#####ตอนที่ 2
ร่างโปร่งอรชรอ้อนแอ้นในชุดเสื้อกระโปรงยาวสีเหลืองนวล มีดอกกุหลาบเล็กๆ สีขาว ชมพู และสีฟ้า กระจายอยู่ห่างๆ ในเนื้อผ้า ยืนหันหลังให้ประตูในลักษณะมองเหม่อออกนอกหน้าต่าง ไม่มีทีท่าจะขยับ
เดือนฉายลอบถอนใจ ความเวทนาสงสารบุตรสาวคนเดียวมีมากพอๆ กับความรักความห่วงใย
“วันนี้อากาศดีนะคะแม่”
เสียงอ่อนใสพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง
เดือนฉายไม่ประหลาดใจที่บุตรีคนเดียวรู้การมาของเธอ
หมอที่ดูแลมาแต่แรกนั้นเองเป็นคนบอก... คนพิการทางสายตาโสตประสาทจะรับรู้ได้ดีกว่าคนสายตาปกติ
“จ้ะ” เดือนฉายรับคำบุตรสาว “วันนี้อากาศดีจริงๆ ดาวอยากลงไปเดินเล่นที่สวนข้างบ้านไหมละจ๊ะ แม่จะพาไปนี่ก็ยังไม่มืด ลมเย็นสบายอย่างนี้ น่าเดินเล่นนะแม่ว่า”
รอยยิ้มอ่อนหวานแตะแต้มบนเรียวปากบางอิ่มอ่อนช้อยสีชมพูระเรื่อ เมื่อกลับตัวหันหน้ามาทางมารดา
“ดีเหมือนกันค่ะ อากาศอย่างนี้กุหลาบกับกล้วยไม้คงแข่งกันบานเต็มไปหมดแล้ว”
เดือนฉายกระพริบตาถี่ ขับไล่ละอองน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาด้วยความสะท้อนใจ
เบื้องหน้าเธอ... ร่างอ้อนแอ้นดูงดงามอ่อนหวานไร้ที่ติราวรูปสลักนางอัปสร
ใบหน้าทรงเพรียวเกือบจะดูเป็นรูปไข่ ล้อมกรอบด้วยผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มจัด อมแดงนิดๆยามแอสงตกกระทบ ประหนึ่งดอกไม้แรกแย้ม
เครื่องหน้าแต่ละชิ้นล้วนเหมาะเจาะ ไม่ว่าจะเป็นคิ้วโค้งไปตามรูปกระบอกตากว้างยาวเรียว คางมน จมูกโด่งเชิด ริมฝีปากเต็มตึง และ... ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอน
เดือนฉายมองเข้าไปในตากลมที่มองมายังเธอแล้วก็ยิ่งสะท้อนหัวอกคนเป็นแม่
ดวงตาคู่นั้น แทบจะไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงความผิดปกติ คนไม่รู้ก็คงนึกไม่ถึงเอาเลยว่านัยน์ตาคู่งามราวนิลเจียระไน มีวงแหวนสีทองล้อมจุดสีน้ำตาลเล็กๆ กึ่งกลางนัยน์ตาดำบนพื้นขาวอมฟ้าจางคู่นั้น ไม่สามารถรับภาพใดๆ
อาการตาบอดใสไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด เพิ่งมาเป็นในเช้าวันอายุย่างเข้าสู่ปีที่สิบห้าโดยไม่มีสัญญาณบ่งบอกความผิดปกติใดๆ ให้รู้ล่วงหน้ามาก่อน
สาวน้อยขวัญใจคนตระกูลไพศาลี หลับไปอย่างมีความสุขในคืนที่มีการฉลองอายุครบสิบสี่ปีบริบูรณ์ แต่แล้วเพียงลืมตาตื่นในเช้าวันใหม่ ย่างสู่ขวบปีที่สิบห้ากลับต้องพบกับความตื่นตระหนก เมื่อตาทั้งคู่มองไม่เห็นสิ่งใดอีกต่อไป
จากวันนั้นถึงวันนี้ เด็กสาวอายุสิบห้าที่ได้สูญเสียการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง ได้เจริญเติบใหญ่เป็นหญิงสาววัยยี่สิบต้น ที่ไม่มีอะไรผิดแผกไปจากคนปกติ นอกจากสูญเสียการมองเห็น
หลายปี ที่พ่อแม่และญาติๆ พากันสรรหาหมอตาที่ว่าเก่งๆ แต่ไม่มีจักษุแพทย์คนไหนคืนการมองเห็นแก่เด็กสาวได้ ทำให้ทุกคนต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่เจ้าตัวก็จำต้องรับสภาพในเคราะห์กรรมของตัวเอง
ด้วยฐานะของครอบครัว ด้วยความรักในหลานสาวคนเดียวของตระกูลที่ทุกคนมีให้ ทำให้สาวน้อยผู้เคราะห์ร้ายสามารถผ่านช่วงวิกฤตินั้นมาได้
หลังจากสูญเสียการมองเห็น เด็กสาวก็ต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตต่อไปให้ได้
มีคำกล่าวว่า เมื่อมนุษย์เราบกพร่องในสิ่งหนึ่ง ก็มักจะมีสิ่งอื่นมาทดแทน
ในกรณีของลดาดาว สิ่งทดแทนการมองเห็น นอกจากประสาทหูที่ดีเยี่ยมเป็นพิเศษกว่าคนตาดี เธอยังมีพรสวรรค์ในการเล่นเครื่องดนตรีแทบทุกชนิด ไม่ว่าหยิบจับเครื่องดนตรีชนิดใด ไม่นานก็สามารถเรียนรู้ และเล่นได้ดีราวกับมืออาชีพที่ฝึกฝนมาเป็นเวลานาน
พ่อ แม่ พี่ๆ และญาติใกล้ชิด สามารถคาดเดาอารมณ์ของสาวน้อยได้จากเสียงดนตรี
มีอยู่เพลงหนึ่งที่แปลกหูคนในครอบครัว พอถามว่าเพลงอะไรก็ได้รับคำตอบว่า... “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ดาวลองเล่นไปงั้นเอง”
แต่เพลง ‘ลองเล่นไปงั้นเอง’ ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเพลงโปรดของคนเล่นไปแล้ว
ที่ไม่มีใครรู้ก็คือ นับแต่วันที่ได้สูญเสียการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง ในเวลาที่นึกท้อแท้แทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เสียงท่วงทำนองดนตรีชนิดหนึ่ง แปลกหู เหมือนจะแว่วมา... ท่วงทำนองที่ให้กำลังใจ ไม่ยอมให้เธอสูญสิ้นความหวัง และยังมีอีกบทเพลงหนึ่ง บทเพลงที่ได้ยินในความฝันแต่กลับไม่เคยได้ยินเมื่อตื่น
บทเพลงที่มีท่วงทำนองหวานระคนเศร้ากินใจ จนทุกครั้งที่ฝันว่าได้ยินเธอจะตื่นขึ้นมาพร้อมน้ำตา ความรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว โหยหาสิ่งที่อยู่ไกลแสนไกล จะอยู่กับเธอไปตลอดจนสิ้นวัน
เพลง...ที่ทำให้ใจเธอดิ้นรน ไขว่คว้า อยากไปยังสถานที่ดูลางเลือนในความทรงจำ เรียกร้องเธอให้อยากพบอยากเจอและได้พูดคุยกับใครคนหนึ่ง ใครที่เล่นบทเพลงอันแสนหวานแต่ก็เศร้าซึ้งกินใจ ใครคนนั้นที่เธอ... รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เมื่ออยู่ในอ้อมโอบ ใครที่เธอเหมือนจะแน่ใจว่าเขารอเธออยู่ทุกจังหวะหัวใจเต้น
“คุณลุงโตว่าจะกลับวันนี้ ไม่รู้กลับมาหรือยังนะคะแม่”
ขณะเดินเคียงมารดาลงมาข้างล่าง ซึ่งทำได้คล่องโดยไม่ต้องเกาะเกี่ยวสิ่งใด ประหนึ่งตาทั้งคู่มองเห็น เสียงอ่อนใสก็ปรารภถึงผู้เป็นลุงที่เดินทางไปติดต่อเกี่ยวกับธุรกิจยังต่างแดนเมื่อหลายวันก่อน
“คงยังหรอกจ้ะ ถ้ากลับมาก็คงดิ่งมาหาหลานสาวสุดที่รักพร้อมของฝากแล้วป่านนี้”เดือนฉายตอบขันๆ
