าเอาเจ้าธารอยู่แน่ ฉะนั้น พี่ฝากให้น้องเหนือดูแลเจ้าธารเป็นกรณีพิเศษด้วยนะ”

อะ...เอ้าป้า! กูแค่มาถามหาข้อมูลเฉยๆ ไหงจู่ๆ ยัดงานช้างให้กูล่ะวะ!?

กำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่พี่สมรก็ยกนิ้วชี้ขึ้นไหวไปมาในอากาศ พลางขู่

“ไม่ทำก็ไม่ผ่านฝึกงานนะจ๊ะ”

อีป้ามึง! กูเป็นนักศึกษาฝึกงานนะ ไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ที่จะได้ให้ไปบำบัดไอ้เด็กมีปัญหาเนี่ย!

แต่ผมเถียงออกมั้ยล่ะ... ไม่ แถมป้านั่นก็เดินออกจากห้องพักครูไปสบายใจเฉิบแล้วด้วยหลังผลักภาระมาให้ผมได้

ทีนี้ผมจะเอาไงต่อล่ะ...

ปล่อยแม่ง ใครจะไปดูแลมันวะ แค่ตัวเองยังจะเอาไม่รอด แถมยังโดนมันขู่ตลอดเวลาอย่างนั้น คงน่าเอ็นดูตายล่ะ!

แม้จะคิดว่าปล่อยให้ไอ้เด็กเวรนั่นมันไปดี แล้วผมก็ทำเฉยๆ ตามปกติ เวลาพี่สมรถามว่าได้ดูแลมันมั้ย ผมก็กะจะเนียนๆ ไปว่าดูแลแล้ว แต่มันไม่สนใจผมไรงี้ จะได้ไม่ถูกปรับคะแนนฝึกงานตก ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว ผมก็แอบเป็นห่วงเด็กนั่นเหมือนกันนะ ที่ห่วงนี่ไม่ใช่อะไรหรอก อันดับแรกเลยคือห่วงรถตัวเองเพราะมันประกาศไว้เรียบร้อยแล้วว่ารถได้เข้าไปนอนเล่นในอู่บ่อยแน่ และอันดับสองคือห่วงความปลอดภัยของตัวเอง วันดีคืนดีมันเกิดคุ้มคลั่งขึ้นมาเมื่อไหร่ เอามีดมากระซวกผมจะทำยังไง ยิ่งอยู่ห้องข้างๆ มันด้วยนี่ยิ่งต้องระแวง

จริงๆ เอามีดมาแทงให้ตายทีเดียวเลยยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเอาอีน้องมายด์มาบุกห้องข่มขืนผมล่ะก็ เหย...นี่แหละนรกของจริง

เย็นวันนั้นพอไปเอารถออกจากอู่ได้ ผมก็โทรหาไอ้ยีนส์กับไอ้กั้ง บอกว่าจะขับไปหามัน พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ด้วยเลยไม่ต้องไปฝึกงาน พวกมันแปลกใจนิดหน่อยที่ผมจะมาหาแบบกะทันหัน ผมเลยบอกพวกมันไปตามตรงว่าไม่อยากอยู่ห้อง จะไปขอค้างด้วยคืนนึง

ก็ใครมันจะกล้าไปอยู่วะ วันนี้เพิ่งไปขัดใจเด็กช่างนั่นมา อย่าหวังเลยว่าคืนนี้จะได้อยู่ในห้องตัวเองอย่างเป็นสุข

ใช้เวลาร่วมชั่วโมงก็ขับรถมาถึงกำแพงเพชร ยีนส์กับกั้งอยู่ในตัวเมืองเลยหาหอพักพวกมันไม่ยาก ทันทีที่เจอหน้าผม พวกมันก็แสดงท่าทางเหมือนตายอดตายอยาก สั่งให้ผมขับรถพาไปตระเวนหาของกินซะทั่วเมือง โดยเฉพาะไอ้ยีนส์เนี่ย ไม่รู้ท้องมันมีหลุมดำหรือไง กินร้านนู้นร้านนี้แล้วก็ยังไม่พอ ยังจะชวนไปกินต่ออีก มารู้อีกทีก็ตอนไอ้กั้งกระซิบบอก

