บท
ตั้งค่า

ชั่งใจรัก ครั้งที่ 1: เปิดภาคเรียน [2/1]

โอ้...ละลานตามาก เด็กหนุ่มละลานตา ไม่ใช่เด็กหน้าตาแบบกากหมูด้วยนะ หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเน็ตไอดอลกันมากๆ ผิวงี้ขาวโบ๊ะตามสไตล์เด็กเหนือ บางคนก็ไม่ขาวหรอก คมเข้มไทยสไตล์ แต่ก็ถือว่าหล่อคมคายเหมือนกัน

สวรรค์...นี่มันสวรรค์ของไอ้เหนือชัดๆ!

ทุ่งดอกไม้บานคืออะไรรู้ได้ในตอนนี้ โชคดีจริงๆ ที่มาเลือกฝึกที่นี่ โรงเรียนเอกชนลูกคนมีตังค์นี่ดีจริงๆ คุณชายกันทั้งนั้น

"เป็นไง พอไหวมั้ยล่ะน้องเหนือที่นี่น่ะ" พี่สมรถามขึ้นหลังจากที่เห็นผมยืนนิ่ง กวาดตามองบรรยากาศรอบข้างอยู่พักใหญ่

ผมหันกลับไปยิ้มกว้างแล้วพูดอย่างลืมตัว

"ไหวครับ นี่มันสวรรค์ของผม... เอ่อ ผมหมายถึงสวรรค์ของอาจารย์ฝึกสอนน่ะครับ"

ดีนะที่รีบแก้คำพูดทัน พี่สมรเลยไม่ได้เอะใจอะไร

"น้องเหนือชอบที่นี่ก็ดีแล้ว พี่ล่ะกลัวว่าเหนือจะไม่ชอบแล้วขอย้ายที่ฝึกแทบแย่แน่ะตอนแรกน่ะ"

แหม...จะย้ายได้ไงล่ะครับ เด็กหนุ่มกรุบกรอบเยอะเป็นแพขนาดนี้ ผมไม่ย้ายหรอกครับ

อยากจะพูดแบบนี้เหลือเกิน แต่เดี๋ยวพี่สมรจะตกใจเลยได้แต่คิดในใจ ก่อนพี่สมรจะแตะแขนผม

"งั้นเข้าไปข้างในกันเถอะ เดี๋ยวพี่พาไปพบ ผอ. จะได้แนะนำตัวกัน" พูดจบก็นำผมเดินนำไปยังอาคารตรงหน้าซึ่งเป็นอาคารวิชาการ ข้างกันเป็นอาคารของแผนกช่างไฟ

ทว่าพอผมกำลังจะก้าวเข้าไปในอาคารวิชาการ เสียงโวยวายของบรรดาเด็กหนุ่มๆ ก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน ผมเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นบนซึ่งเป็นต้นเสียง ก็พอจะจับทางได้ว่าเสียงนั้นมาจากชั้นบนของอาคารแผนกช่างไฟ ก่อนจะต้องเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างแตกดังตามมา

เพล้ง!

กระจกหน้าต่างแตก และตามมาด้วย...โต๊ะ

โต๊ะเล็คเชอร์หนึ่งตัวเพียวๆ บินลอยละลิ่วสู่เบื้องล่าง และตกกระแทกพื้นดังตึ้ง ทำเอาพี่สมรร้องอุทานลั่น

“อุ๊ย! แม่แหก!”

อะไรแหกก็ไม่รู้ล่ะ ที่รู้ๆ คือเด็กหนุ่มๆ ที่เดินอยู่แถวนั้นวงแตกฮือเป็นผึ้งแตกรัง ก่อนจะพากันเงยหน้ามองไปยังชั้นสี่ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคารหลังนั้นด้วย และตามมาด้วยเสียงดังอีกครู่ใหญ่ บ่งบอกให้รู้ว่าความโกลาหลบนนั้นทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนผมเหรอ...ก็อ้าปากค้างไปเถอะ!

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันโว้ย!

ผมเดาไปแล้วว่าชั้นบนนั้นจะต้องมีเด็กทะเลาะกันแน่ๆ เพราะหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเชียร์มวยดังกระหึ่ม 

แม่ง ตีกันตั้งแต่วันเปิดเรียนวันแรกเลยเหรอวะ!?

ไอ้ทุ่งดอกไม้บานในตอนแรก ตอนนี้กลายเป็นทุ่งดอกไม้จันทน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหงื่อกาฬไหลพราก ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ความกังวลย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง ผมเลยรีบหันไปทางพี่สมรที่ลูบอกตัวเองให้หายตกใจทันที แต่ยังไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไรสักแอะ พี่สมรก็ส่งยิ้มให้ พลางแตะบ่าผมเบาๆ

"เรื่องปกติน่ะน้องเหนือ เดี๋ยวก็ชิน"

ชินบ้าชินบออะไร! กลับกรุงเทพฯ ตอนนี้เลยได้มั้ย!?

ไม่ใช่แค่โต๊ะบินด้วยตอนนี้ ไอ้เด็กกลุ่มที่ตีกันเมื่อครู่ก็วิ่งกรูกันลงมาข้างล่าง... ไม่สิ ต้องเรียกว่าเด็กสองคนวิ่งหนีเด็กผู้ชายคนหนึ่งหน้าตั้งมาต่างหาก เด็กพวกนั้นมีสภาพใบหน้าฟกช้ำ มุมปากแตก หัวก็โน ดูก็รู้เลยว่าเพิ่งโดนต่อยมาหมาดๆ พอวิ่งมาเจอหน้าพี่สมรปุ๊บ ก็รีบวิ่งเข้ามาหาแล้วหลบหลังพี่สมรทันที

"'จารย์ครับ ช่วยพวกผมด้วยครับ มันเอาอีกแล้ว!"

'มัน' ในที่นี้คือเด็กผู้ชายรูปร่างสูงข้างหลังนั่นแหละ กะจากสายตา หมอนั่นน่าจะสูงราวร้อยแปดสิบต้นๆ หากแต่ผมยังไม่ทันจะได้มองเห็นหน้าเด็กนั่นชัดๆ พี่สมรก็โพล่งเสียงแหลมขึ้นมาก่อนแล้ว

"ไอ้ตัวแสบ! หยุดรังแกเพื่อนเดี๋ยวนี้!"

เด็กนั่นเบรคเอี๊ยด มองหน้าพี่สมรอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะชี้หน้าพวกที่หลบอยู่ข้างหลังผู้หญิงวัยกลางคนอย่างเอาเรื่อง

"เห็นแก่ป้าหมอน กูจะปล่อยพวกมึงไปก่อน ครั้งหน้าอย่าซ่าอีกนะ!" พูดจบก็เดินหันหลังกลับประหนึ่งเห็นพี่สมรเป็นหัวหลักหัวตอ เพื่อนหมอนั่นที่ตามหลังมาก็ร้องเฮให้กับชัยชนะแล้วก็พากันแห่กลับเข้าไปในอาคาร

พี่สมรถอนหายใจ พึมพำพอให้จับใจความได้ว่า ‘ไอ้เด็กพวกนี้นี่มันจริงๆ เลย เอาตั้งแต่วันแรก’ ก่อนเหลือบมามองผมที่ยืนหน้าซีดกับสิ่งที่เห็นอยู่เล็กน้อย แล้วก็พูดขึ้นมาอีกพลางอมยิ้ม

"เดี๋ยวก็ชินนะคะน้องเหนือ เดี๋ยวก็ชิน"

ชินโพ่ง! กูจะกลับกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้! ณ บัดนี้!

ถึงจะคิดอย่างนั้นก็กลับตอนนี้ไม่ได้ นอกจากให้พี่สมรพาไปแนะนำตัวกับ ผอ.เท่านั้น พอแนะนำตัวกับ ผอ.เสร็จ การแห่ไปสวัสดีและฝากเนื้อฝากตัวกับอาจารย์ทุกคนในแผนกช่างไฟก็เริ่มต้นขึ้น

ผมยกมือไหว้คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ปากพูดว่า ‘สวัสดีครับ ฝากตัวด้วยนะครับ’ มากกว่าสิบครั้งเห็นจะได้ กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาปาไปเกือบชั่วโมง ซึ่งได้เวลาเข้าแถวเช็กชื่อตอนเช้าพอดี

พี่สมรอธิบายคร่าวๆ ว่าที่นี่จะมีการเข้าแถวเคารพตอนเช้าเหมือนโรงเรียนอื่นตามปกติ แล้วก็มีการอบรมจากอาจารย์ฝ่ายปกครองเล็กน้อย ซึ่งผมฟังดูแล้วก็เป็นเรื่องการยกพวกไปตีกับโรงเรียนอื่น เรื่องระเบียบวินัยอะไรเทือกนี้นั่นแหละ หลังจากนั้นถึงจะเช็กชื่อพวกเด็กๆ ตามแผนกใคร แผนกมัน ชั้นปีใคร ชั้นปีมัน

จังหวะที่เช็กชื่อนี้เองที่พี่สมรลากผมไปแนะนำตัวกับเด็กๆ แผนกที่ผมต้องไปฝึกสอน ผมมาหยุดยืนหน้าแถวซึ่งมีเด็กผู้ชายกว่าหกสิบชีวิตนั่งเรียงรายกันอยู่แล้วก็ตัวเกร็งขึ้นมาฉับพลันเมื่อเด็กพวกนั้นจ้องหน้าผมเขม็งทันทีที่พี่สมรพูดขึ้น

“เอ้า ไอ้พวกตัวแสบ นี่อาจารย์แสงเหนือนะ เป็นอาจารย์ฝึกสอนที่มาจากกรุงเทพฯ จะมาเป็นผู้ช่วยของครู แล้วก็อาจารย์สอนภาษาอังกฤษของพวกเธอ มาแทนอาจารย์เก๋ชั่วคราวประมาณสองเดือน”

อาจารย์เก๋ที่ว่านี่คงจะเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่ลาพักไปคลอดลูกนั่นแหละ

แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญสำหรับผม นอกจากพยายามทำตัวเฟรนด์ลี่ด้วยการทักทายเด็กพวกนั้นด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ

“สวัสดีครับ พี่เหนือนะครับ จะเรียกว่าอาจารย์เหนือหรือพี่เหนือก็ได้ ตามสบายเลยนะ”

เงียบ... ไม่ได้รับสัญญาณแห่งความสนใจจากเด็กพวกนั้นตอบกลับมาสักนิด พวกมันยังเอาแต่มองผมด้วยอารมณ์แบบว่า ‘ไอ้กร๊วก พล่ามไรของมึง’ ผมเลยยิ่งทำหน้าไม่ถูก พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นมาในใจด้วย

กะ...กลัว กูกลัวไอ้เด็กพวกนี้

กลัวจริงๆ ไม่ได้โกหก ถึงหน้าตาเด็กพวกนั้นกว่าครึ่งจะดูดีไร้พิษภัยก็เถอะ แต่คือสัมผัสได้จากสายตาประหนึ่งหมาบ้านี่แหละที่ทำให้ผมรู้ว่าพวกมันไม่อยากจะรู้จักมัดจี่กับผมสักเท่าไหร่นัก ผมเลยได้แต่ยืนเกร็งๆ ไม่รู้จะวางตัวยังไงดีไปพักหนึ่ง และเกร็งหนักขึ้นไปอีกเมื่อมีอาจารย์ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งผมจำได้ดีว่าชื่ออาจารย์ดิเรก เป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองและเป็นคนที่พูดอบรมหน้าเสาธงเมื่อกี้เดินเข้ามาหาพี่สมร

“อาจารย์สมรครับ ผอ.เชิญอาจารย์ไปสอบถามเรื่องโต๊ะบินจากแผนกอาจารย์น่ะครับ ขอรบกวนหน่อย”

พี่สมรที่กำลังจะเช็กชื่อนักศึกษาชะงักไป พยักหน้าตอบรับก่อนจะยื่นใบรายชื่อนักศึกษามาให้ผม

“น้องเหนือช่วยเช็กชื่อให้พี่ที เดี๋ยวพี่มา”

อะ...เอ้าป้า! เดี๋ยวสิป้า! เดี๋ยว!

เดี๋ยวบ้าอะไร เดินดิ่งไปนู่นแล้ว ผมถือใบรายชื่อนักศึกษาพลางอ้าปากค้าง มือสั่นเทาขึ้นมาอย่างทำอะไรไม่ถูกเมื่อเหลือบมาเห็นสายตากว่าหกสิบคู่จับจ้อง

กะ...กูจะโดนแดรกมั้ย

โดนมั้ยไม่รู้ ที่รู้ก็คือมีไอ้บ้าที่ไหนสักคนตะโกนขึ้นมาแล้ว

“เฮ้ย เช็กชื่อสักทีสิ จะได้ขึ้นเรียน”

ไอ้บ้านั่นก็คือไอ้เด็กเวรสูงโย่งที่โยนโต๊ะพุ่งทะลุหน้าต่างแล้วไล่กวดเพื่อนร่วมแผนกลงมานั่นแหละ ผมมองไปยังเด็กนั่นที่นั่งขัดสมาธิเอียงคอมองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง ตอนนี้เองที่ผมได้เห็นหน้าเด็กนั่นชัดๆ

เหย...หล่อเหมือนกันนี่หว่า หน้าตาแบบลูกคุณหนู มาดคุณชายมาก ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเด็กเกเรสักนิด สเป็คไอ้เหนือชัดๆ เห็นแล้วอยากจะสูบบุรุษเยาว์วัยขึ้นมารางๆ

“เอ้าๆ มอง จะเช็กมั้ยเนี่ยฮะชื่อเนี่ย!”

เด็กนั่นตะโกนขึ้นมาอีก ผมเลยได้สติ รีบคว้าปากกาจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาทันใด

“งะ...งั้นจะเช็กชื่อแล้วนะครับ สะ...สมชาย”

ตามมาด้วยเรียกชื่อนักศึกษาในใบรายชื่อขึ้นมา ชื่อแรกๆ แม่งก็อ่านง่ายดีอยู่หรอก แต่พอผ่านไปสักสิบชื่อ ชื่อก็เริ่มเพิ่มความพิสดารมากขึ้น อ่านยากมากขึ้นด้วย จนผมที่อ่านตะกุกตะกักอยู่ตอนแรก อ่านตะกุกกะกักขึ้นไปใหญ่ เรียกได้ว่าชั้นปีสามของแผนกอื่นเช็กชื่อเสร็จ ทยอยขึ้นอาคารเรียนไปแล้ว ผมยังเช็กชื่อไม่ถึงครึ่งเลย

และเพราะความชักช้า กอปรกับชื่อที่ไม่คุ้นก็ทำให้เด็กเวรนั่นว่าเสียงดังขึ้นมาอีก

“อะไรของ’จารย์วะ แค่อ่านชื่อนักเรียนมันยากขนาดนั้นก็ให้นักเรียนด้วยกันเองอ่านไป!”

คนอื่นๆ ร้องเห็นด้วยขึ้นมากันเซ็งแซ่ ผมทำหน้าไม่ถูกเลย เห็นแต่เด็กนั่นทำหน้าไม่พอใจ ขณะที่มีเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักซึ่งนั่งข้างๆ สะกิดมันเป็นพัลวัน ปากขยับให้พอจับใจความได้ด้วยว่า ‘ใจเย็นๆ สิ นั่นอาจารย์นะ’

แต่ถามว่าเด็กเวรนั่นฟังมั้ยล่ะ หึ...ไม่ ไม่ฟังอย่างเดียวไม่พอ หันไปพยักหน้าเรียกเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกฝั่งด้วย

“ไปจัดการซิหัวหน้าแผนก”

เท่านั้น เด็กผู้ชายร่างยักษ์ใหญ่มหึมา ผิวดำเกรียม หน้าเหี้ยมอย่างกับลูกพี่แก๊งโจรในหนังไทยก็ลุกออกจากที่ ตรงเข้ามาหาผมทันที มาหยุดตรงหน้าผมได้ก็ยื่นมือมาขอใบรายชื่อจากผม เห็นหน้าตาดุดันกับรูปร่างกำยำยิ่งกว่าบัวขาวของมันแล้ว ผมก็ไม่รอช้า รีบส่งให้ทันทีก่อนที่จะโดนก้านคอ

ทว่าในจังหวะที่ผมส่งใบรายชื่อให้นั้น นักศึกษาคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวหน้าก็โพล่งขึ้นมาให้ได้ยิน

“ให้ไอ้ไม้เช็กชื่อแต่แรกซะก็สิ้นเรื่อง”

น้องชายบัวขาวชะงักมือที่จะรับใบรายชื่อจากผมทันควัน หันขวับไปมองเพื่อนร่วมแผนกคนนั้นก่อนจะพุ่งไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยความเร็วแสง ผมเห็นภาพนั้นก็ตกใจแรงมาก รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังเข้าหูแล้ว

“ไม้ป้อคิงหยัง ฮาบอกฮื่อฮ้องว่ามายด์ งามจะอี้ฮ้องไม้ เดี๋ยวฮายอกปากแตก (ไม้พ่อมึงสิ กูบอกให้เรียกว่ามายด์ สวยขนาดนี้เรียกว่าไม้ เดี๋ยวกูต่อยปากแตก)”

ผมชะงักงันไปทันควัน

สะ...เสียงไม่ห้าว แต่แหลมเล็กประหนึ่งดัดเสียง

ตะ...ตุ๊ดนี่หว่า

ตุ๊ดไม่พอ แม่งอู้คำเมืองด้วย ส่วนไอ้คนที่โดนกระชากคอเสื้อให้ยืนขึ้นก็ไม่ยอมให้ถูกกระชากฝ่ายเดียว ปัดมืออีกฝ่ายออก ทำหน้าไม่พอใจ ปากก็ร้องหาเรื่องทันที

“ไอ้เวรนี่! ทำแบบนี้หาเรื่องนี่หว่า!”

“ก่อคิงมาฮ้องว่าไม้เยี้ยะหยัง ไค่ต๋ายกา! (ก็มึงมาเรียกกูว่าไม้ทำไมล่ะ อยากตายหรือไง!)”

“เฮ้ยๆ! มากไปแล้วไอ้ตุ๊ด!”

คนอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนฝ่ายที่ถูกกระชากเสื้อลุกพรึ่บขึ้นมาทันทีที่เห็นว่ากำลังจะมีเรื่อง คนที่ตัวใหญ่กว่าอย่างไม้... เอ่อ...น้องมายด์ถึงกับชะงักเมื่อถูกชายหนุ่มรุมล้อมเตรียมกระทืบ หากแต่แค่น้องนางชำเลืองตามองไปยังในแถว ไอ้เด็กเวรที่เป็นคนสะกิดให้ออกมาก็ลุกพรวดมา ตรงเข้ามาผลักคนที่ทำท่าจะเข้ามาทำร้ายเพื่อนตัวเองออก แล้วเสนอหน้าเข้าไปยืนแทนจุดที่น้องมายด์ยืน

“พวกมึงอยากโดนเหมือนไอ้พวกนั้นใช่มะถึงได้มีปัญหากับเพื่อนกูเนี่ย”

“ถอยไปเลยไอ้ธาร ไม่เกี่ยวกับมึง”

“เรื่องของเพื่อนกูก็คือเรื่องของกู ไม่เกี่ยวก็ต้องเกี่ยวเว้ย!”

ไม่ทันไรมันก็ผลักกันอีกแล้ว ผลักกันไป ผลักกันมาจนเค้าความโกลาหลเพิ่มขึ้น ผมที่ยืนหัวโด่อยู่ก็ทำอะไรไม่ถูกหนักเข้าไปใหญ่ ก่อนจะร้องลั่นเมื่อเด็กที่ชื่อว่าธารอะไรนี่ถูกผลักมาโดนผมซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง

“โอ๊ย!...นะ...นี่ อย่าทะเลาะกัน” เตือนพวกมันไปด้วยในฐานะอาจารย์ฝึกสอนที่เพิ่งจะสำเหนียกได้เมื่อกี้ว่าเป็นตำแหน่งตัวเอง

หากแต่ไอ้เด็กนั่นหันมามองผมตาขวาง แล้วผลักอกผมเบาๆ

เบาของมันคือผลักกระเด็นเหมือนกันนะ

“ถอยไปยืนอยู่มุมๆ เลย’จารย์ เดี๋ยวโดนลูกหลง”

“นี่! บอกว่าอย่าทะเลาะกัน ได้ยินมั้ยเนี่ย...” ผมพยายามจะห้ามอีก ห้ามแบบกล้าๆ กลัวๆ แหละ

แต่พอสิ้นเสียงปุ๊บ ไอ้น้องมายด์ก็หันมามองผมด้วยใบหน้าถมึงทึง ผมชะงักขาที่จะก้าวเข้าไปห้ามทันที ใจเต้นตึกตัก กลัวว่าจะถูกมันผลักด้วยอีกคน ทว่าผิดคาด เด็กนั่นไม่ได้ผลักผม เดินเข้ามาคว้าข้อมือแล้วลากออกไปจากวงล้อมมาคุนั่นทันที

“มามอบตี้น้องเพี้ยะอ้ายเหนือ ปู้นมันตราย เดี๋ยวหน้าหล่อๆ จะโดนลูกหลง ปล่อยหื้อธารจั๊ดก๋านไปเต๊อะเจ้า (มาหลบกับหนูตรงนี้เถอะค่ะพี่เหนือ ตรงนั้นอันตราย เดี๋ยวหน้าหล่อๆ จะโดนลูกหลง ปล่อยให้ธารจัดการไปเถอะค่ะ)”

“แต่...”

“มันเป๋นเรื่องธรรมดาเจ้าอ้ายเหนือ ใจจุ้มๆ สักกำก็เกยละ (เรื่องปกติค่ะพี่เหนือ ใจร่มๆ เดี๋ยวก็ชิน)”

พูดยังไม่ทันจะจบเลย ไอ้น้องมายด์ก็โพล่งขึ้นมาอีก ผมก็แปลได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็พอเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร และทันทีที่สิ้นเสียงตุ๊ดยักษ์นั่น เด็กพวกนั้นก็พุ่งเข้าหากันพร้อมกับหมัดที่รัวใส่กันอย่างไม่บันยะบันยัง เด็กคนอื่นๆ ก็กรูขึ้นมาทั้งห้ามเพื่อน ทั้งร่วมวงวุ่นวายไปหมด คนที่ไม่ได้ร่วมวงก็ส่งเสียงเชียร์กันไปเรื่อย

ผมนี่ยืนเหวอไปเลย ไม่รู้จะทำยังไง โชคดีที่ต่อยกันไปได้ไม่นาน เหล่าอาจารย์คนอื่นๆ ก็วิ่งเข้ามาห้ามได้ทัน ไม่เว้นแม้แต่พี่สมรที่วิ่งกลับมาหน้าตาตื่น พร้อมกับร้องถามผมเสียงลั่น

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ยน้องเหนือ ทำไมแค่เช็กชื่อถึงได้วุ่นวายขนาดนี้!”

“พี่สมร...” ผมหันไปมอง ทำหน้าจะร้องไห้ทันควัน “ผะ...ผมอยากกลับกรุงเทพฯ แล้ว ไม่ฝึกแล้ว! ไม่เอา!” ตามมาด้วยการโอดครวญทันใด

สวรรค์สะเหวินบ้าอะไร ไอ้โรงเรียนเด็กช่างนี่มันนรกชัดๆ เลยโว้ย!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel