ช่างใจ ครั้งที่ 5: พี่เหนือเดลิเวอร์รี [2/2]
“กูก็ไม่มั่นใจ”
เอ้า!
“แต่ไม่ลองก็ไม่รู้” กั้งเสริมทันทีที่เห็นผมทำหน้าเหวอ “แต่มันก็แล้วแต่มึงจะเลือก เลือกเอาว่าจะปล่อยให้เด็กนั่นแกล้งมึงไปตลอดการฝึกงานแล้วมึงก็หนีอย่างเดียว หรือจะเป็นฝ่ายไล่กวดมันให้มันเลิกแกล้งมึงเอง ถ้ามึงจะเป็นฝ่ายไล่กวด มึงก็ต้องทำให้ได้อย่างที่ยีนส์พูด... เป็นคนที่เด็กนั่นไว้วางใจ”
ฟังแล้ว ผมก็ถอนหายใจแล้วพยักหน้าเออออไป เข้าใจสิ่งที่พวกมันพูดอยู่แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอายังไง
ก็จะให้ตัดสินใจได้ยังไงล่ะ วันนี้เพิ่งจะโดนพูดแสกหน้ามาเองว่า ‘โคตรคิดถูกเลยที่ไม่ไว้ใจเต็มร้อยตั้งแต่ตอนแรก’ แล้วอย่างนี้คิดเหรอว่าธารมันจะเข้าใกล้ผมอีก
จากนั้นพวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อเพราะจู่ๆ ไอ้ยีนส์ก็เกิดปวดท้องด้วยกินเยอะเกินลิมิต ลำบากผมต้องขับรถพามันไปหาหมออีก วุ่นวายกันทั้งคืนก็เพราะวันแดงเดือดของมันคนเดียวเลย แต่ก็เอาเถอะ ถือว่าการมาหาพวกมันก็มีประโยชน์บ้างล่ะนะ
ผมกลับมาที่พิษณุโลกในเช้าวันอาทิตย์ด้วยยีนส์กับกั้งต้องไปฝึกงานในวันอาทิตย์นี้ด้วย เหตุผลก็ไม่มีอะไร พี่ซุปฯ ของพวกมันขอให้ไปช่วยเตรียมเอกสารงานกิจกรรมวิชาการของอาทิตย์หน้าที่จะมาถึง ผมเองก็ไม่อยากรบกวนพวกมันเลยตัดสินใจกลับดีกว่า
ทันทีที่ถึงหอ ตอนแรกก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าถ้าเจอไอ้เด็กธาร ผมจะทำหน้ายังไง แต่พอมาถึงหน้าห้องมันปุ๊บ ก็เห็นว่าหน้าห้องมีแม่กุญแจคล้อง บ่งบอกว่ามันไม่ได้อยู่ ผมเลยโล่งใจไปว่าไม่ต้องเผชิญหน้ากับมันตอนที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลายอย่างนี้ ทว่าก็อดอยากรู้ไม่ได้เลยว่ามันหายหัวไปไหน คอยเปิดประตูมาสังเกตการณ์ตลอด แต่ก็ไม่เห็นมันโผล่หัวกลับมาสักทีกระทั่งฟ้ามืด แล้วผมออกไปซื้อผัดไทกลับมาที่ห้อง ถึงได้เห็นว่าแม่กุญแจที่คล้องอยู่ข้างหน้า บัดนี้มันหายไปแล้ว
กลับมาห้องแล้วแหง... เพื่อความชัวร์ ก้มมองใต้ประตูมันด้วย หูก็เอาแนบประตู ฟังว่ามันกำลังทำอะไรอยู่
สภาพเหมือนพวกถ้ำมองไม่มีผิด แต่พอได้ยินเสียงเพลงดังลอยออกมาจากห้อง ผมก็ลุกขึ้นยืนเหมือนเดิม จากความอยากรู้ว่ามันไปไหน ตอนนี้กลายเป็นความหวั่นใจละว่าดึกๆ มันจะปีนระเบียงมาห้องผม แล้วจัดการเอาอีโต้สับโชะตายคาห้อง
เอาไงดีวะไอ้เหนือ ทำอะไรสักอย่างให้มันรู้สึกว่า...เออ ถึงวันก่อน มึงจะโกรธกู แต่กูยังหวังดีและเป็นห๊วงเป็นห่วงมึงอยู่นะ ทั้งที่ใจจริงจะไม่ใช่เลยก็เถอะ ทำเพื่อความอยู่รอดล้วนๆ
คิดอยู่พักนึง สายตาก็เหลือบไปเห็นผัดไทในมือตัวเองที่ซื้อมาสองห่อ
เอาวะ เสียสละให้มันไปห่อนึงแล้วกัน เอาของตัวเองออกมา เหลืออีกห่อที่อยู่ในถุงเอาไปแขวนบนลูกบิดประตู แขวนเสร็จก็เคาะเรียกสองสามที จากนั้นก็กะว่าจะวิ่งเข้าห้อง
แต่... เวรเอ๊ย กูลืมไขประตูห้องรอไว้ก่อน
มือไม้เป็นระวิงเลยทีนี้ โชคดีที่วิ่งเข้าห้องได้ทันก่อนที่มันจะเปิดประตูออกมา ที่รู้ก็เพราะได้ยินเสียงเปิดประตูน่ะ ตามมาด้วยเสียงขุ่นๆ ว่า ‘ใครวะ แล้วนี่ถุงเชี่ยไร’ ผมอยากจะตะโกนตอบกลับไปมากว่า ‘ถุงผัดไทเว้ย ไม่ใช่ถุงเชี่ย!’ แต่ก็ไม่กล้าพอ ยืนฟังมันอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งได้ยินเสียงประตูปิด ถึงได้หายใจโล่งอีกครั้ง
ขะ...ขวัญเอ๊ย ขวัญมาไอ้เหนือ ครั้งแรกก็งี้แหละ ตื่นเต้นเป็นธรรมดา พรุ่งนี้ค่อยเอาใหม่
พรุ่งนี้ค่อยเอาใหม่จริงๆ พอถึงเวลาที่ผมไปซื้อข้าว ผมก็ซื้อเผื่อธารมาด้วย แล้วก็เอาไปแขวนหน้าห้องมันดังเดิม ทำแบบนี้ได้อยู่สามสี่วัน อาการหวาดผวาที่ต้องเคาะห้องมันก่อนแล้วหนีเข้าห้องตัวเองก็เริ่มหายไปละ แถมไปฝึกงานอย่างสบายใจด้วยถึงแม้รถจะโดนเล่นงานอยู่เนืองๆ ทุกวันก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หนักมากอย่างคราวก่อน ก็แค่โดนปล่อยยาง และล่าสุด...
เอ่อ...โดนถอดล้อ
ไม่หนักพร่อม! พวกมึงไปเอาเครื่องมือจากไหนกันมาถอดล้อรถกูวะ!
เอามาจากแผนกช่างยนต์แน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ปฏิบัติการทำลายกำแพงต่อต้านของเด็กเวรนั่นก็ยังดำเนินต่อไป ผมก็ยังซื้อข้าวไปแขวนหน้าห้องมันทุกเย็นอยู่ดี คิดเอาเองว่ามันน่าจะรู้ว่าผมเป็นคนเอาไปแขวน แล้วอีกสักพักมันก็คงจะเลิกแกล้งผม
ทว่า... ผิดถนัด! ไม่รู้ไม่พอ แม่งติดกระดาษเขียนตัวหนังสือเบ้อเร่อว่า ‘อย่าเอาอะไรมาแขวนไว้หน้าห้อง ไม่กิน!’
โห ไอ้โหด ความหวังดีของกูนี่ปลิวไปกับสายลมเลย เดาออกทันทีว่าไอ้ที่เสียเงินซื้อๆ ให้มันไปนี่ มันเอาไปทิ้งหมดแน่
ได้! ในเมื่อมึงไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอาไปแขวนก็ได้! เขียนชื่อแปะแม่ง!
