บทที่หนึ่ง ความทรงจำที่ไม่ใช่ของข้า
เสียงฝีเท้ากับเสียงโวยวายยังคงไม่จางหายจากโถงใหญ่ของหอจิ้งเหอเนื่องจากหลายคนกำลังออกตามหานางโลมตัวปัญหา ยกเว้นในมุมหนึ่งบริเวณมืดที่สุดของเรือนด้านหลัง...ภายในห้องเก็บของแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยข้าวของเก่า ฝุ่นหนาและเต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น ซืออิ๋กำลังซุกตัวอยู่ในเงามืดนั้น
หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจเลยว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ไม่เข้าใจว่าชายแก่แปลกหน้าผู้นั้นคือใคร หรือเหตุใดทุกคนจึงพยายามจับตัวนางราวกับเป็นนักโทษหลบหนี
ในความเงียบสงัดนั้นพลันมีเสียงบางอย่างดังขึ้นในหัว...
หลายเสียง มีเสียงหนึ่งซ้อนกับอีกเสียงหนึ่ง
บางทีกระซิบ บางทีชัดเจน บางครั้งเหมือนเสียงของตนเอง แต่บางครั้งก็คล้ายสตรีผู้หนึ่งที่ไม่รู้จัก
และมีภาพความทรงจำผุดขึ้นในความคิดเต็มไปหมด...
‘เจ้าคิดจะออกเรือนโดยไม่ได้ทำงานเลี้ยงข้าอย่างนั้นหรึอ’
เสียงแหลมของหญิงวัยกลางคนตะโกนใส่เด็กสาวในชุดซอมซ่อ
‘อย่าทำหน้าเศร้าเหมือนมารดาเจ้าที่ไปแล้วตายอีกได้หรือไม่ นางตายไปตั้งแต่เจ้าห้าขวบ ข้าสิควรเศร้าโศกที่ต้องเลี้ยงดูลูกนอกคอกอย่างเจ้ามาจนถึงป่านนี้!’
ภาพของเด็กหญิงที่แบกถังน้ำขนาดใหญ่ เดินผ่านลานเรือนเล็กในวันที่หิมะตก
ภาพของบิดาที่ไอไม่หยุดในเรือนหลังเก่า ลมหายใจแผ่วเบาใอ้อมแขนอบอุ่นที่โอบไหล่ของลูกสาวก่อนสิ้นใจจากไปอีกคน
‘อิ๋นเอ๋อร์...หากวันใดพ่อไม่อยู่แล้ว จงดูแลตัวเองให้ดี อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ นะลูกเอ๋ย’
ภาพต่อมาคืองานศพของบิดาร่างนี้ อันเป็นจุดเร่มต้นของความโชคร้ายไม่มีที่สิ้นสุด
ยังไม่ทันผ่านเจ็ดวัน มือหยาบของหญิงผู้เป็นแม่เลี้ยงก็ลากร่างนี้ออกจากเรือนตั้งแต่ยามรุ่งสาง
‘อย่าทำสีหน้าเช่นนั้น นี่คือการแทนคุณแม่เลี้ยงอย่างข้า เงินค่าตัวของเจ้าน้อยนิดเพียงเท่านี้ ยังไม่พอค่าร่ำสุราข้าถึงเดือนด้วยซ้ำ ไป! ต่อไปนี้เจ้าเป็นคนของหอคณิกาจิ้งเหอนี่แล้ว...’
นางกุมศีรษะแน่น หายใจถี่รัว น้ำตาร่วงลงมาไม่รู้ตัว
ทั้งที่เป็นความทรงจำที่ไม่ใช่ของนาง แต่ความเจ็บปวด ความหนาวเหน็บ และความโดดเดี่ยวกลับบาดลึกในหัวใจอย่างยากจะลืมเลือน
“หรือว่านี่คือ...ความทรงจำของร่างนี้…”
“ซืออิ๋น…ชีวิตของเจ้าน่าสมสารไม่ต่างอันใดกับชีวิตในชาตก่อนของข้าเลย”
แม้จิตวิญญาณของนางจะมาจากอีกภพหนึ่ง แต่นับจากวินาทีที่นางฟื้นตื่นขึ้นมาในร่างนี้ หญิงสาวก็รู้สึกว่า...
นางและนางคือคน ๆ เดียวกัน
ความทุกข์ของร่างนี้...ก็เป็นของตนเองเช่นเดียวกัน
เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป แสงไฟจากตะเกียงสะท้อนลอดเข้ามาทางช่องไม้เก่า ๆ ตรงผนัง
เวลานี้ซืออิ๋ซุกตัวอยู่หลังลังไม้ ใจเต้นแรงระรัว
“ข้าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้าจะต้องมีชีวิตใหม่ในโลกใบนี้จริง ๆ หรือ?”
ก่อนที่จะได้คำตอบสุดท้ายให้ตนเอง
ท่ามกลางความมืดมิดรอบกาย เสียงแผ่วเบากระซิบมาตามลงนั้นช่างคุ้นเคย
“เจ้าจะไม่อยู่ลำพัง...ซืออิ๋น เจ้ายังมีพวกข้าที่อยู่เคียงข้างเจ้า”
นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
รอบกายไม่มีใคร ไม่มีร่าง ไม่มีเงา
แต่ในใจกลับเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย...
ไม่ใครแปลว่าเป็นเสียงของวิญญาณสักตัว
เปลี่ยนชาติเปลี่ยนภพอย่างไร หญิงสาวก็หนีไม่พ้นพรสวรรค์ในการสื่อสารกับวิญญาณได้ซึ่งมันเปรียบเสมือนคำสาปมากกว่าของขวัญจากสวรรค์
ซืออิ๋นนั่งตัวสั่นอยู่ในมุมมืดของห้องเก็บของอยู่นาน
หัวใจยังเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่รู้ว่าตนเองควรหนีไปจากที่นี่ได้อย่างไรดี
ทว่ายังไม่ทันคิดหาทางออกได้ทัน สถานที่ที่ใช้หลบซ่อนก็ถูกพบเจอในที่สุด
เสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามา เสียงไม้พื้นกระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าด
เสียงตะโกนของสาวใช้หลายนางที่ไล่หากันทั่วทั้งหอ
และในที่สุด... ประตูห้องเก็บของก็เปิดผางออก
“อยู่ที่นี่จริงด้วย! เร็ว เข้าไปจับตัวนางเอาไว้!”
ร่างบางยังไม่ทันขยับหนี สองแขนก็ถูกคว้าจับแน่นโดยสาวใช้สองคน แรงของนางไม่พอจะดิ้นให้หลุดได้ สาวใช้ร่างอวบทั้งสองลากตัวปัญหาไปตามทางเดินระเบียงไม้ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ของแขกที่มองมา ทั้งด้วยความสงสัย บางคนขบขันด้วยความสนุกสนาน บางคนส่ายหน้าเบา ๆ เหมือนเห็นชะตาที่กำลังจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“การละเล่นวิ่งไล่จับหนูน่าเบื่อยิ่งนัก”
“ได้ข่าวว่ามามาของที่นี่เข้มงวด ข้าว่าครานี้นางต้องลงโทษหนักแน่!”
เสียงกระซิบเหล่านั้นค่อย ๆ เบาลงเรื่อย ๆ เมื่อร่างของซืออิ๋นที่ถูกลากเดินขึ้นบันไดไม้วนที่ทอดยาวไปยังชั้นบนสุดของหอ
ผ่าง!
ประตูไม้ฉลุลายบุปผางามผสมกับกลิ่นน้ำอบหอมฟุ้งทั่วห้อง ตรงกลางห้องตั้งเก้าอี้ยาวบุผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้ม ที่ซึ่งสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งไขว่ห้างรออยู่
หญิงผู้นั้นในวัยราวห้าสิบหนาว ดวงหน้าเฉียบคม ผิวขาวจัด ริมฝีปากแดงสด แต่งกายด้วยชุดผ้าแพรปักลายทองวิจิตร รอยยิ้มของนาง...งดงามเฉียบคมยิ่งกว่ามีดที่ซ่อนอยู่ในปลอกกำมะหยี่เสียอีก
“เจ้าทำข้าแสบนัก...” เสียงนั้นนุ่มนวล แต่เปี่ยมด้วยอำนาจ
สตรีผู้นี้มีนามว่า เหม่ยฮวา นายหญิงเจ้าของหอจิ้งเหอ ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเลี้ยงหญิงงามได้เฉียบขาดและเป็นงานที่สุดในแคว้นหลงเฉิง
แม่เล้าเหม่ยฮวากรีดนิ้วไปตามพัดผ้าไหมในมืออย่างเชื่องช้า ก่อนจะทอดสายตามองซืออิ๋นจากหัวจรดเท้า ราวกับมองสินค้าชำรุดที่เพิ่งส่งกลับมาจากตลาด
“วันนี้ทั้งหอปั่นป่วนไปหมดจนลูกค้าหลายคนของข้าตำหนิด้วยความไม่พอใจ”
“ข้า...”
“เจ้าจะชดใช้อย่างไรดี...ซืออิ๋น”
เจ้าของซื่อเงยหน้าขึ้นมองสบตาสตรีตรงหน้าซึ่งเป็นถึงนายหญิงของที่นี่
เวลานี้แม้ยังไม่อยากยอมรับความผดที่ตนเองไม่คิดว่าผิดแต่นางไม่มีทางเลือกหากอยากรอดจากถิ่นของคนอื่นอย่างที่นี่
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่...ตกใจและยังไม่พร้อม ข้าไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้...”
“หึ”
เสียงแค่นหัวเราะเบา ๆ ดังจากแม่เล้าเหม่ยฮวา ก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน
“ไม่รู้หรือ แล้วตอนที่เจ้าถีบลูกค้าของข้าจนฟันแตก เจ้าควรรับผดชอบอย่างไรดี”
มือบางกำผ้าคลุมตนเองแน่น ร่างกายสั่นน้อย ๆ ซืออิ๋นรู้ดีว่า หากโลกนี้คือเกมเดิมพัน ขณะนี้นางตกอยู่ใต้ปลายมีดของผู้ที่มีแต้มเหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง
แม่เล้าเดินเข้ามาใกล้ จนหยุดอยู่ตรงหน้าพอดี
“จำไว้นะ ซืออิ๋น ที่นี่ไม่ใช่เรือนยาจกของเจ้าที่ขอข้าวกินแล้วจะได้กินทุกวัน นี่คือหอจิ้งเหอ ที่ซึ่งใบหน้าสวยหนึ่งใบหน้ามีค่าเท่าทองแผ่น หากเจ้าอยู่ที่นี่...ต้องใช้ใบหน้านี้ ‘ทำเงิน’ให้ข้า”
นิ้วเรียวเชยใต้คางซืออิ๋น เงาสะท้อนจากแววตาของแม่เล้าคือ...ความโหดเหี้ยมที่เคลือบไว้ด้วยความหอมหวานจอมปลอม
“...”
“ถ้าเจ้าทำให้ข้าเสียเงิน เจ้าก็ต้องหาเงินคืนมาข้า ไม่อย่างนั้น...”
“...”
“ข้าจะขายเจ้าให้ไอ้พวกซาดิสจอมหื่นที่อาจมิได้ซื้อเจ้าไปปรนนิบัติความใคร่ อย่าทำให้แม่ใหม่คนนี้เช่นข้าไม่ต้องการใบหน้านนี้ก็แล้วกัน...ซืออิ๋น”
เสียงหัวเราะของหญิงชราดังขึ้นในห้องกว้าง
สาวใช้สองคนที่ยืนข้างกายแม่เล้าส่งยิ้มเหี้ยมเจือเวทนาให้
ซืออิ๋นร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย แม้มิได้ร่ำไห้ออกมา ไม่แม้แต่สะอื้น ทว่าภายใต้ดวงตาที่เหมือนเข็มแข็งนั้นกำลังสั่นไหวด้วยความกลัวอย่างรุนแรง
หญิงสาวที่จับพลัดจับพลูมาเกิดในร่างใหม่ฟื้นขึ้นมาด้วยความหวังที่ว่าชีวิตใหม่ครานี้จะดีขึ้นทว่านี่กระไร...
ไม่รู้ว่านี่คือภพแห่งกรรม หรือคือภพใหม่โอกาสที่สวรรค์หยิบยื่นมาให้
นี่มันมิใช่ชีวิตที่ย่ำแย่กว่าเดิมหรอกหรือ...
