บท
ตั้งค่า

ชั่งใจ ครั้งที่ 3: เด็กช่างข้างห้อง [3/1]

คำขู่เด็กนั่นเสมือนดั่งคำประกาศิต พอเลิกเรียนปุ๊บ ผลงานจากคำขู่ก็ส่งตรงชนิดเดลิเวอร์รีมาถึงผมรวดเร็วฉับไว

ก็ไม่ได้เกิดกับตัวผมโดยตรงหรอก ตอนแรกก็หวั่นใจอยู่เหมือนกันว่าจะโดนมันดักกระทืบหรือเปล่า เดินออกจากอาคารนี่ระแวงหนักมาก แต่จริงๆ ไม่ใช่ ไม่ได้เกิดกับตัวผม แต่ไปเกิดกับรถคันเก่งของผมแทน

โดนปล่อยยาง...

วิธีกลั่นแกล้งอาจารย์แบบเด็กๆ แต่ก็เล่นเอาผมยืนเอ๋อรับประทาน ไม่รู้จะกลับหอพักยังไงเหมือนกัน ดีที่พี่สมรเดินมาเอารถที่ลานจอดพร้อมกับผม เธอก็เลยโทรเรียกช่างจากอู่ใกล้ๆ ให้มาจัดการเติมลมให้ พร้อมกับบอกว่า...

‘เรื่องปกติค่ะน้องเหนือ ครูที่นี่โดนกันมาแล้วทุกคนแหละค่ะ ตอนพี่มาสอนใหม่ๆ ก็โดนบ่อย ตอนนี้ชินแล้วล่ะ ส่วนช่างอู่นี้ก็รวยเลย โดนเรียกมาบ่อยเหมือนกัน’

ถามพี่สมรว่ามีมาตรการแก้ไขมั้ย เธอก็บอกว่าไม่มี เคยขู่เด็กก็แล้วว่าใครทำจะโดนพักการเรียน แต่ก็ไม่มีผลอะไรเลยสักนิดเพราะจับตัวคนทำไม่เคยได้ ขนาดมีนโยบายติดกล้องวงจรปิด ก็ยังจะถูกเด็กพวกนั้นเอาสีมาพ่นเลนส์บ้าง พังกล้องบ้างจนใช้ไม่ได้อีก

ฟังแล้วผมก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ เด็กช่างพวกนี้มันเหลือเกินจริงๆ นั่นแหละ

เหลือเกินยิ่งกว่าเมื่อวันถัดมา ผมก็โดนเล่นงานอีกรอบ เมื่อวานแค่ปล่อยลมล้อเดียว วันใหม่ปล่อยสองล้อ

แล้วคิดเหรอว่าจะหยุดแค่นี้... แม่งเพิ่มวันละล้ออย่างกับล่าแต้ม ล่าสุดนี่โดนปล่อยทีเดียวสี่ล้อเลย จนช่างที่มาเติมลมให้ผมถึงกับแซวว่าผมคงเป็นที่ถูกอกถูกใจของนักศึกษาที่นี่ เพราะยังไม่เคยมีอาจารย์คนไหนโทรตามช่างให้มาเติมลมติดๆ กันถึงสี่วันเลยสักคน ผมนี่แหละคนแรก

บอกเลยว่าแม่งไม่ได้ถูกใจอะไรพวกมันหรอก จะถูก Teen มากกว่า

แย่สุดก็คือวันนี้ พอถึงเวลาเลิกเรียน ผมลาพี่สมรกับอาจารย์คนอื่นๆ เสร็จแล้วเดินมาที่รถ ก็เห็นว่าล้อทั้งสี่ยังอยู่ดี มีลมยางเต็ม ไม่มีการถูกปล่อยใดๆ

แล้วทำไมผมถึงบอกว่าแย่สุดน่ะเหรอ?

มันไม่ปล่อยลมยาง แต่มันเอาหมากฝรั่งเคี้ยวแล้วมาอุดรูกุญแจรถแน่นเลยพับผ่าเอ๊ย!