เอาใหม่ เขียนชื่อแปะก็ดูจะอาจหาญไป เอาเป็นเขียนโน้ตเล็กๆ น่ารักมุ้งมิ้งก็แล้วกัน
‘กินข้าวหรือยังครับน้องธาร พี่เหนือซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝากนะ เจ้านี้อร่อย กินเยอะๆ นะครับ’
แขวนเสร็จ เคาะประตูแล้วหนีเข้าห้องเหมือนเดิม ตามด้วยธารที่เปิดประตูออกมาให้ได้ยิน ผมที่อยู่ในห้องลุ้นใจเต้นระทึกเลยว่ามันจะมาเคาะห้องผมเรียกออกไปกระทืบมั้ย แต่ไม่ มันแค่ตะโกนมาเท่านั้น
“บอกว่าไม่ต้องเอามาแขวนอีก ไม่เข้าใจหรือไงวะ!”
กูเข้าใจ... เข้าใจดีเลย แล้วมึงคิดว่ากูอยากทำหรือไง ถ้าพี่สมรไม่ขู่ว่าจะไม่ให้กูผ่านฝึกงานเพราะไม่ดูแลมึง กูก็ไม่ทำหรอกเว้ย!
ผ่านมาอีกวัน ผมก็ทำแบบเดิมอีก เพิ่มเติมคือมีโน้ตเล็กๆ ติดไปด้วย ทำแบบนี้มาได้สักอาทิตย์ จากที่ได้ยินเสียงธารตะโกนด่ามาทุกครั้งที่ผมเคาะประตูห้องมันแล้วหนีเข้าห้อง ก็เริ่มจะไม่มีเสียงละ มีแค่เสียงเปิด-ปิดประตูแล้วก็เงียบตลอดคืน เพิ่งสังเกตด้วยว่าพักนี้พวกลูกสมุนไอ้เด็กธารก็ไม่มารวมตัวกินเหล้าส่งเสียงโวยวายด้วย ผมก็เลยได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่
วันนี้ก็เลยตื่นเช้ากว่าปกติ กะว่าจะไปที่วิทยาลัยเร็วสักหน่อยเพราะอาจารย์จะมานิเทศการฝึกงานครั้งแรก
ทว่าพอเปิดประตูห้องออกไปปุ๊บ สายตาผมก็เหลือบเห็นถุงพลาสติกที่แขวนอยู่บนลูกบิดประตูด้านนอก พอเดินออกมาดูก็เห็นว่ามันเป็น...
“ข้าวเหนียวหมูปิ้ง...”
มีข้าวเหนียวอยู่ห่อนึงกับหมูปิ้งสามไม้ มองแล้วก็เอะใจว่ามันมาแขวนอยู่หน้าห้องผมได้ยังไง แถมยังร้อนๆ อีกด้วย ก่อนสายตาจะเหลือบเห็นโน้ตที่เขียนลงบนกระดาษทิชชูเน่าๆ
‘หัดกินข้าวเช้าบ้าง เดี๋ยวก็ไม่มีแรงไปรับมือเด็กหรอก งี่เง่า!’
โอ้ สำนวนอย่างนี้ ใช่เลย น้องธารใจรูปหล่อแน่นอน แหม ตอบแทนกันอย่างนี้ แสดงว่าเริ่มมีไมตรีแล้วสินะ
แต่ถามว่าผมกินมั้ยละหมูปิ้งมันเนี่ย... ไม่ เกิดมันเอายาเบื่อหนูทาไว้ ผมก็ตายหองกันพอดี จะเอาทิ้งถังขยะก็กลัวว่าเดี๋ยวจะมีหมาไปคุ้ยแล้วกินโดนยาพิษตาย ฉะนั้นจึงเอาไปวิทยาลัยด้วย และให้... น้องมายด์
กินเลยจ้า กินเลย มึงตายไปจะได้เลิกเต๊าะกูสักที ขณะที่อีน้องมายด์รับข้าวเหนียวหมูปิ้งไปด้วยสีหน้าระรื่น
“อ้ายเหนือใจ๋ดีแต้ดีว่า ฮักเมาข้าเจ้าแล้วอะเนอะ (พี่เหนือใจดี๊ใจดี ตกหลุมรักหนูแล้วล่ะซี่)” ตามด้วยการยัดข้าวเหนียวเข้าปากอย่างเมามันส์
บอกเลยกูไม่ได้ตกหลุมรักมึงหรอก มีแต่มึงนี่แหละที่ลงหลุมถ้ามียาเบื่อน่ะ
เดชะบุญ อีน้องมายด์ดวงแข็ง ฟาดเรียบแต่ไม่ตาย แถมยังมาเต๊าะผมหนักกว่าเดิมด้วยเพราะคิดว่าผมเอ็นดูมัน
โอย กรรมของกูแท้ๆ
เย็นนี้เลยอ่อนล้าผิดปกติด้วยต้องรับมือน้องมายด์ตลอดทั้งวัน เหนื่อยถึงขนาดลืมซื้อข้าวเย็นทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะแวะก่อนกลับ แต่ก็ช่างเถอะ ลืมแล้วก็ลืมไป เข้านอนเลยแล้วกัน เหนื่อยเกินจะทนละ
หากแต่หลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง เสียงเคาะประตูห้องผมก็ดังขึ้น ก่อนจะดังถี่รัวเมื่อผมไม่ลุกไปเปิดสักที
“ใครวะ!” ด้วยความหงุดหงิดที่โดนรบกวนเวลานอนเลยแผดเสียงออกไปขณะที่ขาก็เดินไปเปิดประตูห้องด้วย
พอเปิดออกมา เห็นว่าเป็นธารที่ใบหน้ายังมีรอยช้ำและใส่ชุดลำลอง จากที่งัวเงียๆ อยู่ ผมก็ตาสว่างทันควัน
ปัง!
ปิดประตูใส่หน้าแม่ง
คุณพระคุณเจ้า! มันมาเคาะห้องเรียกกูทำไมวะ! ไปทำอะไรไม่ถูกใจมันอีกหรือเปล่าเนี่ย!
เพราะปิดประตูใส่ มันก็เลยเคาะรัวหนักกว่าเดิม
“เปิดสิโว้ย! จะปิดใส่หน้าทำไมวะ!”
แล้วมึงพูดอย่างนี้ ใครมันจะไปอยากเปิดให้วะ! เปิดไปกูจะโดนมึงต่อยมั้ย ตอบ!
แต่ก็เปิดอยู่ดีนั่นแหละ ตามด้วยยิ้มแห้งๆ ใส่ด้วย
“วะ...ว่าไงครับน้องธาร มีธุระอะไรกับพี่เหนือเหรอ”
ธารไม่ตอบ มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดเรื่องอื่นเฉย “อย่าบอกนะว่านอนทั้งชุดนักศึกษาแบบนี้?”
เออสิ มึงคิดว่าโดนเพื่อนมึงเต๊าะจนหมดแรงอย่างนั้น กูจะมีเรี่ยวแรงที่ไหนไปอาบน้ำอีก
“เดี๋ยวพี่เหนือค่อยอาบน่ะครับ งีบเฉยๆ” ตอบได้สุภาพมาก ขัดกับความในใจสุดๆ
ทว่าธารก็ไม่สนใจ กอดอกเอียงคอมองผมอย่างหาเรื่อง
“แล้วข้าวเย็นล่ะ”
“ฮึ?”
“ข้าวเย็น ถามว่าข้าวเย็นอยู่ไหน ทำไมไม่เห็นเอามาแขวนหน้าห้อง”
เอ้า กูกลายเป็นคนส่งข้าวให้มึงตั้งแต่เมื่อไหร่! หน้ากูมีตัวหนังสือแปะไว้หรือไงว่า ‘พี่เหนือเดลิเวอร์รี รับส่งข้าวให้น้องธารทั่วราชอาณาจักร’!
กลายเป็นว่าการที่ผมทำอย่างนั้น ทำให้เด็กเวรนี่เคยตัวไปซะแล้ว พอไม่เอาของกินไปแขวนหน้าห้อง มันก็เลยมาทวงแบบนี้ เสียวสันหลังขึ้นมาเลยเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าลืมซื้อข้าวเย็นมา
“พี่เหนือลืมครับ” ยอมรับสารภาพไปตามตรงแล้วกัน ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง
ธารชักสีหน้ารำคาญใส่ผมเล็กน้อย ปากก็บ่นไปด้วย
“หิวจนท้องกิ่วแล้วเนี่ย”
แล้วมึงมาบอกกูทำซากอะไร บอกกูแล้วมึงจะหายหิวมั้ย!
“อยากกินข้าวต้มกุ๊ย”
ยัง...ยังบอกกูอีก อยากกินก็ไปกินสิเว้ย!
“ข้าวต้มกุ๊ยกินคนเดียวไม่อร่อย”
“แล้ว?” ผมพยายามปั้นหน้าเป็นมิตรใส่มันสุดฤทธิ์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าเหวอเมื่อจู่ๆ มือใหญ่ก็พุ่งเข้ามาคว้าข้อมือผมก่อนจะกระชากผมที่ยืนหลบอยู่หลังประตูออกไปนอกห้อง
“ไปกินเป็นเพื่อนหน่อย อยากกินหลายอย่างแต่สั่งมาแล้วเดี๋ยวกินไม่หมด”
“ฮะ?”
ฮะเฉยๆ ไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อเลยก็โดนลากไปตามระเบียงทางเดินแล้ว รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ ขณะที่ธารขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ออโต้ แล้วร้องเรียกให้ผมขึ้นซ้อน
“ขึ้นมาเร็วๆ หิว!”
เดี๋ยว... กูยังงงอยู่
งง... แต่แม่งปีนขึ้นรถไปซ้อนท้ายมันเรียบร้อย ก่อนจะ...
“อ๊าก! นะ...น้องธาร...ขะ...ขี่ช้าๆ หน่อย!”
“หุบปากน่า! อย่ามากวนคนหิว!”
หิวจริงหิวจัง หิวแบบไม่ได้พูดเล่น บิดมอเตอร์ไซค์พุ่งทะยานไปด้วยความเร็วแสง โชคดีที่ร้านข้าวต้มกุ๊ยที่มันพาไปอยู่ไม่ไกลนัก แค่ลานขายของกินด้านหลังศูนย์การค้าที่ผมเช่าหอพักอยู่ ผมเลยไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงบนเส้นด้ายนาน
มาถึง ธารก็ไม่พูดกับผมสักแอะ สั่งอาหารมาสามสี่อย่างแล้วจัดการลงมือกินชนิดตายอดตายอยาก
ผมมองมันกินแล้วรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในเทศกาลชิงเปรต
ถ้ามึงจะหิวขนาดนี้ มึงก็ไม่ต้องรอกูหรอกเว้ย!
ได้แค่คิดเช่นเดิม ก่อนผมจะลงมือกินบ้างเมื่อเด็กนั่นส่งสายตาขวางๆ มาเป็นเชิงสั่งว่า ‘ยัดเข้าปากสักที!’
กินข้าวทั้งน้ำตาเป็นยังไงก็ตอนนี้ กลัวมันเอาตะเกียบจิ้มตามากเลยกินไปได้ไม่เยอะเท่าไหร่ ส่วนไอ้ที่ธารบอกว่าอยากกินหลายอย่าง สั่งมาแล้วกลัวจะกินคนเดียวไม่หมด เอาเข้าจริง เห็นมีแต่มันนี่แหละที่กินเรียบ
บอกเลยว่ากูได้กินแค่วิญญาณปลาเค็มในผัดผักบุ้งกับข้าวเนี่ย!
พอมันอิ่ม ผมก็รีบคว้ากระเป๋าตังค์มาเตรียมจ่ายให้มัน แต่ไม่ทัน มันเดินไปจ่ายก่อนแล้วเดินดุ่มๆ กลับไปที่รถโดยไม่สนใจผมสักนิด ทันทีที่ผมเดินตามมาถึง มันก็ถามเสียงเรียบอีก
“ขี่ให้หน่อย อิ่มจะอ้วก ขี่ไม่ไหว”
อะไรของมึงเนี่ย!
“พี่เหนือขี่มอ’ไซค์ไม่เป็นครับ” ผมว่าออกไปตามความจริง หัวคิ้วเด็กนั่นยู่ทันตา
“ขับรถยนต์เป็นแต่ขี่มอ’ไซค์ไม่เป็นเนี่ยนะ ตลกมากไปละ’จารย์” มันว่าเสียงขุ่น
ก็จะให้กูทำยังไง ขี่ไม่เป็นก็คือขี่ไม่เป็นเว้ย!
“แบบว่า...พี่เหนือหัดขับรถยนต์เลยน่ะครับเลยขี่มอ’ไซค์ไม่เป็น”
พอพูดไปอย่างนี้ ธารก็พ่นลมหายใจใส่ผมเต็มแรง
“ขี่จักรยานเป็นมั้ย” ถามแบบจับจุดไม่ได้อีกด้วยว่ามันจะพูดอะไร
“ขี่ได้ครับ”
“งั้นก็ขึ้นมา” แค่นั้นแหละ มันก็ลุกจากมอเตอร์ไซค์ ให้ผมขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับแทนมันเลย
“พะ...พี่เหนือบอกแล้วไงว่าขี่ไม่เป็น” ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นประกอบการปฏิเสธ ก่อนจะถูกผลักเบาๆ
“ขี่ไม่เป็นก็เดี๋ยวจะสอนเนี่ย ขึ้นไปนั่งคร่อมเร็ว!”
ถามดีๆ ก็ไม่ต้องเสียงดังใส่ก็ได้!
แล้วขึ้นมั้ย...ขึ้น! ไม่ขึ้นก็โดนมันประทุษร้ายร่างกายอีก แม่ง เห็นกูเป็นน้องมายด์หรือไงวะ รุนแรงกับกูจังเนี่ย!
ทว่าพอผมขึ้นมานั่งคร่อมเท่านั้น ธารก็ตามขึ้นมาซ้อนหลัง ซ้ำยังออกแรงให้รถตั้งตรง เตะขาตั้งขึ้นแล้วถือวิสาสะจับมือทั้งสองข้างของผมวางบนแฮนด์
“สตาร์ทรถตรงนี้ เวลาสตาร์ทก็กำเบรกไว้ด้วย รถออโต้มันจะสตาร์ทไม่ได้ถ้าไม่กำเบรก พอเครื่องติดแล้วก็บิดออกไป ขี่ไม่ยาก ไม่เหมือนพวกมีเกียร์” ตามมาด้วยสอนอีกยืดยาว
แต่บอกตรงๆ ว่าไม่ได้เข้าหูผมเลย รู้สึกอย่างเดียวว่าลมหายใจอุ่นๆ ของเด็กนั่นที่ปะทะเข้ามาบนต้นคอ แผงอกแกร่งที่แนบหลังผมชนิดสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ ร้ายกว่านั้นคือเด็กนั่นจับมือผมข้างขวาแล้วบังคับให้บิดมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วย
อ่า...ตอนนี้รู้สึกว่าไม่ใช่แค่นั้น เป้าก็ไหลลงมาติดอีกต่างหาก หูย... เหนือฟิน
รถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ บนถนนในเวลานี้รถน้อยแล้ว มือใหม่อย่างผมเลยขี่ง่ายไร้ปัญหา แต่การได้หัดขี่มอเตอร์ไซค์ครั้งแรกก็ไม่ได้ทำให้ผมตื่นเต้นเท่ากับการได้สัมผัสตัวของธารแนบชิดอย่างนี้เลย ตอนนี้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะแล้ว เต้นหนักกว่าเดิมอีกตอนที่ได้ยินเสียงธารดังขึ้นข้างๆ หูผม
“สอนขี่นี่ตอบแทนเรื่องข้าวนะ’จารย์ เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกัน”
จะ...จ้า เอาเลยจ้า ตอบแทนแบบนี้อีกบ่อยๆ นะ พี่เหนือชอบ
ครั้งหน้าเอาข้าวไปแขวนหน้าห้อง สงสัยต้องเอาถุงยางใส่ไปในถุงด้วยแล้ว
เผื่อได้เผื่อโดน...
