ชั่งใจ ครั้งที่ 2: อาจารย์ฝึกสอน [1/1]
วันนั้นทั้งวัน เด็กในแผนกที่ผมมาฝึกสอนเลยถูกเทศนายกใหญ่ทั้งจาก ผอ. รอง ผอ. อาจารย์ฝ่ายปกครอง พี่สมร และอีกหลายคนจนนับไม่ถ้วน นี่ถ้าภารโรงเทศนาได้ก็คงลากมาเทศน์ด้วยอีกคนแล้วพูดจริงๆ ส่วนผมก็เสียขวัญสุดๆ ก็เอาแต่ร้องจะกลับกรุงเทพฯ โทรไปหาอาจารย์ผู้ดูแลการฝึกด้วยว่าผมขอย้ายที่ ขอไปอยู่กับพวกเพื่อนที่กำแพงเพชร แต่อาจารย์พูดกลับมาแค่ว่า ‘ถ้าคุณฝึกที่นี่ไม่ได้ก็ไปขึ้นดอย ไม่อยากขึ้นดอยก็ดร็อปแล้วรอไปลงเรียนวิชาอื่นเทอมหน้าค่ะ’
ให้ตาย... ดร็อปไปลงวิชาอื่นเทอมหน้า ผมก็จบช้ากว่าเพื่อนสิ อาจารย์อะไรเนี่ย ไม่สนใจเด็กเลย!
สุดท้ายผมก็ได้แต่โทรไปบ่นให้ยีนส์กับกั้งฟัง แต่พวกมันสองคนก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าไหร่ ทำผมหัวเสียขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะพอผมเล่าให้พวกมันฟังปุ๊บ มันสองคนก็เอาแต่หัวเราะเยาะ ตามมาด้วยเยาะเย้ยถากถางที่ผมเมาเรื้อนจนไม่ได้มาเลือกที่ฝึกงานในเวลาที่กำหนด
ถ้ารู้ว่ามันจะมาลงเอยแบบนี้ ผมก็ไม่ไปเมาเละเทะฉลองสอบปลายภาคเทอมหนึ่งตัวสุดท้ายเสร็จอย่างนั้นหรอก
ในเมื่อทางเลือกที่อาจารย์ให้ผมมีแค่ดร็อปเรียนกับย้ายไปสอนโรงเรียนบนดอยเท่านั้น ผมเลยต้องกัดฟันทนต่อไปแม้ว่าจะมองเห็นอนาคตขึ้นมารางๆ แล้วว่าผมอาจจะอยู่สอนที่นี่ได้ไม่ถึงวันฝึกงานวันสุดท้าย
ไม่ใช่ว่าย้ายไปฝึกที่อื่นก่อนหรอกนะ แต่กูจะโดนลูกหลงตอนไอ้พวกเด็กนี่ตีกันตายห่านก่อนนี่แหละ!
วันนั้นตลอดการอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคฯ ผมก็ทำหน้าอมทุกข์ทั้งวันจนพี่สมรไม่รู้ว่าสงสารหรือสมเพช เลยไล่ให้ผมกลับไปพักตั้งแต่ครึ่งวันแรก เพราะพรุ่งนี้ผมจะต้องเริ่มสอนเป็นครั้งแรก
พอได้รับอนุญาต ผมก็ไม่อยู่ครับ รีบบึ่งรถกลับมาที่หอทันที ตอนแรกก็กะว่าจะพักเฉยๆ ดันกลับมาแล้วปวดหัวไมเกรนซะได้ เลยต้องนอน... นอนลากยาวไปจนถึงช่วงเย็น
ไอ้พวกเด็กช่างที่มันเหลือเกินจริงๆ ไมเกรนกินกบาลต้องเป็นเพราะพวกมันแน่ๆ
เป็นเพราะพวกมันหรือเปล่าก็ไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ๆ ก็คือตอนนี้ผมเริ่มไมเกรนกินกบาลอีกระลอกเพราะไอ้ข้างห้องละ
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็พอผมเตรียมจะเข้านอนตอนประมาณเที่ยงคืนหลังจากกินยาแก้ปวดไป เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังทะลุกำแพงห้องมาให้ได้ยินเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิดเพี้ยน คราวนี้ไม่ใช่เสียงการเอาถุงน้ำแข็งยูนิตทุบกำแพง แต่เป็นเสียงแหกปากร้องเพลงลั่นชนิดแทบไม่รู้ว่ามันร้องเพลงอะไรกันเพราะจับทำนองไม่ได้เลย ได้ยินแต่เสียงเนื้อร้องนี่แหละที่พอจะรู้มาได้บ้างว่าเป็นเพลงอะไร
“สายลมหนาวพัดโบกโบย พริ้มดูแล้วสวยใสๆ เย็นลมเย็นไหวๆ สวยงาม บ้านอยู่ไกลทุรกันดาร โรงเรียนอยู่หลังเขา มีแต่เรา พวกเราไม่มีใคร!”
ไม่ค่อยได้ยินเพลงนี้บ่อยนัก แต่เพราะพ่อแม่ผมเป็นแฟนเพลงพงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ เลยรู้ว่าเพลงนี้คือเพลง โรงเรียนของหนู
แต่มันเป็นเพลงช้าไม่ใช่หรือไงวะ พวกมึงจะเคาะโน่นนี่เร่งจังหวะให้มันเป็นเพลงเร็วทำไม!
“ยามร้อนแสนร้อน ยามหนาวก็หนาวถึงใจ ไม่มีผ้าห่มคลุมกาย โรงเรียนมีครูหนึ่งคน ครูผู้เสียสละตน อดทนห่างไกลความสบาย!”
เสียงร้องดังไม่หยุดหย่อน ผมลุกขึ้นนั่ง มองกำแพงตรงปลายเท้าผ่านความมืดอย่างหัวเสีย ความปวดหนึบที่หัวข้างหนึ่งก็เต้นตุ้บๆ ไม่หยุด เต้นหนักกว่าเดิมตอนพวกมันตะโกนขึ้นมาอีก
“โรงเรียนของหนูอยู่ไกล๊ไกล อยากให้คุณคุณหันมอง! โรงเรียนของหนู!”
ก็ช่างหัวพวกมึงเว้ย! ตอนนี้กูจำเป็นต้องนอนเพราะกูต้องไปสอนหนังสือโรงเรียนของกูเนี่ย!
โอย... ประสาทจะกิน อยากจะบุกไปห้องพวกมันแล้วต่อยเรียงตัวฉิบเป๋ง ถ้าไม่โดนไอ้บ้าห้องนั้นขู่มาว่าจะแทงไส้ไหลเมื่อคืนล่ะก็ ผมคงจะไม่รอช้า บุกไปแล้ว
และเพราะกลัวมันจะแทงไส้ไหลนี่แหละ ผมเลยได้แต่ปล่อยให้พวกมันตั้งวงกินเหล้า ร้องเพลงรบกวนการนอนไปเรื่อยๆ ขณะที่ตัวเองก็พยายามข่มตานอนท่ามกลางบรรยากาศนั้น แต่ดูแววแล้ว คืนนี้คงจะไม่ได้นอนเหมือนเดิมแฮะ
ไม่ได้นอนจริงอย่างที่คาดเดาไว้ไม่มีผิด กว่าพวกมันจะหยุดแหกปากก็ล่อเข้าไปตีสามเกือบตีสี่ ผมก็อยู่ในสภาพผีตายซากไม่ต่างจากวันแรก พอขับรถมาถึงจุดหมายปลายทางก็จะตายให้ได้ยิ่งกว่าเดิมด้วยเมื่อพี่สมรบอกว่าคาบแรกที่ผมต้องฝึกสอนเป็นคาบติดกัน พูดง่ายๆ ก็คือผมต้องสอนภาษาอังกฤษสองชั่วโมงรวดน่ะ
สอนสองชั่วโมงรวดกับนักศึกษาแผนกช่างไฟปีสามที่มันเพิ่งตีกันข้ามหน้าข้ามตาผมไปเมื่อวาน อา... เป็นการรับน้องฝึกงานที่หนักหนาอะไรอย่างนี้
“น้องเหนือไม่ต้องกังวลนะคะ น้องเก๋เตรียมแผนการสอนกับบทเรียนไว้หมดแล้ว น้องเหนือหยิบไปใช้ได้เลยนะ อะนี่ พี่เตรียมของคาบแรกมาให้แล้วด้วย แล้วก็ซีร็อกซ์เอกสารสำหรับแจกนักศึกษาไว้ให้เรียบร้อย นี่ก็ใบรายชื่อนักศึกษา ส่วนตารางสอน เดี๋ยวพี่จะเอามาให้ช่วงบ่ายนะ ขอพิมพ์ก่อน”
หูผมแทบไม่ได้ยินเสียงของพี่สมรที่อธิบายเรื่องการสอนหลังการโฮมรูมเสร็จสิ้นสักนิด เอาแต่นั่งเหม่อลอย ทำใจไม่ได้ที่จะต้องมาสอนเป็นคาบแรกของวัน อยากจะถามกลับจริงๆ ว่าใครจัดตารางสอน เอาวิชาภาษาอังกฤษมาไว้เป็นคาบแรกตอนที่ผมมาสอนด้วย
ทว่าความเหม่อลอยของผมก็ยุติลงเมื่อเสียงของพี่สมรดังขึ้นอีกครั้ง
“ทำใจให้สบายค่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
ที่พูดอย่างนี้คงเป็นเพราะเห็นผมทำหน้าเหมือนจะตายให้ได้ล่ะมั้ง
“ขอบคุณครับ”
ผมยกมือขอบคุณ ยื่นมือไปรับเอกสารการสอนมาถือ กวาดตามองแวบเดียวก็รู้ว่ามันเป็นเนื้อหาพวก Tense พื้นฐาน ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่ายสำหรับเด็กเอกอังกฤษอย่างผม แต่ที่ยากสำหรับผมก็คือการที่ไม่รู้ว่าจะสอนเด็กพวกนั้นยังไงให้ราบรื่น ไม่โดนพวกมันรุมกระทืบตายคาห้องเรียนนี่แหละ
“ถ้าน้องเหนือแล้วก็เข้าห้องสอนได้เลยค่ะ คาบนี้ปีสามเรียนที่ชั้นสี่นะ หน้าห้องเขียนว่าหมวดภาษาอังกฤษ หาไม่ยากค่ะ ลองเดินหาดู”
ยังไม่ทันที่ผมจะคิดหาวิธีออก พี่สมรก็ออกปากไล่ผมกลายๆ แล้ว ผมเลยได้แต่พยักหน้ารับ คว้าข้าวของทุกอย่างขึ้นเต็มสองแขน ทำท่าจะออกจากห้องพักครู ทว่าเดินได้ไม่กี่ก้าวก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะถามอะไร
“พี่สมรครับ คือว่า... ผมมีเรื่องอะไรที่ควรระวังมั้ยครับ”
ผมหมายถึงพวกเรื่องแบบ...อย่าไปกวนตีนนักเรียนถ้าไม่อยากตาย หรืออย่าไปแซวเรื่องบางเรื่องอะไรเทือกนี้น่ะ
พี่สมรทำท่าคิดไปแป๊บ ก่อนจะพูดออกมา
“เอ...ก็ไม่มีนะ ปีสามน่ะสอนง่ายจะตาย น้องเหนือไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ขี้กังวลนะเรา”
ก็ต้องกังวลสิวะ! เมื่อวานแค่เช็กชื่อ มันยังเปิดศึกกันเลย ไม่กังวลก็บ้าแล้ว!
“ไปสอนเถอะ ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรจริงๆ” พี่สมรไล่ผมกลายๆ อีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมไปสักที
ผมลอบถอนหายใจ คงจะต้องดูเองซะแล้วล่ะว่าควรระวังเรื่องอะไร ก่อนจะก้มหัวให้คนตรงหน้าเล็กน้อยเป็นการลา
“งั้นผมไปก่อนนะครับ” สิ้นเสียง ผมก็หมุนตัวเตรียมก้าวออกจากห้องพักครู
ทว่าเสียงของพี่สมรก็ดังเรียกขึ้นก่อน
“เรื่องที่ต้องระวังน่ะไม่มีหรอก แต่ถ้าคนที่ต้องระวังน่ะ ก็มีอยู่นะ”
ผมชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองพี่สมรทันที
“พี่สมรหมายความว่า?”
“เจ้าหัวโจกที่ชอบสร้างเรื่องประจำชั้นปีน่ะ รายนี้ต้องระวังหน่อย ของขึ้นง่าย”
สมองผมประมวลทันทีว่าหัวโจกที่พี่สมรว่าคือใคร ก่อนจะนึกถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ชื่อธารขึ้นมาได้
เห็นจากการกระทำเมื่อวานก็รู้แล้วล่ะว่าของขึ้นง่ายขนาดไหน
“แต่น้องเหนือก็ไม่ต้องเป็นห่วงอยู่ดีแหละค่ะ เจ้าตัวแสบนั่นเกเรของขึ้นกับพวกนักศึกษาด้วยกันเท่านั้นแหละ กับครูบาอาจารย์ ถือว่าเป็นเด็กที่น่ารักอยู่”
ถ้าพี่สมรหมายถึงหน้าตาล่ะก็ ผมเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเลยครับ แต่ถ้าหมายถึงนิสัยกับพฤติกรรมล่ะก็... อันนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วยแฮะ
“ขอบคุณมากครับ งั้นผมไปสอนแล้วนะครับ” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ด้วยรู้สึกว่าการแนะนำของเธอไม่ช่วยอะไรเลย
“เอ้อ อีกเรื่องนะ น้องเหนือต้องคอยควบคุมเด็กๆ ให้ดีนะคะ อย่าปล่อยให้เด็กออกมาเตร็ดเตร่นอกห้องล่ะ เดี๋ยวจะถูกครูท่านอื่นดุเอา และถ้ามีเรื่องนี้แว่วมาถึงหูพี่เมื่อไหร่ บอกไว้ก่อนเลยว่าพี่ไม่เซ็นอนุมัติให้ผ่านการฝึกงานนะ”
พี่สมรขู่ผม ผมเลยพอจะรู้ว่าเด็กที่นี่เป็นยังไง แล้วแม่งคิดเหรอว่าการทำให้เด็กนักศึกษาที่อายุห่างจากตัวเองไม่กี่ปีเชื่อฟังอย่างนั้นมันเป็นเรื่องง่าย ขนาดตอนผมเรียนปีหนึ่งในมหา’ลัย ผมยังไม่ฟังพี่ ป.โทที่มาเป็นผู้ช่วยอาจารย์สอนในบางวิชา ผมยังไม่เชื่อฟังเลย แล้วนับประสาอะไรกับอาจารย์ฝึกสอน
ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องพยักหน้ารับแหละ ยังไงผมก็ต้องง้อพี่สมรอยู่ดีถึงจะอยากงอแงแค่ไหนก็ตาม
เดินออกมาจากห้องพักครูได้ก็ตรงขึ้นมายังชั้นสี่ที่ห้องเรียนที่พี่สมรบอก พลันหยุดยืนอยู่หน้าห้องหมวดภาษาอังกฤษเมื่อได้ยินเสียงคุยกันดังลั่นลอยออกมาจากห้องนั้นแม้ว่าห้องนั่นจะเป็นห้องแอร์ที่มีประตูกระจกปิดไว้สนิทก็ตาม เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเด็กปีสามแผนกช่างไฟคงจะมารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว
เอาวะไอ้เหนือ ลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหาย
ผมสูดลมหายใจเข้าปอด สะบัดคอสองสามทีประหนึ่งนักมวยเตรียมขึ้นสังเวียน หน้าก็ทดลองฉีกยิ้มเต็มที่ด้วย กะว่าจะสร้างความประทับใจแรกพบด้วยรอยยิ้มตัวเองนี่แหละ จากประสบการณ์ที่เล่าเรียนมาสอนให้ผมรู้ว่านักเรียนจะมีความรู้สึกบวกกับอาจารย์ที่ใจดีและเข้าใจนักเรียน ผมก็คงจะใช้วิธีนั้นนั่นแหละ เพื่อความสะดวกราบรื่นในการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
พอรู้สึกว่าตัวเองพร้อม ผมก็ก้าวขาเข้าไปในห้องทันที เสียงเอะอะมะเทิ่งเงียบลงทันควันเมื่อทุกสายตาหันมาจับจ้องยังผม
“สะ...สวัสดีครับ พี่เหนือเอง” ผมยิ้มชนิดที่รู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่โง่เง่าที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมาเลย
ร้ายกว่านั้นคือพอยิ้มแล้ว ไม่มีการยิ้มตอบกลับจากใครสักคนในห้องนั้นเลยแม้แต่น้อย บางคนพอเห็นว่าเป็นผมก็เลิกสนใจ หันไปคุยกับเพื่อนต่อ บางคนนี่แทบไม่ได้สนใจผมตั้งแต่ทีแรกด้วยซ้ำ เอาแต่ฟุบหน้าหลับกับโต๊ะเล็คเชอร์ราวผมเป็นอากาศธาตุก็ไม่ปาน จะมีก็ต้องน้องชายบัวขาวนั่นแหละที่พอเห็นผมปุ๊บก็โบกไม้โบกมือให้เป็นการทักทาย
เอาเถอะ ถือว่าก็ยังมีคนสนใจอยู่บ้างแล้วกัน
ผมเดินมายังโต๊ะอาจารย์ซึ่งอยู่หน้าห้อง วางข้าวของในมือลงแล้วทำใจดีสู้เสือร้องทักขึ้นมาอีก ขณะที่เสียงจอแจเริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง
“สวัสดีอีกครั้งนะครับน้องๆ พี่มาจากมหาวิทยาลัย xxx นะ จะมาเป็นอาจารย์ฝึกสอนประจำวิชาภาษาอังกฤษ แทนอาจารย์เก๋ประมาณสองเดือน ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
ความสนใจถูกเบนมายังผมอีกครั้งเมื่อทุกคนได้ยินว่าผมมาจากมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังย่านชานเมืองกรุงเทพฯ แต่ไม่มีใครส่งเสียงโอ้โหอื้อหือกับความดังของมหา’ลัยผมอย่างที่ยีนส์กับกั้งบอกแต่อย่างใด พวกมันบอกว่าตอนแนะนำตัวเองว่าเป็นนักศึกษาจากที่ไหน บรรดาเด็กนักเรียนก็ให้ความสนอกสนใจกันเต็มที่เพราะต่างก็อยากจะเข้าเรียนที่นั่นหมือนกัน หากแต่พอผมเอาอย่าง กลับได้แต่ความเงียบเป็นการตอบรับแทน แย่กว่านั้นคือพวกมันดันจ้องผมตาไม่กะพริบ เป็นเชิงถามกลายๆ ว่า ‘แล้วไง’ อีกต่างหาก
บอกตามตรงเลยว่าผมประหม่าไม่น้อยที่ถูกจับจ้องอย่างนี้ จากที่ประหม่าอยู่แล้วก็ยิ่งเงอะๆ งะๆ ขึ้นไปใหญ่ แต่ในเมื่อเริ่มเรื่องแล้วก็ต้องดำเนินต่อ
“คือว่า...พี่ก็ไม่เคยมาสอนโรงเรียนแบบนี้นะ อาจจะสอนได้ไม่ดีเท่าอาจารย์ท่านอื่นๆ แต่พี่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด หวังว่าน้องๆ คงจะให้การต้อนรับพี่เป็นอย่างดีนะครับ”
อะไรก็ไม่รู้ล่ะ กูถ่อมตัวไว้ก่อน พวกเด็กมันจะได้ไม่รู้สึกถึงระยะห่างระหว่างครูกับนักเรียน ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผม
และเพราะผมพูดอย่างนี้ พวกเด็กที่นั่งมองผมอยู่ก็โพล่งขึ้นมา
“งั้นเรียกว่าพี่เหนือเฉยๆ ก็ได้ใช่ปะ’จารย์” ใครสักคนพูดนี่แหละ
ผมรีบหันไปทางต้นเสียง ยิ้มรับให้ทันที
“ได้ครับ จะเรียกพี่เหนือหรืออาจารย์เหนือก็ได้ครับ ตามสบายเลยนะ”
พอผมตอบรับไปอย่างนี้ บรรยากาศในห้องเรียนก็ดูผ่อนคลายขึ้นทันตา ผมเดาเอาว่าเด็กพวกนี้ก็คงจะเกร็งเหมือนกันที่จู่ๆ ก็มีนักศึกษาฝึกงานโผล่มาสอนแทนอาจารย์คนเดิมของพวกมัน แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ผมจะได้เริ่มแผนการตะล่อมเด็กให้ว่านอนสอนง่ายขั้นต่อไป
“ทุกคนรู้จักพี่เหนือกันแล้ว แต่พี่เหนือไม่รู้จักทุกคนเลย พี่ขอให้ทุกคนแนะนำตัวเองให้พี่รู้จักหน่อยได้มั้ยครับ เอาแค่ชื่อเล่นก็ได้”
“จะแนะนำไงอะพี่ คนตั้งหกสิบกว่าคน จะจำได้หรือไง แนะนำไปก็ฟังแค่ผ่านๆ เปล่าวะ” ใครอีกสักคนพูดขึ้นมาอีก เสียงเพื่อนร้องเห็นด้วยดังขึ้นเซ็งแซ่ตามา
จริงอย่างที่เด็กนั่นพูด คนตั้งหกสิบกว่าคน ผมจำได้ไม่หมดหรอกแม้ว่าจะจำแค่ชื่อเล่นก็ตาม หัวผมรีบประมวลหาคิดวิธีแก้ตัวทันที โชคดีที่ยังไม่ทันคิดออกก็มีเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งโพล่งเสนอวิธีขึ้นมา
“งั้นให้อาจารย์ขานชื่อตามใบรายชื่อ แล้วให้ลุกขึ้นบอกชื่อเล่นทีละคน ส่วนอาจารย์ก็จดชื่อเล่นลงไปดีมั้ยครับ จะได้จำได้”
ผมปราดมองไปยังต้นเสียงทันที ก็เห็นว่าคนที่เสนอความคิดคือเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักที่ห้ามปรามไอ้เด็กหัวโจกที่ชื่อธารเมื่อวานนี้ เด็กนั่นจ้องผมด้วยดวงตากลมโต ยิ้มให้ผมบางๆ ราวกับกำลังถามความเห็นผมอยู่ด้วย
แล้วผมเห็นด้วยมั้ย? เห็นด้วยสิครับ จะรออะไรล่ะ
“ดะ...ดีเลย งั้นเริ่มที่เราคนแรกเลยแล้วกันนะ ชื่ออะไรครับ” ถามไปก็ตรงไปหยิบใบรายชื่อขึ้นมาด้วย ขณะที่เด็กนั่นตอบ
“จอมแก่นครับ”
“หืม?” ผมชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อแปลกๆ ก่อนที่เจ้าของชื่อจะย้ำขึ้นมาอีก
“ชื่อจริงชื่อจอมแก่นครับ ชื่อเล่นชื่อว่าจอม ในใบรายชื่อ ชื่อผมอยู่อันดับที่สามสิบน่ะ” ตามมาด้วยการบอกหมายเลขชื่อตัวเองอีก
ชื่อน่ารัก หน้าตาก็น่ารักด้วย อย่างกับหนุ่มน้อย ม.ต้น ยิ่งมาเห็นใกล้ๆ นี่ยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่ ประเมินจากสายตาคร่าวๆ หมอนี่น่าจะสูงราวร้อยเจ็ดสิบเองมั้ง ตัวเล็กน่ารักจังแฮะ แถมยังดูท่าจะนิสัยดีอีกต่างหาก ต้องเป็นมือเป็นเท้าให้ผมตลอดการสอนที่นี่ได้ดีแน่ๆ
ผมไม่รอช้า รีบจดชื่อลงไปทันที เริ่มผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อเด็กคนอื่นๆ ร้องท้วงว่าไม่ยุติธรรมที่ผมขานชื่อจอมแก่นออกมาก่อนคนแรก ผมก็เลยยุติเสียงโวยวายพวกนั้นด้วยการพูดขึ้นมา
“งั้นเดี๋ยวพี่จะเริ่มเรียกชื่อเลยแล้วกัน คนที่ถูกเรียกลุกขึ้นแนะนำตัวเองนะครับ พี่ขอแค่ชื่อเล่นนะ เอ้า สมชาย...”
พอผมเรียกชื่อ เด็กคนแรกก็ลุกขึ้นยืนแนะนำตัวเอง และไล่ไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงครึ่ง จนมาถึงชื่อ...
“มารุตครับ”
เด็กหนุ่มหน้าเหี้ยม ฉายาน้องชายบัวขาวที่ผมตั้งให้ หรือน้องมายด์ตุ๊ดยักษ์ที่นั่งถัดจากจอมแก่นก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที ก่อนบีบเสียงเล็กเสียงน้อยออกมา
“จื้อเล่นมายด์เจ้า อ้ายเหนือจะฮ้องน้องมายด์ กะว่าหนูมายด์ก่อได้ ถ้าจะหื้อดีฮ้องตี้ฮักเลยก่อได้นะเจ้า (ชื่อเล่นชื่อมายด์ค่ะ พี่เหนือจะเรียกน้องมายด์ หรือหนูมายด์ก็ได้ ถ้าจะให้ดี เรียกที่รักก็ได้นะคะ)”
สิ้นเสียงนาง พวกเด็กคนอื่นๆ ก็โห่ฮากันขึ้นมาที่เด็กนั่นมันหยอดผมเอาซึ่งๆ หน้า ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแหย กายหยาบยืนอยู่หน้าห้องที่เดิม ส่วนกายละเอียดที่วิ่งพุ่งเข้าไปกระโดดถีบมันสองขารวดด้วยความหมั่นไส้แล้ว
น้องหรือหนูโพ่ง ตัวมึงใหม่กว่าหมีควายอีก!
ส่วนน้องมายด์ พอเพื่อนร้องเชียร์ แม่งก็ได้ใจ หยอดผมไม่เลิกเลย
“อ้ายเหนือหล่อแต๊หล่อว่า หันละฮู้เลยว่าฟ้าส่งอ้ายเหนือมาหื้อข้าเจ้าแน่ๆ เปิงดีเตอะข้าเจ้าเลยโสดมาจนทุกวันนี้ ตี้แต้ก็ทำเนื้อกู้หยั่งอ้ายเหนือน่ะ (พี่เหนือล้อหล่อ เห็นแล้วก็รู้เลยว่าฟ้าส่งพี่เหนือมาให้หนูแน่ๆ มิน่าล่ะหนูถึงได้เป็นโสดถึงทุกวันนี้ ที่แท้ก็รอเนื้อคู่อย่างพี่เหนือน่ะเอง)”
มึงเอากระจกมั้ยอีน้องมายด์! เอากระจกไปส่องหนังหน้าตัวเองดูเดี๋ยวนี้ มึงจะได้เข้าใจว่าทำไมมึงยังโสด! แล้วก็อย่ามาเต๊าะกูเชียว กูก็รับเหมือนกับมึงเนี่ย ฟ้าผ่านะเว้ยบอกไว้ก่อน!
รู้ได้เลยว่าไอ้เด็กนี่ไม่ต้องเก็บเอาไว้เป็นมือเป็นเท้าเหมือนกับจอมแก่น แต่ควรเอาให้อยู่ห่างจากตัวเท่าที่จะห่างได้ เพราะไม่อย่างนั้นผมคงได้ถูกมันยัดเยียดความเป็นผัวให้แน่นอน
ผมพยักหน้าให้มันนั่งลง แล้วเรียกชื่อคนอื่นขึ้นมาแทน
“อะ...โอเคครับ งั้นคนต่อไปนะ ธะ...ธารใจ”
ชื่อเหมือนผู้หญิงเลยแฮะ แต่เท่าที่ดู แผนกช่างไฟปีสามนี่จะไม่มีผู้หญิงนะ
“ธารใจครับ อยู่ไหนเอ่ย” พอเรียกแล้วไม่มีใครลุก ผมก็เรียกอีกครั้ง
ทุกคนหันไปมองยังเด็กเวรที่นอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะข้างจอมแก่นอีกฝั่งหนึ่ง เห็นหมอนั่นฟุบหน้าหลับตั้งแต่ผมเดินเข้าห้องมาแล้วล่ะ ผมก็เลยลองเรียกอีกที
“ธารใจครับ ลุกขึ้นบอกชื่อเล่นให้พี่ฟังหน่อยนะ”
ยัง...ยังนอนอยู่ จอมแก่นเลยสะกิดเรียกให้หมอนั่นเงยหน้าขึ้นมามอง พอเงยหน้างัวเงียขึ้นมา สายตาผมก็ปะทะเข้ากับแววตารำคาญของหมอนั่นเข้าอย่างจัง
อะ...ไอ้เด็กหัวโจกที่ชื่อว่าธารนี่หว่า! ทำไมชื่อจริงมันมุ้งมิ้งอย่างนี้วะเนี่ย!