‘ยีนส์เป็นเมนส์’…

โอเค กูจะไม่ยุ่ง กูจะเอามึงวางบนหิ้ง ผู้หญิงมีวันนั้นของเดือนคือร่างทรานส์ฟอร์มที่น่ากลัวที่สุดแล้ว โดยเฉพาะไอ้ยีนส์เวลามันทรานส์ฟอร์มเนี่ย หงุดหงิดกับแฟนมันคนเดียวไม่พอ ยังพาลมาหงุดหงิดผมด้วย ยอมเลย ยอม

“ทำไมมึงไม่กินวะ”

เป็นคำถามรอบที่ล้านแปดหลังจากที่มันสั่งให้ผมแวะร้านน้ำแข็งไสเกาหลีบิงซู สั่งอย่างเดียวไม่พอ บังคับให้ผมกับไอ้กั้งช่วยมันกินอีก คอยดูเถอะ อีกเดี๋ยวมันต้องบ่นว่าปวดท้อง ผู้หญิงมีประจำเดือนเค้าให้กินของเย็นๆ แบบนี้ได้ด้วยเหรอวะ

“กินสิวะ นั่งมองหาสวรรค์วิมานอะไร กูกินคนเดียวไม่หมด”

มึงสั่งมา มึงก็รับผิดชอบสิโว้ย!

อยากจะตะโกนใส่หน้ามันแบบนี้ชะมัด แต่พอเห็นสีหน้าหงุดหงิดประหนึ่งป้าแม่บ้านโดนหวยกินหลายงวดติดกันแล้ว ผมก็เลยยอมหุบปากเงียบ มีแต่กั้งเท่านั้นที่ยอมหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำแข็งไสเข้าปากแต่โดยดี ขณะที่มันกินไป มันก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของผมที่มาถึงก็เอาแต่เงียบ ไม่พูดมากเหมือนปกติ จนกั้งเป็นฝ่ายถามขึ้นมา

“ว่าจะทักหลายรอบแล้ว มึงเป็นอะไรไอ้เหนือ ไม่ค่อยร่าเริง มีเรื่องอะไรให้คิดไม่ตกหรือไง”

นี่แหละไอ้กั้ง คนสนิทมีท่าทีผิดแปลกไปนิดหน่อยก็ดูออกหมด

“ก็นิดนึงว่ะ”

“เรื่องฝึกงาน?”

“เออ” ผมตอบรับ มือก็หยิบช้อนเขี่ยน้ำแข็งไสไปมาจนมันละลาย

ยีนส์ละสายตาขึ้นมามองผมตอนนี้นี่เอง ก่อนจะว่าเสียงแหลม

“ถึงว่ามึงถึงได้ถ่อมาหาพวกกูได้ ทำไมวะ โดนเด็กช่างรุมตุ๋ยหรือไง”

“ไม่ใช่” ผมเสียงดังขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเพื่อนบ้านี่พูดไร้สาระ แถมพูดเสียงดังจนโต๊ะข้างๆ หันมามอง

แต่มันก็ไม่หยุด พูดขึ้นมาอีก

“งั้นมึงก็ไปตุ๋ยเด็ก?”

“ป้ามึงเถอะไอ้ยีนส์ เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย!”

“ขี้เมา ทุเรศ หื่นกาม มั่วไปเรื่อย” มันตอบมาหน้าตาเฉย ผมเลยรู้หมดเลยว่าพวกเพื่อนเวรนี่คิดกับผมยังไง

“มึงพูดไร้สาระอีก กูจะตบมึงด้วยช้อนเลยไอ้ยีนส์” ผมแยกเขี้ยวขู่

ยีนส์ยักไหล่ไม่ยี่หระ กินน้ำแข็งไสต่อ มีแต่กั้งเท่านั้นที่เข้าประเด็นแบบสาระเน้นๆ

“ตกลงมีเรื่องอะไร มึงถูกเด็กช่างทำอะไรมาหรือเปล่า”

“ก็ไม่เชิงว่ะ”

พูดแค่นี้ หัวคิ้วของกั้งก็ย่นยู่ทันตา “กูบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าให้หาอาวุธติดตัวไปด้วย”

“มึงเข้าใจผิดไปไหนต่อไหนแล้วเนี่ย กูไม่ได้โดนทำร้ายร่างกาย แล้วไอ้เด็กที่วิทยาลัยมันก็ไม่ได้พกอาวุธ มีการตรวจทุกเช้าเย็นอย่างนั้น ไม่ต้องห่วงเลยว่ามันจะเอามีดมาฟันโชะเดียว เจี๊ยวหายอย่างที่ไอ้ยีนส์เคยพูด มีแต่รถนี่แหละที่โดน หมากฝรั่งป้ายบ้าง พ่นสีใส่บ้าง อะไรอย่างนั้น” ผมว่าไปตามความจริง สีหน้าของกั้งเลยดูผ่อนคลายลง

“งั้นก็ค่อยยังชั่ว ว่าแต่มึงไปทำอีท่าไหนถึงได้โดนเล่นงานเข้าวะ”

“เรื่องมันไม่มีอะไรเลยมึง แค่เด็กคนนึงมันไม่ชอบขี้หน้ากู แล้วกูดันไปอบรมมันเพราะมันไปตีกับชาวบ้าน มันก็เลยขู่กูใหญ่เลยทีนี้ ไม่รู้ว่าอาทิตย์หน้าจะโดนอะไรบ้าง กูล่ะเพลียเหลือเกิน” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นเท้าหน้าผากไปด้วย บ่งบอกให้รู้ว่าเพลียจริงๆ ไม่ได้เพลียร่างกายนะ เพลียใจ

“มึงก็ไม่ต้องเอารถไปฝึกงานสิ นั่งรถสามล้อ ไม่ก็นั่งรถมอ’ไซค์วินไป”

“ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิวะ แต่ไอ้เด็กคนที่กูบอกดันอยู่หอเดียวกับกูด้วยเถอะ หอเดียวไม่ว่า ข้างห้องกันด้วย มึงจะให้กูหนียังไง”

พูดอย่างนี้ กั้งกับยีนส์ก็มองหน้ากันเลย เหมือนจะเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง อันที่จริงผมว่าพวกมันไม่สนใจมากกว่าว่าเรื่องมันเกิดขึ้นจากอะไร พวกมันสนวิธีแก้ปัญหาของผมต่างหาก

“แล้วทีนี้มึงจะเอาไง กูว่าโดนฆ่าหมกห้องแน่”

“ไอ้ยีนส์ ขอร้องเลยนะ ถ้ามึงไม่รู้จะพูดอะไรก็อย่าพูด สำรอกออกมาแต่ละคำนี่คำมงคลทั้งนั้น” ผมแขวะยีนส์บ้างหลังจากทนฟังมันกระแหนะกระแหนอยู่นาน

ไอ้ยีนส์ยักไหล่อีกที ส่วนกั้งในตอนนี้ก็ยกมือขึ้นประสานกันอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเปรยออกมาลอยๆ

“กูว่าเด็กที่มึงมีปัญหาด้วยน่าจะเป็นคนมีปัญหาอยู่แล้ว อย่างพวกปัญหาทางบ้านอะไรแบบนี้ เลยออกอาการต่อต้าน”

ใช่เลย! ฉลาดมากกั้งเพื่อนรัก ไอ้ยีนส์ มึงดูแฟนมึงเป็นตัวอย่างเลย!

“กูก็คิดแบบมึงนั่นแหละ แต่พอไปถามพี่ซุปฯ พี่เค้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กนั่นมีปัญหาอะไรทางบ้านมั้ย ทั้งครอบครัวมีมันกับพ่อแค่สองคน แต่ก็ไม่ใช่ว่าพ่อมันจะไม่ใส่ใจนะ ถึงจะไม่มีเวลาให้ลูก แต่ก็ส่งคนมาดูแลตลอด เรื่องโดนเด็กจองล้างจองผลาญว่าแย่แล้วนะ โดนพี่ซุปฯ สั่งให้ดูแลมัน ถ้าไม่ดูแลก็ขู่ว่าจะไม่ให้ผ่านฝึกงานนี่แย่บรมเลยว่ะ” ผมบ่นยาว ขณะที่ยีนส์กับกั้งเองเบิกตาโต

“เออว่ะ แย่จริงด้วย แต่นะ ไอ้เด็กนั่นอย่างกับบ้านรวยเลยว่ะ พ่อมันทำงานอะไรวะ” ยีนส์เป็นคนถาม

“ได้ยินมาว่าพ่อมันเป็น ส.จ.นะ แล้วก็ไม่ใช่แค่บ้านรวยด้วย เรียนก็เก่ง ได้ 4.00 ทุกเทอม แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้เกเรงี้ กูพูดอะไรถามอะไรไป แม่งทำท่าเหมือนอย่างกับจะกินหัวกูตลอด”

ยีนส์กับกั้งแทบไม่ได้ฟังที่ผมพูดเมื่อกี้เลยสักนิด แถมยีนส์ยังหันไปถามกั้งหน้าตาเฉยอีกต่างหาก

“ส.จ.ย่อมาจากอะไรอะกั้ง”

กั้งยกมือขึ้นใช้นิ้วดันกรอบแว่นให้เข้าที่พลางพูด

“อสุจิ”

อสุจิบ้านมึงสิไอ้กั้ง! สมาชิกสภาจังหวัดเว้ย! ใครสอนสังคมมึงตอนมัธยม มึงกลับไปขอเรียนใหม่เดี๋ยวนี้!

“ไอ้กั้ง นี่มึงเล่นมุก?” ผมถามเสียงเครียด กั้งเลยพยักหน้า

“เออ กูเห็นมึงเครียด เลยหยอดไปนิดหน่อย”

ทีหลังมึงจะเล่นมุกแบบนี้ มึงเอากลับไปเล่นที่บ้านเลยไอ้กั้ง!

แม่งเครียดหนักกว่าเดิมอีก แทนที่มาหาเพื่อนจะได้ไอเดียอะไรไว้เอาตัวรอดจากไอ้เด็กธารบ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องสักอย่าง เสียเวลาขับรถมาหาพวกมันจริงๆ เปลืองน้ำมันอีกให้ตาย!

“เหนือ กูพูดจริงๆ นะ” จู่ๆ ยีนส์ก็แทรกขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พอผมเงยหน้าไปมอง มันก็พูดต่อ “เด็กนั่นน่ะ จริงๆ ไม่มีอะไรหรอก กูเคยเรียนวิชาของสังเคราะห์ฯ มาตัวนึง ว่ากันว่าพวกคนที่มีปมอะไรแบบกระทบกระเทือนจิตใจแรงๆ จะมีการต่อต้านคนหรือสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับต้นเหตุของปมที่ตัวเองเกลียด กูว่าถ้ามึงจับจุดได้ว่าเด็กนั่นเกลียดอะไร แล้วมึงใช้วิธีเข้าหาด้วยลักษณะตรงข้ามสิ่งที่เด็กนั่นเกลียด กูว่ามึงเข้าหาเด็กนั่นได้ไม่ยากเลย”

สังเคราะห์ฯ ที่ยีนส์ว่า หมายถึงคณะสังคมสงเคราะห์ที่มหา’ลัยผม แต่การที่มันเรียนวิชาแปลกๆ ต่างคณะก็ไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่คำพูดคำจาของมันมาในเชิงวิชาการ ร้อยวันพันปีเห็นไร้สาระตลอด วันนี้องค์เจ้าแม่ยีนส์ลงเพราะเป็นเมนส์แน่ๆ

“มึงมั่นใจได้ไงวะว่าจะได้ผลถ้ากูทำแบบนั้นน่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel