บท
ตั้งค่า

บทนำ

เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นครืนอยู่บนโต๊ะไม้เก่ากลางห้องเช่าแคบ ๆ มีเพียงหลอดไฟดวงเดียวที่ส่องสว่าง ทำให้มุมห้องบางจุดจมอยู่ในความมืดสลัว หลินอวี่เจินเจ้าของห้องกำลังนั่งกอดเข่าบนเก้าอี้พลาสติกตัวเก่า ดวงตานางแดงก่ำเหมือนอดนอนมาหลายคืน พร้อมเสียงโทรเข้าอีกครั้งจากชื่อที่นางไม่อยากรับมากที่สุด

หัวหน้าหยาง

“ถ้าเธอยังไม่หยุดพูดเรื่องไร้สาระอีก ฉันคงต้องให้เธอลาออกแล้วล่ะหลินอวี่เจิน องค์กรเราคงไม่เหมาะกับคนที่แยกแยะโลกจริงกับจินตนาการไม่ได้”

คำพูดนั้นยังดังวนเวียนในหัว ทั้งที่สายวางไปแล้วนานกว่าสองชั่วโมง

ใช่ เธอเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เธอมีพรสวรรค์พิเศษ อย่างการเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ได้ยินเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน

อย่างพวกวิญญาณหรือที่คนทั่วไปเรียกว่า...ผี

ยิ่งเมื่อโตขึ้นหญิงสาวเริ่มเข้าใจและคิดได้มากขึ้นว่ามันไม่ควรเรียกว่าพรสวรรค์พิเศษ แต่ให้เรียกว่า ‘ตราบาป’

คงเหมาะสมมากกว่า

‘ยัยนี่ชอบเรียกร้องความสนใจ’

‘หลินอวี่เจิน...นี่เธอหลอนอีกแล้วหรือ’

‘พอที! อย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดที่ทำงานอีก!’

แม้กระทั่งเพื่อนสนิทที่เคยหัวเราะด้วยกัน ยังถอยห่างราวกับสิ่งที่เธอเป็นอยู่นั้นคือคำสาป

หญิงสาวมองไปรอบห้อง ก่อนจะหยิบสมุดโน้ตเล่มเก่าขึ้นมา บนหน้าปกเขียนไว้ด้วยหมึกจาง ๆ

‘ความทรงจำของคนที่ไม่มีใครอยากจำ’

สมุดเล่มนั้นบันทึกภาพถ่ายตนเองตามสถานที่ที่ตนเองเติบโตผ่านไปเหมือนคนเด็กสาวธรรมดาทั่วไปทว่าที่ไม่ธรรมดาคือทุกภาพล้วนถ่ายคนเดียว

ใช่ เธอไม่มีเพื่อนตั้งแต่เด็ก เธอเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่อย่างแท้จริง

หลินอวี่เจินหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ขณะวางสมุดเล่มนั้นไว้บนตัก พร้อมเสียงฝนตกโปรยปรายกระทบหน้าต่าง

...ท่ามกลางเสียงฝน หญิงสาวกลับได้ยินเสียงบางอย่าง

เสียงระฆังเบา ๆ ดังเข้ามาในโสตประสาทหู มันดูไม่ใช่เสียงจากโลกใบนี้

กลิ่นดอกเหมย กลิ่นธูป กลิ่นไม้แปลก ๆ ลอยมาปะปนกับกลิ่นอับของห้อง

เมื่อหลินอวี่เจินลืมตาอีกครั้ง… ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยปรากฏตัวหลายครั้งในความฝันไม่กี่วันมานี้ กำลังยืนอยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกฝ่ายสวมชุดโบราณแบบจีน ผิวซีดทว่าบนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยน

“เจ้ามองเห็นข้ามาตลอด...ทั้งที่ไม่มีใครมอง ข้าจะพาเจ้าไป...ไปยังที่ที่แท้จริงแล้วต้องการเจ้า...มากกว่าที่นี่”

“ไปที่ไหนเหรอ”

“ไปมีชีวิตใหม่...โชคชะตาใหม่ รอเจ้าอยู่ที่นั่น”

ก่อนที่หลินอวี่เจินจะทันถามอะไรต่อ วิญญาณหญิงตนนั้นก็โน้มตัวเข้ามา...ปลายนิ้วแตะหน้าผากหลินอวี่เจินเบา ๆ

พรึ่บ!!

ร่างของนางพลันถูกดูดลงสู่ความมืดเสียงลมหายใจตัวเองที่เบาลง นางรู้สึกเหมือนกำลังร่วงลงไปเรื่อย ๆ ร่วงผ่านฉากหลังแห่งอดีต ภาพวังโบราณ ผู้คนแต่งชุดฮั่นฟู เด็กสาวนั่งดีดพิณ หญิงงามเต้นรำในแสงตะเกียง และเสียงระฆังของวัดโบราณดังก้องซ้ำไปมา

ภาพสุดท้ายก่อนความมืดมิด...คือภาพหญิงสาวในกระจก นางกำลังมองตนเองในกระจกโบราณ แต่ใบหน้านั้นไม่ใช่หลินอวี่เจิน

หญิงสาวในกระจกคือจางซืออิ๋น เด็กสาววัยสิบเจ็ดหนาวผู้โชคร้าย ใบหน้าขาวซีด ดวงตาหม่นหมอง เสื้อผ้าผุพัง…และเบื้องหลังคือมือผู้หญิงวัยกลางคนกำลังผลักนางเข้าหาใครบางคน พร้อมคำพูดเย็นชาด่าสาดเสียเทเสียใส่หูของสตรีผู้นั้น

“เจ้าไม่ใช่ลูกข้า...ตั้งแต่บิดาเจ้าตายไป เจ้าก็เป็นเพียงของไร้ค่า จงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีเพื่อตอบแทนบุญคุณมารดาเลี้ยงอย่างข้าซะ!”

ภาพนั้นผ่านไปตามมาด้วยเสียงแตกของกระจกดังลั่นในหู แล้วทุกอย่างก็สว่างวาบอีกหน!

ฟู่...

ม่านภาพทุกผืนหายไปพร้อมกับสติที่ดับวูบลง

ณ เมืองซั่งอวิ๋น คือเมืองการค้าขนาดใหญ่ เมืองที่มีชีวิตชีวาไม่เว้นแม้แต่ยามค่ำคืน นักท่องเที่ยวบางนี่กล่าวว่าเป็นเมืองแห่งเสียงขลุ่ย เสียงพิณ เพราะในยามค่ำคืนเมืองแห่งนี้จะเต็มไปด้วยบทบรรเลงไพเราะของเครื่องดนตรีเหล่านั้น

แคว้นที่ปกครองเมืองนี้มีชื่อว่าแคว้นหลงเฉิง แคว้นที่ขึ้นชื่อว่าร่ำรวย หรูหรา ประชาชนอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า

ในใจกลางกลางเมืองซั่งอวิ๋น มีหอหลังใหญ่ตระการตาตั้งตระหง่านอยู่คือหอจิ้งเหอ...หอคณิกาอันดับหนึ่งของเมือง ที่ทั้งขุนนาง พ่อค้า นักท่องเที่ยวไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นสูงบุรุษเพศทั้งหลายต่างหมายปองจะมีโอกาสสัมผัสความหอมหวานของหญิงงามในการปกครองของหอจิ้งเหอแห่งนี้

เสียงเครื่องสายจีนบรรเลงแผ่วเบา เคล้ากลิ่นดอกเหมยตากแห้งและกลิ่นกำยานหอมชวนหวั่นใจ

ภายในห้องรับแขกห้องหนึ่งของคณิกา

หลินอวี่เจินลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า

สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความอบอุ่นจากผ้านวมเนื้อละเอียดนุ่ม ความนุ่มที่ไม่คุ้นเคยสำหรับหญิงสาวจำได้ว่าตนเองหมดสติอยู่ในห้องเช่าโทรมกลางเมืองของตนเอง

ดวงตาที่พร่าเลือนค่อย ๆ ปรับรับแสงไฟจากโคมแดงบนผนังไม้สีเข้ม...หูนางได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของใครบางคนกำลังเดินวนรอบเตียง

หัวใจนางเต้นแรงขึ้นทีละนิด

ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความประหลาดใจเมื่อเห็นเพดานห้องไม่คุ้นเคยของสถานที่แห่งนี้

เครื่องเรือน การตกแต่ง กลิ่นไอที่ได้รับ มันไม่ปกติอย่างที่นางไม่อาจอธิบายได้

“แม่นาง...ตื่นแล้วหรือ”

เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับเงาของเขาที่โน้มตัวลงมาใกล้ใบหน้างามที่กำลังนอนงงงวยอยู่บนเตียงที่เดิม

ริมฝีปากของชายวัยกลางคนแปลกหน้ายกยิ้มอย่างพึงพอใจบางอย่าง บนตัวของอีกฝ่ายมีกลิ่นสุราปนกลิ่นน้ำหอมโบราณโชยออกมา

กลิ่นเหล่านี้ไม่คุ้นเคยเลยสำหรับหญิงสาว

“ใบหน้านี้ ช่างงดงาม...คุ้มยิ่งกว่าทองหลายตำลึงจริง ๆ”

หญิงสาวที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาสับสน

ไม่รู้จักห้องนี้ ไม่รู้จักเสียงเพลงที่ดังจากข้างล่าง ไม่รู้จักชายตรงหน้า และที่สำคัญที่สุด...

นางไม่รู้ว่าตนเองกำลังอยู่ที่ไหน

หญิงสาวหลับและลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมลมหายใจติดขัด เพื่อโลกทั้งใบหมุนเคว้งคล้ายจะถูกดึงออกจากร่าง นางกัดฟันกรามแน่น พยายามข่มความเวียนหัวและแรงสั่นไหวจากภายในให้สงบลง

มือของนาง... นางมองมันอย่างไม่เชื่อสายตา เล็ก เรียวยาว ผิวซีดขาวราวคนขาดสารอาหาร และที่ข้อข้อมือสองข้าง ยังมีรอยแดงช้ำเป็นวงลึกคล้ายถูกเชือกพันรัดไว้อย่างโหดร้ายไม่นานมานี้

“นี่มัน… ร่างของใคร...” นางพึมพำ พลางลูบสัมผัสแผลเป็นอย่างลังเล

หัวใจเต้นรัว เสียงลมหายใจแปรปรวนราวมีใครบีบคอ ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ไหลบ่าท่วมจิตใจ

“ข้า...อยู่ที่ใดกัน”

นางรู้เพียงว่าตนเองมิใช่หลินอวี่เจิน พนักงานสาวหาเช้กินค่ำอีกต่อไป

เหมือนมีความทรงจำเก่ากระแสหนึ่งที่เกือบจางหายไป ผุดขึ้นในหัว...จางซืออิ๋น

ก่อนที่นางจะทันได้ตกตะกอนความคิดอันใดไปมากกว่าการนึกชื่อตนเองออกมาได้ ชายแปลกหน้าตรงหน้า ผู้มีแววตาโลมเลียอย่างน่าขยะแขยง ก็ก้มตัวจะเข้ามาหมายว่าจะแตะต้องร่างนางอีกครั้ง

“อย่าแตะต้องข้า!”

ก่อนที่ชายหื่นกามจะมีโอกาสได้แตะเนื้อตัวนางอีกครั้ง ฝ่าเท้าเล็กเรียวออกแรงถีบเข้ากลางลำตัวอีกฝ่ายไปเต็มแรง

พลั่ก!

เสียงชายผู้นั้นร้องลั่นหลังจากไม่ทันตั้งตัวก็โดนถีบจนหงายหลังล้มไปก้นกระแทกพื้นอย่างจัง

ซืออิ๋นลุกขึ้นนั่ง หอบหายใจแรง ใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ขณะจ้องเขม็งไปยังชายไม่คุ้นตรงหน้า

ในแววตามีแต่ความสับสน หวั่นวิตก และเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

“อะไรกันวะ!”

เสียงชายผู้นั้นร้องลั่นในความงุนงง

หญิงสาวไม่รอช้าให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ กระชากผ้าคลุมที่อยู่ข้างเตียงมาคลุมตัวลวก ๆ ก่อนแล้วถลาออกจากห้องไปทันที ทั้งที่ยังไม่เข้าใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น

ขณะที่วิ่งหนีก็มีความทรงจำต่าง ๆ ไหลพรั่งพรูเข้ามาในสมอง

เสียงฝีเท้าวิ่งหนี

เสียงหวีดร้องของร่างนี้

และเสียงแม่เลี้ยงของร่างนี้ด่าว่าทุกคืนวัน

ร่างบางวิ่งผ่านโถงหรูของหอจิ้งเหอลงบันไดมาเบื้องล่าง ฝ่าเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงงามนับสิบที่กำลังรับแขกทำตามหน้าที่ตนเองอยู่ การวิ่งอย่างไร้ทิศทางของซืออิ๋นทำให้บังเกิดเสียงโวยวายของผู้คน และสายตาตื่นตระหนกงงกันไปหมดว่าเกิดเรื่องวุ่นวายใดขึ้น

นอกจากเสียงวิ่งไล่หลังร่างบางแล้วยังมีเสียงตะโกนร้องเรียกดังลั่นไปหมด

“นางหลุดจากห้องออกมาได้ยังไง”

“ช่วยกันหยุดนางเดี๋ยวนี้!”

ซืออิ๋นไม่สนใจสิ่งใดหญิงสาวคิดเพียงแค่ว่า ต้องหนี!

หัวใจนางเต้นแรงราวกลองศึก ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตา

นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหนีไปที่ใด หรือสิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่...คือความฝันหรือความจริงกันแน่

“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel