เมียปรารถนา / ตอนที่ 4
มีคำกล่าวว่า ‘ขอทานไม่มีทางเลือก’ อลิศาไม่ใช่ขอทาน แต่ก็แทบจะไม่มีทางเลือกเหมือนกัน หรือจะพูดให้ถูก ทางเลือกของเธอถูกจำกัดในวงแคบ และอาจจะเป็นแค่หนทางเดียว
เมื่อตัดสินใจเขียนจดหมายถึง ‘คุณตา’ ที่เธอแทบไม่รู้จักนอกเหนือจากที่มารดาเคยเล่าให้ฟังนับแต่จำความได้ เธอก็ไม่ได้หวังมากนักว่าจะมีการตอบกลับ เพราะยังจำได้ถึงครั้งที่มารดาถึงแก่กรรม บิดาของเธอได้ส่งจดหมายบอกไปให้รับทราบถึงการจากไปของลูกสาวคนเดียวในโลกของท่าน ทว่าสิ่งที่ได้ตอบรับคือความเงียบกริบ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการติดต่อกลับมาทางโทรศัพท์ ตามเบอร์ที่เธอเขียนบอกไปในจดหมาย อลิศาจึงทั้งแปลกใจและยินดี
แต่หลังจากได้ฟังเกี่ยวกับ ‘ข้อเสนอ และเงื่อนไข’ เพื่อแลกกับเงินจำนวนที่เธอต้องการ ความตกใจ คาดไม่ถึง ก็จู่โจมเธอแทบจะพูดไม่ออก
“แกจะคิดดูก่อนก็ได้”
เสียงบอกมาเป็นภาษาไทย หลังจากเธอแจ้งให้ทราบว่าสามารถใช้ภาษาแม่ทั้งพูด อ่าน เขียน ได้ดีระดับหนึ่งโดยเฉพาะพูด เนื่องจากมารดาจะคอยพูดด้วยโดยไม่ยอมใช้ภาษาอื่นนอกจากภาษาไทย เพื่อให้ลูกสาวได้ซึมซับภาษาไทยเป็นภาษาที่สองตั้งแต่จำความได้ อรุชายังให้ลูกสาวเรียนภาษาไทยเพิ่มเติมจากนักศึกษาชาวไทยที่ได้เดินทางมาศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษอย่างจริงจัง และถึงว่าภรรยาจะจากไปโจเซฟ แบรดฟอร์ดก็ยังสานต่อเรื่องนี้
“จะคิดนานแค่ไหนก็ตามใจ” เสียงพูดอย่างคนมีอายุพูดมาอีก คงเห็นเธอเงียบ “ตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็โทรบอกมาละกัน แต่ถ้าแกรับไม่ได้ตามนี้ จะไม่ติดต่อมาอีกฉันก็...”
“ตกลงค่ะ!”
เธอแทบจะกัดฟันตอบไป เพราะเห็นแล้วว่าไม่มีทางเลือกอื่น ให้ได้มาซึ่งเงินจำนวนที่มากพอสำหรับค่ารักษาพยาบาลน้องชาย และยังรายจ่ายอื่นในช่วงที่น้องชายยังต้องพักฟื้น ซึ่งก็คงเป็นจำนวนเงินอีกไม่น้อย
ทว่าการตอบตกลงทันทีของเธอ ดูเหมือนจะทำเอาปลายสายเงียบไปอึดใจใหญ่ถึงพูดมาในที่สุด
“ฉันไม่ได้บังคับแกนะ”
จากน้ำเสียงยากจะฟังออกว่าเป็นรูปประโยคคำถาม หรือบอกกล่าว แต่เธอก็ตอบกลับทันควันด้วยน้ำเสียงเผ็ดร้อน ความโกรธ ความผิดหวัง ความหดหู่ ดูเหมือนจะนำมาซึ่งความเกรี้ยวกราดประการเดียวในเวลานั้น
“จะบังคับหรือไม่บังคับ คุณตาคงรู้อยู่แก่ใจ เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีที่คุณตาถนัด หนูยังไม่ลืมหรอกนะคะว่าถ้าคุณตาจะมีจิตเมตตาสักนิด ใจร้ายใจดำให้น้อยลงหน่อย บางทีแม่ของหนู... ลูกสาวคนเดียวของคุณตาอาจจะมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงวันนี้ก็ได้ อ้อ! สำหรับวันเดินทาง พร้อมเมื่อไหร่จะติดต่อบอกไปอีกทีละกัน”
เธอตัดสายโดยไม่ให้ ‘คุณตาใจร้าย’ ที่เธอรู้สึกเกลียดชังขึ้นมาจับจิตในเวลานั้น ได้มีโอกาสโต้ตอบ
แต่สองวันต่อมาเธอก็ได้รับการติดต่อมาอีก คราวนี้จากทนายที่ได้รับมอบหมายให้จัดการเรื่องเงื่อนไขสัญญา และข้อปฏิบัติที่เธอต้องปฏิบัติตามเมื่อได้รับตามที่ต้องการ
ตาโตล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอนเป็นแผง ที่หลับลงครู่ใหญ่ ลืมขึ้นรับรู้ความจริงด้วยความขื่นใจ ว่าตนกำลังจะกลายเป็นผู้หญิงขายตัวให้กับผู้ชายที่ไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้า!
เจ็ดโมงครึ่งโดยประมาณ แท็กซี่คันหนึ่งหยุดลงที่หน้าประตูเหล็กดัดลวดลายวิจิตร
เบื้องหลังประตูเหล็กดัด และกำแพงทึบสูงราวสองเมตรครึ่ง พอจะมองเห็นอาคารหลังใหญ่เหมาะกับคำว่าคฤหาสน์ ตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่ร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยรายรอบ
“ที่นี่แหละครับ บ้านเลขที่ 91 ซอย เทพฉัตร”
คนขับแท็กซี่หันมาบอกหญิงสาวที่ยังนั่งเฉย สีหน้าแววตาเห็นชัดว่าลังเล มีความไม่แน่ใจ แต่ก่อนที่เธอจะทันพูดอะไร ชายวัยต้นสามสิบ ร่างผอมเกร็งสวมเครื่องแต่งกายคล้ายยามก็โผล่หน้าออกมาจากซุ้มหลังเล็กข้างประตูใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงบีบแตรจากรถแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้าประตู
“มาหาใคร?” เขาถามเสียงห้าว
“ฉันมาหาท่านเจ้าของบ้าน ช่วยเปิดประตูให้รถเข้าไปที”
ยามนิ่วหน้าใส่หญิงสาวที่โผล่หน้าออกมาจากที่นั่งผู้โดยสาร ตามด้วยพูดเสียงค่อนข้างห้วน
“เช้าๆ อย่างนี้คุณท่านไม่รับแขก มีธุระอะไรให้มาใหม่หลังสิบเอ็ดโมง ไม่ก็ช่วงบ่าย”
“ฉันไม่ใช่แขก” เสียงอ่อนหวานแฝงแววอ่อนเพลียกระด้างขึ้น “ฉันชื่ออลิศา เป็นหลานสาวท่านเจ้าของบ้านนี้ เดินทางมาจากอังกฤษ”
เห็นชัดว่ายามมีอาการกระตุกทั้งตัว กิริยาบอกบุญไม่รับเปลี่ยนไปทันที
เขารีบลนลานเปิดประตูใหญ่ออกกว้างให้แท็กซี่วิ่งผ่านเข้าไปตามถนนปูอิฐสีส้มสลับเทา อ้อมสนามหญ้า และแปลงไม้ดอกไม้ประดับกว้าง มุ่งเข้าหาตัวตึก
เมื่อรถแท็กซี่วิ่งผ่าน เขาก็ไม่ลืมที่จะโค้งกายต่ำ จากนั้นก็ออกวิ่งเหยาะๆตัดข้ามสนาม เขาถึงหน้าบันไดตึกก่อนแท็กซี่ที่ต้องวิ่งอ้อมไปตามถนนรูปครึ่งวงกลม ร้องบอกสาวใช้คนหนึ่งที่เยี่ยมหน้าออกมาดู เมื่อได้ยินเสียงรถเข้าประตูมา
“ไปบอกลุงจอมเร็ว หลานสาวคุณท่านมาถึงแล้ว”
สาวใช้ได้ยินดังนั้น ก็เกิดปฏิกิริยาลุกลน คล้ายกับว่าเป็นอาการโรคติดต่ออย่างหนึ่ง
ไม่ถึงครึ่งนาที หญิงวัยสูงวัยลักษณะการแต่งกายบ่งออกฐานะ ว่าอยู่ในระดับคนรับใช้ชั้นหัวหน้า กับสาวรุ่นสองคน ก็พากันลงมายืนอยู่กับพื้นคอนกรีตหน้าตึก รอให้รถแท็กซี่วิ่งเข้าเทียบ
หญิงสาวที่นั่งมาในรถ ควักกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบธนบัตรสีม่วงสองใบส่งให้คนขับแท็กซี่ก่อนเปิดประตูก้าวลงจากรถ มีแฮนด์แบ็กติดตัวลงมาใบเดียว เธอเดินไปท้ายรถ ฝากระโปรงหลังเปิดออก เธอยกกระเป๋าเดินทางสองใบลงมาตั้งกับพื้น
สาวใช้วัยรุ่นกับสตรีสูงวัย ดูเหมือนจะพากันได้สติตอนนี้เอง หลังจากตะลึงมองผู้มาถึงอยู่เกือบหนึ่งนาทีเต็มๆ
หญิงสูงวัยรีบพยักหน้าให้สาวใช้ ทั้งสองช่วยกันยกกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบเข้าไปในตึก
“ดิฉันเป็นแม่บ้านที่นี่ค่ะ ชื่อเฉลา”
นางแนะนำตัวเองก่อนกล่าวติดต่อกันไปด้วยเสียงฟังว่าพยายามระงับความตื่นเต้นเอาไว้ แต่ทำไม่สำเร็จ
“ไม่นึกว่าคุณจะมาถึงแต่เช้า คุณท่านบอกแต่วันที่คุณจะเดินทางมา ไม่ได้บอกว่าจะมาถึงเวลาไหน พวกเราก็เลยคิดกันว่าคุณน่าจะมาถึงบ่ายๆ หรืออาจเป็นช่วงค่ำๆ”
ไม่มีเสียงตอบ หรือคำอธิบายจากเจ้าของโปร่งบางเข้าขั้นผ่ายผอม แม้เจ้าตัวจะพยายามพรางความบางของรูปร่างด้วยชุดกระโปรงลายดอกสีฟ้าสลับชมพูจางดอกเล็กๆ กระจายบนพื้นสีครีมนวลค่อน ติดจะหลวม
แม่เฉลานึกอยู่ในใจ ว่าไม่น่าเชื่อว่านี่คือหลานสาวท่านผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังมหึมา โอ่อ่าอัครฐาน บ่งชัดถึงฐานะผู้เป็นเจ้าขออยู่ขั้นมหาเศรษฐี ซึ่งปัจจุบันในวัยเจ็ดสิบเศษเขาก็ยังมีอิทธิพลพอตัว มีผู้ให้ความนับหน้าถือตาอยู่ไม่น้อย แม้ระยะหลังในช่วงหลายปีมานี้แทบจะงดออกงานสังคม เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเนื่องจากสุขภาพที่อ่อนแอตามวัยที่มากขึ้น
