ชีวิต5
ได้ยินว่าร่างถูกเผา คนเร่งร้อนก็ชะงักงันไปทันที ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปถามคนด้านหลังเสียงสั่น เพราะความหวาดหวั่น “ฮะ?ผะ เผาไปแล้ว ตะ ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“น่าจะตอนนี้แหละ เพราะเอาศพไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” คนเป็นพี่ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาจากนาฬิกาที่สวมใส่อยู่ แล้วคาดคะเนออกมา ด้วยว่าคนตรงหน้าหมดสติไปข้ามคืนเลย
“หา...ตั้งแต่เมื่อวาน นี่ฉันหมดสติไปข้ามคืนเลยเหรอ” ซันนี่อุทานด้วยความตกใจ และไม่วายพึมพำกับตัวเองตาปริบๆ เมื่อได้รู้ว่าตัวเองสลบไสลไปนานแค่ไหน
“ใช่น่ะสิ” คนเป็นพี่กระแทกเสียงยืนยัน
ได้รับคำยืนยัน ซันนี่ก็พลันแข้งขาอ่อนแรง ทรุดลงไปนั่งกับพื้นทันที
“ร่างของฉัน ฮือๆ แล้วฉันจะกลับไปหาครอบครัวยังไง จะกลับไปบ้านยังไง ฮือๆ” คนอ่อนแรงร้องไห้ฟูมฟายเป็นภาษาบ้านเกิดด้วยความเสียใจ เพราะหมดหนทางที่จะกลับไปเป็นซันนี่คนเดิมได้อีกแล้ว
ส่วนอีกคน เมื่อเห็นคนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรออกมาก็ไม่เอ่ยคำใดอีก เพียงนั่งขมวดคิ้วมองคนฟูมฟายไม่เป็นภาษาอยู่ที่โซฟาเงียบๆ ด้วยความดีใจ พลางคิดภาวนาไปด้วย ว่าขอให้คนตรงหน้าความจำเสื่อมจริงๆ ด้วยเถอะ
ด้านคนนั่งร้องไห้บนพื้น หลังจากนั่งร้องไห้ไปนานพักใหญ่ ก็ได้ปีนกลับขึ้นเตียงมานอนร้องไห้อยู่บนนี้อีกหน โดยไม่สนใจข้าวปลาและยาที่คุณพยาบาลนำมาให้เลยสักนิด
จนกระทั่งบ่ายแก่ หญิงชายวัยกลางคนก็พากันเปิดประตูเดินเข้าห้องมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ซึ่งเมื่อคนเป็นแม่เข้ามาเห็นลูกสาวนอนสะอื้นไห้แผ่วเบา ด้วยท่าทางโศกเศร้าอยู่ ก็รู้สึกเจ็บร้าวใจขึ้นมาด้วย จึงเดินเข้าไปลูบผมนุ่มสลวยปลอบใจอีกฝ่ายด้วยความเศร้าสะเทือนใจไม่ต่าง
“ถ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเถอะจ้ะ ลูกเองก็ไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่เรื่องมันก็เกิดมาแล้ว ลูกต้องยอมรับ และผ่านมันไปให้ได้ ใช้ชีวิตให้ดีให้มีความสุข ให้สมกับที่แม่หนูคนนั้นได้เสียสละชีวิตเพื่อช่วยหนูเอาไว้” คนเป็นแม่เอ่ยเสียงอ่อน พร้อมนั่งลงยังเก้าอี้ข้างเตียงเคียงข้างอีกฝ่าย และเอ่ยต่อ “ลูกรู้ไหมตอนที่แม่ได้ยินว่าหนูถูกยิงบาดเจ็บ แม่เป็นทุกข์และหวาดกลัวมากแค่ไหน กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรไป จนกระทั่งลูกตื่นขึ้นมา แม่ถึงได้คลายความหวาดกลัวนั้นลงไปได้ แต่ตอนนี้ เมื่อมาเห็นลูกเป็นแบบนี้ แม่ก็อดทุกข์ใจไปด้วยไม่ได้”
ผู้เป็นแม่เอ่ยความรู้สึกของตัวเองออกมา แล้วก็เห็นว่าไม่มีคำตอบรับจากคนเป็นลูกเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาในตอนแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว
เธอจะไม่รู้ได้อย่างไร ว่าคนเป็นพ่อแม่จะเสียใจมากแค่ไหน ในเมื่อเธอเองก็สูญเสียทั้งพ่อแม่และตัวตนที่แท้จริงไปเช่นกัน ดังนั้นจึงเข้าใจความรู้สึกของคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับดี ว่าจะเสียใจมากเพียงไหน ใจสลายยังไง แค่คิด ใจของเธอก็เจ็บปวดมากมายแล้ว ชีวิตนี้ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา กลับมาทำให้เสียใจอย่างที่สุดอีก ซันนี่จึงอดร้องไห้เสียงดังออกมาไม่ได้
ด้านคนเป็นแม่ เมื่อเห็นลูกสาวร้องไห้เสียใจ ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเป็นเพื่อนลูกด้วยความสงสารจับใจ
ส่วนอีกสองคนที่อยู่ในห้อง เมื่อเห็นท่าทางโศกเศร้าของหญิงทั้งสองก็หันมามองและปรึกษากันด้วยความหนักใจ
“แล้วอย่างนี้...เราจะยังทำตามแผนเดิมอยู่หรือเปล่าครับ” ผู้เป็นลูกชายหันไปกระซิบกับคนเป็นพ่อเสียงแผ่วอย่างเกรงว่าคนเป็นแม่จะได้ยิน
“รักษาเธอให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที อีกอย่างตอนนี้เหมือนเธอจะจำอะไรไม่ได้ด้วย ดังนั้นพ่อว่ารอดูไปก่อนก็แล้วกัน” คนเป็นพ่อให้ความเห็นอย่างไม่อาจตัดใจส่งคนบนเตียงไปอยู่ที่อื่นได้ เพราะสงสารภรรยา โดยไม่ลืมยกเอาเหตุการณ์ตอนที่อีกฝ่ายตื่นมาแล้วจำตัวเองกับภรรยาไม่ได้มาเล่าให้ลูกชายได้ฟังด้วย
“ครับ” คนเป็นลูกชายตอบรับอย่างเข้าใจ เพราะเขาเองก็สงสารคนเป็นแม่ด้วยเช่นกัน
นั่งมองสองแม่ลูกร้องไห้กันไปได้พักใหญ่ คนเป็นลูกชายก็เห็นท่าทางเหนื่อยล้ามากจากผู้เป็นแม่ จึงหันไปเอ่ยกับคนข้างตัวอีกครั้ง “นี่ก็มืดแล้ว ผมว่าพ่อพาแม่กลับไปพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมอยู่เฝ้าให้เอง”
ผู้เป็นลูกอาสาอยู่เฝ้าแทนอีกคืน อย่างสงสารคนเป็นแม่ที่นอนเฝ้ามาหลายคืนแล้ว
“ก็ดีเหมือนกัน ยุ่งมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องไปช่วยบ้านนั้นเก็บเถ้ากระดูกแต่เช้าอีก ยังไงสามสี่วันนี้ลูกก็อยู่กับอี้หรานไปก่อนก็แล้วกันนะ พ่อจะให้แม่เขาได้พักบ้าง นอนเฝ้ากันมาหลายคืนแล้ว พ่อกลัวว่าแม่เราจะไม่สบายขึ้นมาด้วยอีกคน แล้วตอนลูกอยู่เฝ้า ก็อย่าลืมสังเกตพฤติกรรมของอี้หรานไปด้วยนะว่าจำอะไรไม่ได้จริงไหม” คนเป็นพ่อตอบรับอย่างเห็นดีด้วย
เนื่องจากวันนี้พวกเขาสองสามีภรรยา ได้พากันไปร่วมพิธีฌาปนกิจแม่หนูคนนั้น ยังวัดไทยที่ได้ติดต่อเอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้วนั่นเอง ซึ่งหลังเสร็จพิธี พวกเขาก็ยังต้องอยู่ปลอบใจครอบครัวฝ่ายนั้นอีก ดังนั้นตอนนี้จึงรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ไม่น้อย โดยไม่ลืมบอกให้ลูกชายอยู่เฝ้าคนเจ็บแทนภรรยาที่นอนเฝ้ามาหลายคืนติดกัน สังเกตพฤติกรรมของอีกคนไปด้วย ว่าจำอะไรไม่ได้จริงไหม
“ครับ” คนเป็นลูกตอบรับ
หลังลูกชายตอบรับจบ คนเป็นพ่อก็ลุกออกจากโซฟาเดินเข้าไปหาภรรยาสุดที่รักแล้วเอ่ย “กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะคุณ พรุ่งนี้เราต้องไปช่วยบ้านนั้นเก็บเถ้ากระดูกแต่เช้าอีกนะ”
คนเป็นสามีเตือนเสียงอ่อน ด้วยความห่วงใย เนื่องจากว่ายังเหลืออีกหนึ่งพิธีสำคัญที่พวกเขาต้องไปจัดการให้เรียบร้อยอยู่ เนื่องจากว่าบ้านนั้นเห็นว่าลูกสาวชื่นชอบวัฒนธรรมของประเทศนี้มาก จึงตัดสินใจทำพิธีฌาปนกิจร่างลูกสาวที่ประเทศนี้เสียเลย เผื่อว่าชาติหน้ามีจริงลูกสาวจะได้มาเกิดเป็นคนของที่นี่ตามที่เจ้าตัวสนใจ
ได้ยินคำเตือนว่ายังมีงานสำคัญรออยู่ คนเป็นภรรยาก็ลุกออกจากเก้าอี้ เดินเคียงข้างไปกับสามีแต่โดยดี
แต่ก่อนที่จะออกจากห้องไป คนเป็นแม่ก็ได้หันมากำชับลูกชายอย่างไม่อาจวางใจได้ลง “แม่ฝากดูแลน้องด้วยนะลูก”
“ครับ” ผู้ถูกฝากฝังตอบรับเสียงอ่อนให้คนเป็นแม่ได้วางใจ
ได้ยินคำตอบรับจากลูกชาย คนเป็นแม่ก็วางใจขึ้นมา แต่ยังไม่วายหันหน้ากลับไปมองลูกสาวด้วยความห่วงใยไม่คลายอีกครั้ง
มองอยู่สักพักคนเป็นแม่ก็ตัดใจ หันหน้ากลับมาเดินเคียงคู่สามีออกจากห้องไปขึ้นรถกลับบ้านตามเดิม
ด้านคนถูกห่วงใย ยังคงนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้นอย่างไม่อาจทำใจว่าตัวเองได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วได้เลยสักนิด
เช้าวันใหม่ คนทำใจไม่ได้ก็ตื่นขึ้นมานอนร้องไห้สะอึกสะอื้นตามเดิมด้วยความเสียใจ
ส่วนคนนอนเฝ้า หลังเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นอนร้องไห้โดยไม่สนใจข้าวและยาที่คุณหมอนำมาให้เลยสักนิด ก็อดที่จะทักท้วงขึ้นมาไม่ได้ “นี่ ฉันรู้ว่าเธอเสียใจ แต่ยังไงเธอก็ควรที่จะลุกขึ้นมากินอะไรสักหน่อยนะ”
พลางลุกออกจากโซฟามาช่วยเลื่อนโต๊ะอาหารสำหรับคนป่วยที่อยู่ปลายเตียงเข้าไปใกล้ๆ ให้คนบนเตียงได้ลุกมากินได้ง่ายๆ อีกต่างหาก
ทว่าหลังจากบอกไปแล้ว ก็มีเพียงเสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาดังออกมาให้ได้ยินเท่านั้น เห็นดังนี้ ชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาด้วยความทอดถอนใจ เพราะถ้าไม่ใช่ว่าถูกฝากฝังมา และกลัวว่าแม่ของเขาจะมาเห็นอีกฝ่ายในสภาพนี้ เขาคงไม่คิดอยากจะทำดีด้วยอย่างแน่นอน จึงเกลี้ยกล่อมออกมาอีกครั้ง เพื่อให้คนเป็นแม่ได้สบายใจ
“อย่างน้อยๆ ก็ลุกมาฝืนกินเพื่อคุณแม่ เพื่อคนที่เสียสละชีวิตช่วยเธอก็ได้ เธออยากจะให้ซันนี่ตายไปฟรีๆ เพราะเธอมาตรอมใจตายตามไปด้วยอีกคนหรือไง” คนเกลี้ยกล่อมบอกเสียงห้วน
