เมียปรารถนา / ตอนที่ 3
“หนูแน่ใจนะลิซซี่ ว่าอยู่กับน้องตามลำพังได้จริงๆ”
แม่เลี้ยงวัยสี่สิบสองของเธอถามประโยคซ้ำๆ เป็นครั้งที่ห้าโดยประมาณ ทำให้เธอขันถึงกับหัวเราะ ก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดร่างอวบแน่นอย่างแกล้งๆ ซึ่งก็ได้รับการโอบกอดตอบด้วยวงแขนที่อบอุ่นเช่นทุกครั้ง
“หนูแน่ใจค่ะ อาไม่ต้องห่วง เที่ยวให้สนุก อย่าให้พ่อผิดหวังได้เชียวว่าอุตส่าห์หาเวลาพาภรรยาไปพักผ่อน แต่ภรรยากลับมัวแต่ห่วงลูกๆ” อลิศาเรียกแม่เลี้ยงว่าอา และเฮเลน่าก็พอใจ
“พ่อสัญญาได้เลย ว่าจะทำให้อาเฮเลนของหนูสนุกเพลิดเพลินจนลืมไปเลยว่ามีลูกๆรออยู่ที่บ้าน”
โจเซฟ แบรดฟอร์ด ยืนรอให้ภรรยากับลูกสาวที่เกิดจากภรรยาคนไทยของเขา ล่ำลากันจนวินาทีสุดท้าย พูดแทรกยิ้มๆ
“แล้วนี่เจ้าตัวซนไปไหน?”
“อยู่นี่ฮะ”
เสียงขานรับดังมาก่อนร่างเล็กอย่างเด็กพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์วิ่งตึงๆลงบันไดมา
ภาพครอบครัวที่ดูเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะสดใส ช่างเป็นภาพที่งดงาม
“ดูแลกันให้ดีๆนะ อาฝากน้องด้วยนะ ลิซซี่”
กระทั่งเข้าไปนั่งในรถที่จะมุ่งขึ้นเหนือสุดของเกาะอังกฤษ เฮเลน่าก็ยังไม่วายชะโงกหน้าออกมาบอกลูกเลี้ยงและลูกที่เกิดจากตน ที่พากันออกมายืนส่งพ่อแม่ถึงหน้าบ้าน
อลิศานึกถึงบิดามารดาเลี้ยงด้วยความสะท้อนใจ
เธอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าการออกเดินทางของบุคคลสำคัญในชีวิตเธอทั้งสองคนครั้งนั้น จะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของพวกเขา กระทั่งประมาณสี่ชั่วโมงให้หลัง เธอได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิตของคนทั้งสอง เนื่องจากถูกรถบรรทุกที่วิ่งสวนทางมาพุ่งชนรถของพวกเขาช่วงเข้าโค้ง
ความสูญเสียครั้งที่สองของเธอ เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีโอกาสเตรียมตัวล่วงหน้า ต่างจากครั้งที่สูญเสียมารดา เพราะแม่ของเธอจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ นอนรักษาตัวอยู่เกือบสองปีถึงได้จากไปอย่างสงบ
ความเศร้า ความอาลัยรัก ที่เธอมีต่อบิดากับเฮเลน่า และมารดาที่ให้กำเนิด อยู่ในระดับเดียวกัน
หลังการจากไปของมารดาได้ปีหนึ่ง บิดาได้บอกถึงการตัดสินใจจะแต่งงานใหม่กับผู้หญิงที่เขาได้รู้จักไม่นานนัก ถึงเธอจะเข้าใจคนเป็นพ่อว่า นอกจากต้องการเพื่อน เขายังต้องการผู้หญิงสักคนมาช่วยดูแลลูกสาว ที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น แต่ลึกๆ ในใจเธอก็ยังรู้สึกต่อต้าน กระทั่งเวลาผ่านไป ความจริงที่ว่าภรรยาใหม่ของพ่อ ไม่เคยปฏิบัติต่อเธออย่างเห็นว่าเป็นแค่ลูกติดสามีที่เกิดกับภรรยาคนแรกของเขา หากได้ให้ความรักใคร่เอาใจใส่ประหนึ่งเธอเป็นลูกแท้ๆ ความรู้สึกต่อต้านที่มีอยู่ก็ค่อยจางหาย
เธอเคยข้องใจ และถามเอาตรงๆ ตามนิสัยที่ไม่เคยอ้อมค้อมว่าไม่รู้สึกรังเกียจหรือที่ช่วยคอยดูแลลูกติดสามี
“เด็กน่ารักอย่างหนูใครรังเกียจก็บ้าแล้ว”
นั่นคือคำตอบที่เธอได้รับ และนั่นทำให้เธอยอมรับการที่จะมีผู้หญิงแปลกหน้าเข้ามาแทนที่มารดาที่อายุสั้นได้อย่างสนิทใจ
ยิ่งหลังจากหญิงผู้มีน้ำใจงาม ได้ให้กำเนิดบุตรของตัวเอง เฮเลน่าก็ยังปฏิบัติต่อลูกเลี้ยงไม่ต่างไปจากที่ผ่านมา เคยเอาใจใส่อย่างไรก็คงเป็นอย่างนั้น ก็ยิ่งทำให้อลิศาเกิดความผูกพันรักใคร่ในตัวแม่เลี้ยงและน้องชายตัวน้อย
เมื่อต้องรับภาระในฐานะพี่ และญาติสนิทโดยสายเลือดคนเดียวของเด็กชาย ทุกครั้งที่เกิดความท้อแท้จากความเหน็ดเหนื่อย ซึ่งก็เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน คำของแม่เลี้ยงที่พูดกับเธอเป็นประโยคสุดท้ายก่อนรถจะเคลื่อนออก ... “ดูแลกันให้ดีๆ นะ อาฝากน้องด้วยนะลิซซี่” ... ประโยคคำพูดที่ผู้พูดคงไม่คิดหรอก ว่าจะให้เป็นคำสั่งเสียครั้งสุดท้าย ทำให้เธอฮึด และลุกขึ้นสู่ต่อได้
คราวที่มารดาผู้ให้กำเนิดจากไป เธอพอจะรู้ว่าฐานะทางบ้านเกือบถึงขั้นอัตคัด เพราะเกือบสองปีเต็มๆ ที่เงินส่วนใหญ่ที่บิดาทำมาหาได้ รวมถึงเงินเก็บสะสม ถูกไปใช้เพื่อการรักษาพยาบาลมารดาของเธอ
จะว่าไป เมื่อบิดาของเธอตัดสินใจแต่งงานใหม่ พ่อของเธอไม่เพียงแต่ได้เพื่อนเคียงกาย กับคนช่วยดูแลลูกสาวที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัยรุ่น แต่เขายังได้คนมาช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงิน ช่วยพยุงฐานะให้ผ่านพ้นช่วงที่วิกฤตสุด
เฮเลน่า แคมป์โรส มีฐานะอยู่ในระดับพอมีอันจะกิน กระทั่งช่วยให้สามีได้มีทุนรอนเปิดบริษัทเล็กๆ โดยหุ้นกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ซึ่งการลงทุนดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจในเวลาต่อมา
กิจการบริษัทเล็กๆ กำลังจะขยับขยายออกไปอีก เมื่อบิดาของเธอเสียชีวิตลง
แต่ถึงจะสูญเสียหุ้นส่วน เมอร์ริค แคลร์ ก็ยังสามารถขยายกิจการออกไปได้ตามแผนเดิมในปีต่อมา และยังคงหุ้นในส่วนที่เป็นของเพื่อนรักเอาไว้ให้ลูกๆทั้งสองของเพื่อนได้มีรายได้จากเงินปันผลจากกำไรในแต่ละปี
นอกจากจะไม่คิดฮุบเอาประโยชน์ในส่วนของเพื่อนเป็นของตน เมอร์ริคกับภรรยาของเขา ยังมีน้ำใจต่อลูกกำพร้าของเพื่อนรัก ด้วยการช่วยให้สองพี่น้องซึ่งถือว่ายังเด็กทั้งคู่ในเวลานั้น ได้อยู่ด้วยกันในบ้านเดิม โดยเขารับเป็นผู้ปกครอง กระทั่งพี่สาวสามารถรับผิดชอบน้องชายวัยอ่อนกว่าเกือบสิบปีในฐานะผู้ปกครองได้ตามกฎหมายกำหนด
ชีวิตของสองพี่น้องอยู่กันมาได้อย่างไม่ถึงกับต้องกระเบียดกระเสียร แม้จะไม่สามารถจับจ่ายได้อย่างฟุ่มเฟือยนัก
ทุกอย่างควรจะดำเนินไปด้วยดี หากว่าวันหนึ่งเด็กชาย โทมัส เอ็ดเวิร์ด แบรดฟอร์ด จะไม่ล้มป่วย และคุณหมอก็ตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือด ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดผิดปกติออกมามากจนไปรบกวนการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆ
กว่าสองปีที่หมอรักษาโดยใช้ยาเคมีบำบัด ซึ่งหมอก็บอกแต่แรกว่า การรักษาโดยวิธีเคมีบำบัดจะแค่ทำให้โรคเข้าสู่ระยะสงบ ไม่สามารถรักษาให้หายขาด วันหนึ่ง หมอได้พูดถึงการค้นพบวิธีรักษาโรคร้ายนี้อย่างได้ผลและหายขาดโดยการปลูกถ่ายไขกระดูก
ทันทีที่รู้อลิศาแทบจะตอบตกลงทันที ถ้าหมอจะไม่บอกจำนวนเงินสำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษา
ที่ผ่านมาเธอได้ใช้เงินแทบทุกบาทที่มีอยู่ และไม่ว่าเธอจะวิ่งรอกทำงานถึงสองแห่ง สามแห่ง จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการอดออมเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในการดูแลน้องชาย ยอมอดมื้อกินมื้อมาเป็นเวลาเกือบปีได้นำมาซึ่งความผ่ายผอม เงินที่พอจะรวบรวมได้เป็นก้อนสุดท้าย ก็ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของค่ารักษา ต่อให้ขายหุ้นบริษัทที่ถือครองอยู่ เงินที่ได้ก็ยังไม่พออยู่ดี