เห็นแล้วผมก็หัวเสีย อยากจะพุ่งไปกระโดดถีบเด็กช่างหน้าไหนก็ตามที่เดินผ่านมาแถวนี้ชะมัด แต่ก็ไม่กล้าไง เดี๋ยวพวกมันมารุมกระทืบผมข้อหาพาล ผมเลยได้แต่บ่นอุบอิบที่จะต้องเอารถไปให้ช่างเอาหมากฝรั่งเวรนี่ออกอีก

แต่ถึงจะโดนแกล้งแบบนี้ ผมก็แอบแสยะยิ้มกับความโง่ของไอ้เด็กนั่นเหมือนกัน

มันไม่รู้หรือไงวะว่ารถผมมันปลดล็อคด้วยระบบรีโมท กดกริ๊กเดียวก็เปิดได้แล้วเว้ย ไม่ต้องไขเหมือนรถสมัยเก่า

ผมยืนหัวเราะในลำคอคนเดียวเป็นบ้าเป็นหลัง สะใจที่มันทำให้ผมโทรเรียกช่างมาช่วยในวันนี้ไม่ได้ จังหวะเดียวกันก็เหลือบเห็นว่ามีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งถูกเข็นผ่านมาข้างๆ พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นไอ้เด็กธารกับผองเพื่อนครบแก๊ง พวกนั้นเข็นมาแล้วก็มาหยุดมองผมห่างๆ แวบหนึ่ง

ส่วนผมน่ะเหรอ... ชูกุญแจรีโมทในมือขึ้นสูง ยักคิ้วให้มันไปทีประหนึ่งว่า ‘มึงไม่ได้แดรกกูร้อก!’ ก่อนจะกดรีโมท และเดินไปเปิดรถต่อหน้าต่อตามัน กะว่าจะให้มันเจ็บใจเล่น

ทว่าพอผมตรงเข้าไปจับที่เปิดประตูปุ๊บ ความเหนียวหนืดของวัตถุบางอย่างก็ติดปลายนิ้วผมทันที กลิ่นหอมรสผลไม้รวมอ่อนๆ ก็ลอยมาเตะจมูกให้ได้กลิ่นรางๆ ด้วย ผมชะงักกึกไป หัวคิ้วนี่ขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

ระ...หรือว่า...

ดึงมือออกมาดูก็เห็นว่าด้านหลังที่เปิดประตูมีหมากฝรั่งถูกเคี้ยวแล้วติดอยู่เป็นแพ

อะ...ไอ้เด็กเวร!

ผมอ้าปากค้าง หันไปทางตัวต้นเหตุ ขณะที่ธารมองหน้าผมแล้วหยักยิ้มมุมปาก คล้ายกับกำลังส่งเสียงหัวเราะดังหึมาทีนึง ยักคิ้วให้ผมตบท้ายก่อนจะเข็นมอเตอร์ไซค์ไปสตาร์ทที่จุดสตาร์ทหน้าวิทยาลัยเพื่อให้อาจารย์ผู้ชายคนอื่นๆ ตรวจอาวุธก่อนออกไป ทิ้งให้ผมยืนหัวเสีย วิ่งหาก๊อกน้ำมาล้างมือให้วุ่น

แม่ง เหนือชั้นมากไอ้ธาร...เหนือชั้นมาก!

มาอีกวัน...

เรียกว่าโคตรมหาแย่ เมื่อวานแค่หมากฝรั่ง ไปให้ช่างเอาน้ำมันเครื่องทาก็ลอกออกมาได้อย่างไร้ริ้วรอย แต่วันนี้...

กระจกมองข้างทั้งสองข้าง...โดนสีสเปรย์สีดำพ่นซะจนดำปิ๊ดปี๋เลย!

ผมไม่ทนละ ไปโวยวายกับพี่สมรว่ามันเกินไป หากแต่ได้คำตอบกลับมาว่า ‘รถน้องเหนือมีกล้องมั้ยล่ะคะ ถ้ามีกล้องก็เอามาเป็นหลักฐานได้ว่าเจ้าธารเป็นคนทำ แต่ถ้าไม่มีก็คงต้องไปติดนะ เด็กที่นี่น่ะเห็นเกๆ แบบนี้แต่หัวหมอจะตาย ถ้าจับไม่ได้คาหนังคาเขาก็ไม่ยอมรับหรอกค่ะ’

นั่นแหละประเด็น รถผมไม่มีกล้องไง เพิ่งจะเอาออกไปก่อนมาฝึกงานเพราะมันเสีย ตอนนี้มองเห็นประโยชน์ของการมีกล้องหน้ารถทันที ส่วนรถผมก็เอาเข้าอู่ไปเรียบร้อยโรงเรียนไอ้เหนืออีกวัน ช่างประจำอู่นี่ถึงกับเรียกผมว่าขาประจำเลยทีเดียว ไม่มีใครโดนเล่นงานติดกันชนิดทำลายสถิติกินเนสต์บุ๊กประจำวิทยาลัยเทคนิคบุญอนันต์เหมือนผมอีกแล้ว

“ถ้าไม่เปลี่ยนไปเลย ก็ต้องรอนานหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมให้ลูกน้องขัดสีสเปรย์ออกให้” ช่างใหญ่ประจำอู่เดินมาบอกผมที่นั่งพลิกนิตยสารเกี่ยวกับรถไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเบื่อหน่าย

ผมละสายตาได้ก็พยักหน้า “ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”

“แต่ถ้าอาจารย์ไม่อยากรอ อาจารย์ก็ไปเดินเล่นแถวๆ นี้ก่อนก็ได้นะครับ ตั้งแต่มาอยู่นี่ เคยไปเดินเล่นแถวสวนชมน่านหรือยัง”

“ยังไม่เคยเลยครับ” ผมตอบไปตามความจริง

ก็ตั้งแต่มาที่นี่ วุ่นวายเรื่องฝึกงานอย่างเดียวไม่พอ ยังจะวุ่นวายเรื่องโดนไอ้เด็กธารแกล้งทุกวี่ทุกวัน ไม่เคยได้กลับห้องแต่หัววันเลยสักครั้ง แถมกลับมาก็ยังต้องมาทนฟังไอ้บ้าข้างห้องกินเหล้าโต้รุ่งส่งเสียงโวยวายทุกคืนอีก นอนไม่เคยพอสักคืนแบบนี้จะเอาเวลา เอาแรงที่ไหนไปเที่ยว

“วิวดี ลมเย็นนะแถวนั้น ของกินก็มีเยอะ สาวๆ ที่มาวิ่งก็แจ่มๆ ทั้งนั้น ไปเดินเล่นก่อนแล้วค่อยกลับมาก็ได้ครับ ไม่ไกลจากอู่นักหรอก เดินข้ามฝั่งไปก็ถึงแล้ว” ฝ่ายนั้นเสนอมาอีกเมื่อผมตอบกลับไปแบบนั้น

ผมพอจะนึกออกว่าอยู่ตรงไหน อู่รถนี่อยู่ตรงริมถนนหน้าแนวแม่น้ำน่านด้านหลังวัดพระศรีมหาธาตุฯ หรือที่เรียกกว่าวัดใหญ่ เดินข้ามฝั่งไปก็จะเป็นสวนชมน่าน ที่พักผ่อนหย่อนใจชื่อดังของชาวสองแคว ผมเลยตกลงไปโดยแทบไม่เสียเวลาคิด

“งั้นเดี๋ยวผมกลับมาแล้วกันครับ เสร็จเมื่อไหร่ก็โทรมาแล้วกัน”

“ได้ครับ ค่ำๆ แหละ เดี๋ยวผมโทรหา”

จัดการฝากฝังรถคันเก่งเสร็จก็เดินไปข้ามสะพานลอยมาอีกฝั่งหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาราวๆ หกโมงเย็นเลยมีผู้คนออกมาเดินเล่นกันค่อนข้างหนาตา ทั้งมาออกกำลังกาย ทั้งพวกนักเรียนที่เรียนอยู่โรงเรียนแถวนั้น เดินกันให้ละลานตาไปหมด ผมมารู้อีกทีว่าถัดไปจากสวนชมน่านอีกแยกนึงก็มีไนท์บาซาสำหรับนักชอปฯ อีกด้วย ผมก็เลยตัดสินใจเดินไปแถวนั้นเพื่อหาอะไรลงท้องสำหรับมื้อเย็นก่อน

หากทว่า...พอผมเดินมาได้ครึ่งทางของสวน สายตาผมก็ไปปะทะเข้ากับแก๊งเด็กวัยรุ่นราวสิบชีวิตที่ขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนกันชนิดลืมตายมาจอดห่างจากบริเวณที่ผมเดินอยู่ไม่กี่เมตร มองปราดเดียวก็รู้ว่าพวกนั้นเป็นเด็กช่าง เห็นมีไม้ที ไม้บรรทัดฟุตเหล็กติดตัวมาด้วย แต่ไม่ใช่เด็กช่างวิทยาลัยที่ผมสอนอยู่หรอก พวกนั้นไม่ได้ใส่ช็อปสีครีมอ่อน แต่ใส่ช็อปสีเขียวขี้ม้า ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากที่ไหนเพราะไม่เคยเห็น

เพราะไม่เคยเห็น ก็เลยไม่สนใจ เดินไปเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงกลุ่มพวกเด็กนั่นที่จอดรถยืนมุงกันอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมก็ได้ยินเสียงโวยวายแว่วเข้ามาในหูทันที

“มึงนึกว่ามึงหล่อนักเหรอวะ มาจีบแฟนกูนี่ ไม่รู้หรือไงว่ามีเจ้าของแล้ว!”

“แล้วกูจะไปรู้เหรอว่าไม่มีแฟน แฟนมึงไม่ได้มีปลอกคอใส่ไว้นี่หว่า”

“มึงด่าแฟนกูว่าเป็นหมาเหรอ!”

แล้วพวกมันก็ผลักกันอุตลุต คนรอบข้างผมวงแตกกันทันที ส่วนผมก็รีบเดินเร็วๆ ด้วยสัญชาตญาณบอกว่าอีกเดี๋ยว มันจะต้องตะลุมบอนกันแน่ๆ

ผมเกือบจะสาวเท้าจ้ำอ้าวเดินผ่านไปเหมือนคนหูหนวกตาบอดอยู่แล้ว ถ้าหากว่าจู่ๆ หูไม่ดันไปได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้น

“มึงผลักเพื่อนกูเหรอ!”

พลั่ก!

ตามมาด้วยเด็กหัวโจกเสื้อช็อปสีเขียวที่โวยวายเรื่องแฟนโดนแย่งถูกผลักไปนั่งจุ้มปุ๊กบนพื้น เท่านั้นผมก็ตวัดหางตาไปมองทันที แล้วก็ต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าไอ้ตัวการที่ผลักอีกฝ่ายคือ...

“ธารใจ!”

ตายหอง เผลอตะโกนเรียกชื่อมันไปอีก แม่งเอ๊ย ทำไมต้องมาเจอไอ้เด็กพวกนี้ตอนพวกมันมีเรื่องกันด้วยวะ!

ทีนี้เด็กพวกนั้น ทั้งวิทยาลัยอื่น วิทยาลัยที่ผมสอนอยู่ก็หันขวับมามองผมเป็นตาเดียว เท่านั้นน้องมายด์ก็ร้องวี้ดว้ายกระตู้วู้เสียงดังอีกคน

“อ้ายเหนือ! อ้ายเหนือ! (พี่เหนือ! พี่เหนือ!)” โบกมือเรียกประหนึ่งเห็นเพื่อนสาวที่พลัดพรากจากกันกว่าสิบปี

มึงจะทักกูทำมะเขือเผาอะไร! อย่าลากกูไปยุ่งกับเวทีมวยของพวกมึงนะเว้ย!

ผมใจสั่นวูบขึ้นมาที่จู่ๆ ก็ตกเป็นเป้าสายตา ตกเป็นเป้าสายตาอย่างเดียวไม่พอ จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกับไอ้เด็กพวกนั้นด้วยเถอะ พวกเด็กช่างเสื้อช็อปเขียวนั่นคงไม่คิดว่าผมเป็นอาจารย์ฝึกสอนหรอก ใส่ชุดนักศึกษาขนาดนี้ มันคงจะคิดว่าเป็นรุ่นพี่ ปวส.มากกว่า และที่ผมไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกมันก็เพราะสังเกตเห็นได้ตอนนี้ว่าพวกเด็กนั่นมีกันอยู่แค่สี่หน่อ ได้แก่ ธาร โรม น้องมายด์ และจอมแก่น ในขณะที่อีกฝั่งแม่งจะตั้งทีมฟุตบอลได้อยู่ละ

“เอ้า’จารย์ มาทำไรเนี่ย!” แถมโรมก็ร้องเสียงดังเมื่อเห็นผมยืนมองอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกด้วย

จะหนีก็ไม่ได้แล้วด้วยวุ้ย ผมเลยอ้าปากจะอธิบายว่าแค่เดินผ่านมาแล้วบังเอิญมาเจอพวกมันยืนประจันหน้ากับเด็กเทคนิคฯ วิทยาลัยอื่นอยู่ แล้วพอสบโอกาสก็จะชิ่งหนีแทน ทว่าแค่เผยอปากเท่านั้น จอมแก่นก็วิ่งข้ามฝั่งมาหาผมแล้ว ก่อนจะตามมาด้วยน้องมายด์ พอเห็นเพื่อนวิ่งมา โรมก็วิ่งตาม

ดะ...เดี๋ยว! พวกมึงจะวิ่งมาหากูทำซากอ้อยอะไร! กูช่วยพวกมึงไม่ได้หรอกนะเว้ย! กูแค่มาซื้อข้าวกิน!

คิดไปก็เท่านั้นแหละ อีน้องมายด์เข้ามาจับไหล่ผมแล้วก็โพล่งขึ้นมาแล้ว

“อ้ายเหนือจั๊ดก๋านเลยเจ้า จ้วยน้องมายด์กั๊บเปื้อนๆ ต้วย (พี่เหนือจัดการเลยค่ะ ช่วยน้องมายด์กับเพื่อนๆ ด้วย)”

ช่วยพร่อม! กูยังเอาตัวเองไม่รอดจากพวกมึงเลย โดนหัวหน้าแก๊งพวกมึงแกล้งทุกวัน จะไปช่วยได้ยังไง!

ยังไม่ทันจะได้พูด ธารที่ยืนประจันหน้ากับคู่อริอยู่ก็วิ่งมาทางผมเหมือนกัน ก่อนจะมาหยุดตรงหน้า ใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังทุกคนเอาไว้

“นับหนึ่งถึงสามแล้ววิ่งเลยนะ วันนี้พวกมันมากันเยอะ สู้ไม่ไหวว่ะ” ธารกระซิบบอกโดยไม่หันมามอง จ้องอีกฝ่ายที่รอจังหวะรถหยุดเพื่อข้ามมาหาเหมือนกัน

เห็นก็พอรู้ พวกเด็กนี่มีกันแค่สี่คน นับผมด้วยก็ห้า ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ช่วย ส่วนพวกฝั่งตรงข้ามมีมากกว่าสิบ สู้ไหวก็กัปตันอเมริกาแล้ว!

ทุกคนพยักหน้ารับ ธารก็เริ่มออกปากนับ

“หนึ่ง...”

แค่หนึ่งเท่านั้นแหละ ผมก็ใส่เกียร์หมา วิ่งนำเพื่อนไปเลย พวกเด็กเวรนั่นหันมามองผมแล้วก็อ้าปากค้าง

“เฮ้ย’จารย์! ยังไม่ได้นับสามเลย! รอก่อน!” โรมร้องลั่นทันทีที่เห็นผมพุ่งตัวสุดแรงเกิด

จะรอป้ามึงมาตัดริบบิ้นเหรอ! วิ่งสิเอ๋! รอทำบ้าอะไร เดี๋ยวพวกมันก็เอาสปาตาร์มาเฉาะหัวมึงหรอก! วิ่งโว้ย วิ่ง!

โรมวิ่งตามมาคนแรก ก่อนน้องมายด์กับจอมแก่นจะวิ่งหน้าตั้งตามมาติดๆ

“ว้าย! อ้ายเหนือ ท่าน้องกำ! (ว้าย! พี่เหนือ รอน้องด้วย!)”

อีน้องมายด์นี่น่ารำคาญมาก วิ่งไปก็กรี๊ดไปจนธารที่ยืนกันท่าให้เพื่อนอยู่ต้องหันมามอง พอเห็นทั้งเพื่อน ทั้งอาจารย์วิ่งตูดเปิด มันก็วิ่งตามมาเลย แวบเดียวก็วิ่งมาขนาบข้างผม หันมาสบถใส่ผมเสียงดังด้วย

“เป็นอาจารย์ภาษาไรวะ! เผ่นแน่บก่อนนักเรียนอีก เดี๋ยวนักเรียนก็โดนรุมกระทืบตายหรอก เป็นอาจารย์ก็ต้องช่วยห้ามสิเฮ้ย!”

แล้วมันใช่หน้าที่กูมั้ย กูเดินผ่านมา จะไปหาซื้อข้าวกินนะเว้ย ไม่ได้มาห้ามทัพพวกมึง กูก็กลัวตายเป็นนะ!

“วิ่งไปน่า อย่าพูดมาก!” ผมอยากจะพูดมากกว่านี้นะ แต่พอได้ยินเสียงเฮโลจากทางด้านหลังก็วิ่งไม่คิดชีวิตทันที

นี่ถ้าแข่งวิ่งร้อยเมตรล่ะก็ บอกเลยว่าผมได้เหรียญทองมาครองแน่นอน ตอนนี้ผมวิ่งนำเด็กพวกนั้นไปแล้วเรียบร้อย ทิ้งห่างด้วย

โถ...ไอ้เหนือ วิ่งลืมตายแท้ๆ

“เล่นงานพวกมันอย่าให้เหลือ!”

ไอ้พวกเด็กเวรวิทยาลัยอื่นก็ตะโกนไล่หลังมา ผมหันไปมองก็เห็นพวกมันยกโขยงมาด้วยความเร็วแสงเช่นเดียวกัน ที่สำคัญ พวกธารที่วิ่งตามหลังผมมาตอนแรก ตอนนี้พวกมันแยกย้ายหนีเข้าตรอกซอกซอยกันเป็นที่เรียบร้อย เหลือผมคนเดียวนี่แหละที่วิ่งหนีคู่อริพวกมันอยู่

ดะ...เดี๋ยว! กูเป็นอาจารย์นะ ไม่ใช่คู่อริพวกมึง จงตั้งสติ! ตั้งสติกันเดี๋ยวนี้!

ส่วนไอ้พวกเด็กเวรแผนกที่ผมดูแลนั่น...

พวกมึงทิ้งอาจารย์หน้าตาเฉยได้ยังไงวะ! กูบอกว่ากูแค่เดินผ่านมา จะไปซื้อข้าวกินเฉยๆ! อะไรของพวกมึงเนี่ย!

พวกเด็กคู่อรินั่นก็บ้าเลือดจนไม่มีเวลามาตั้งสติแล้วล่ะ บุกมาประหนึ่งจะรุมกินโต๊ะผม ตอนนี้สายตาผมก็มองซ้ายมองขวาให้วุ่นเลย

ตะ...ตำรวจ ตำรวจอยู่ไหน! ห้ามไอ้เด็กพวกนั้นที!

ตอนขับรถผ่านมาก็เห็นอยู่ว่ามีสถานีตำรวจอยู่แถวนี้ แต่ตรอกซอกซอยที่นี่มันทะลุกันได้จนผมที่ไม่ใช่คนในพื้นที่งงไปหมด เลยวิ่งวนไปทั่ว หาทางไปสถานีตำรวจไม่ถูกสักที ผมเลยเอาแต่วิ่งหน้าตั้งจนเลยไนท์บาซาไป ถ้าให้ประเมินระยะทางที่วิ่งล่ะก็ บอกเลยว่าเกินสามกิโลฯ ไปแล้วเรียบร้อย วิ่งจนมาถึงหลังวัดอะไรสักอย่าง ไอ้เด็กเทคนิคจากวิทยาลัยอื่นก็ยังไม่เลิกวิ่งตามผมเลย

วะ...เวร กูวิ่งจนลมจะใส่แล้วนะเว้ย พวกมึงหยุดตามกันสักที กูเป็นอาจารย์! เป็นอาจารย์!

ไม่ใช่แค่คิด ตะโกนบอกไปด้วยว่าตำแหน่งตัวเองคืออะไร แล้วพวกมันฟังมั้ย...หึ! วิ่งหน้าตั้ง จะเอาแต่รุมกระทืบผมลูกเดียว

กูบอกว่าเป็นอาจารย์ ได้ยินมั้ยเนี่ย!

วิ่งจนไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน ขาทั้งสองข้างเริ่มไร้เรี่ยวแรงจนความเร็วลดลง ฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ มองไปรอบข้างก็มีแต่หลังบ้านคนกับพงหญ้าที่พุ่งทะลุไปก็ตกแม่น้ำน่าน แถมแถวนี้ก็ไม่มีรถสวนไปสวนมาอีก คล้ายๆ กับถนนเส้นหลังเล็กอะไรประมาณนั้น

มะ...ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน แถมจู่ๆ มาวิ่งมาราธอนลืมตาย แบบนี้โดนพวกมันรุมกระทืบแน่...

ทว่าในวินาทีที่ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดแรง สายตาผมก็เหลือบเห็นไฟสีส้มของรถมอเตอร์ไซค์ออโต้พุ่งเข้ามาหาตรงหน้า แล้วก็ปาดหน้าจอดชนิดเกือบชน ดีที่ผมเบรกฝีเท้าได้ทัน และก็ต้องตกใจที่เห็นว่าคนขับก็คือธาร

“’จารย์ขึ้นมา!” จอดได้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ร้องเรียกให้ผมขึ้นซ้อน

ผมยังเอ๋อกินอยู่เลยไม่ได้ทำตามโดยทันที หมอนั่นจึ๊ปากแล้วก็เอี้ยวตัวมาคว้าแขนผมกระชากเข้าไปหาเต็มแรง

“เดี๋ยวก็โดนพวกมันรุมยำหรอก ขึ้นมา!”

ได้สติเอาตอนนี้ ผมเลยปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย ก้นยังไม่ทันจะสัมผัสกับเบาะเลย ธารก็บิดคันเร่งมิดออกตัวไปแล้ว ผมเลยรีบคว้าเอวเด็กนั่นเอาไว้เพราะเกือบจะตกรถ

“ขับช้าๆ หน่อย เมื่อกี้เกือบตกแล้วนะเว้ย!” เผลอวะๆ โว้ยๆ กับมันไปอย่างลืมตัวด้วย ก็แหม เมื่อกี้มันตกใจนี่หว่า

“ช้าเดี๋ยวพวกมันก็ตามมาทันหรอก เงียบปากแล้วเกาะแน่นๆ เถอะ!” ไม่พูดอย่างเดียว เพิ่มความเร็วด้วย

จากที่เกาะเอวมันอยู่แล้ว ตอนนี้ผมกอดเลย เอาหน้าซบหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของมันด้วยตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดเพราะกลัวจะหงายหลังร่วงลงไป ตั้งตัวได้ก็หันไปมองข้างหลัง เห็นเด็กช่างอีกกลุ่มโยนไม้ทีในมือเข้าใส่ ต่อยเตะอากาศอย่างเจ็บใจที่ผมรอดไปได้

แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับผมแล้ว นอกจากพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงด้วยความโล่งอก ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ธารพาผมซิ่งรถมอเตอร์ไซค์มาเจอกับคนอื่นๆ ที่หน้าเซเว่นบนถนนเส้นหนึ่ง

พอจอดรถเทียบฟุตปาธได้ เสียงของธารก็ดังแว่วมาทันที

“จะกอดอีกนานมั้ย’จารย์ กอดแน่นจนเอวจะหักอยู่แล้ว”

ไม่ใช่แค่เสียงที่ขุ่น สีหน้าที่หันมามองก็บ่งบอกว่ารำคาญเต็มทน ผมเลยรีบปล่อยมือ ยกมือลูบต้นคอแก้เก้อไปด้วยที่แสดงท่าทางหวาดกลัวชนิดหางจุกตูดให้เด็กพวกนั้นเห็น

“อ่า...โทษทีครับ”

ธารไม่สนใจคำพูดของผมสักนิด พ่นลมหายใจใส่เต็มแรง แล้วก็เหน็บมา

“อาจารย์บ้าอะไร วิ่งเปิดก่อนเพื่อน”

ถ้ามึงเป็นกู มึงมาหาข้าวกิน จู่ๆ มึงก็ถูกลากไปให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้รุมกระทืบ มึงจะวิ่งมั้ยล่ะ!

อยากจะตะโกนใส่หน้ามันอย่างนี้เหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้ ยิ้มยิงฟันให้ไป ทว่ามุมปากนี่กระตุกยิกๆ

“ธารบ่ท่าไปว่าอ้ายเหนือ อ้ายเหนือเปิ้ลบะเกี่ยว (ธารก็อย่าไปว่าพี่เหนือเลย พี่เหนือไม่เกี่ยวด้วยซะหน่อย)”

น้องมายด์ว่าขึ้นมา มือปลดสายรัดหมวกกันน็อคใต้คางขณะคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อเดียวกับธารไว้อยู่ ต่างกันแค่สี ของธารเป็นสีดำ ของน้องมายด์ไม่ต้องเดาหรอกมั้งว่าสีอะไร สาวน้อยสวยหวานอย่างนี้ก็ต้องสีชมพูอยู่แล้ว

ส่วนมอเตอร์ไซค์ที่จอมแก่นคร่อมอยู่โดยมีโรมซ้อนก็เป็นยี่ห้อเดียวกันเหมือนกัน ทว่าเป็นสีน้ำเงิน

แก๊งเดียวกันก็เลยซื้อยี่ห้อเดียวกันหมดเลยสินะ

“ก็พูดเรื่องจริงนี่หว่า แม่งพอนับแค่หนึ่งก็ออกตัวแรงก่อนใครเพื่อน อาจารย์บ้าอะไร ไม่ปกป้องศิษย์เลย”

ยัง... มันยังเหน็บผมไม่เลิก ศิษย์อย่างมึงมันน่าปกป้องมั้ยล่ะ เอาสีสเปรย์มาพ่นกระจกรถกูเนี่ย ไอ้เด็กธาร!

“ฮั่น บอกว่าจะไปว่าอ้ายเหนือยังว่าแฮ๋มอยู่ เดี๋ยวมายด์ก็ยับแป๋งผัวดีก้า (แน่ะ บอกว่าอย่าว่าพี่เหนือก็ยังจะว่าอีก เดี๋ยวมายด์ก็จับทำผัวซะหรอก)” ตอนนี้น้องมายด์ชักสีหน้าใส่ธารเล็กน้อย ขู่ด้วย

ผมนี่ภาวนารัวๆ เลยว่าขอให้ได้ ขอให้โดน โดนแม่งสักที จะได้เลิกค่อนแคะผม

แต่ธารไม่แยแส ยักไหล่แล้วก็พูดหน้าตาเฉย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel