ตอนที่ 3 นักลงทุน
ณ ห้องประชุมบอร์ดผู้บริหาร
หลังจากที่เราสามพ่อแม่ลูกได้คุยอะไรๆกันสักพักใหญ่ พ่อก็ยื่นเอกสารให้ผมมาอ่าน ซึ่งมันเป็นหัวข้อในการประชุมครั้งนี้
“สวัสดีทุกท่านครับ ผมสมบัติโปรเจ็ค พิทักษ์เกียรติ ชื่อเล่นโปรเจ็คครับ”
“เป็นบุตรชายของท่านเดชะเพชร พิทักษ์เกียรติ”
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เข้าร่วมฟังการประชุมในครั้งนี้ครับ” ผมลุกขึ้นและกล่าวแนะนำตัวเองต่อหน้าผู้บริหารทุกคน ซึ่งทำให้ทุกคนในห้องพากันอึ้งไปหมด ไม่เว้นแม้แต่พ่อและแม่ด้วย ซึ่งทั้งสองไม่ได้บอกให้ผมทำแบบนี้ และดูเหมือนพ่อเองก็ตั้งใจจะแนะนำผมให้ทุกคนรู้จักอยู่แล้วด้วย
และผมก็ได้เห็นทั้งสัญลักษณ์บวกและลบข้างบนหัวแต่ละคน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบวก และคนที่เป็นลบก็คือพวกที่รวมหัวกันไล่ผมออกจากบริษัทเมื่อชาติที่แล้ว
แต่เดี๋ยวชาตินี้เราเจอกันแน่!
ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มนำเสนอหัวข้อประชุมในครั้งนี้ ซึ่งก็คือการขายคอนโดที่อยู่ใกล้กับโรงพยาบาลชื่อดังเพื่อนำเงินมาเป็นทุนในการสร้างรีสอร์ทที่พัทยา แน่นอนว่าทั้งสองที่นั้นมีความสำคัญ เพราะตอนนี้เราประสบกับการเงินที่ไม่คล่องตัวนักกับการลงทุนในครั้งนี้ เนื่องจากเรารับงานมาสองงานใหญ่ๆในคราวเดียวกัน แต่แล้วก็เกิดปัญหา…เกิดแผ่นดินไหวขึ้นทำให้โครงสร้างที่พัทยาเกิดการเสียหายขึ้นมา มันก็เลยกินงบของเราไป รวมไปถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย ทำให้คนงานก่อสร้างไม่กล้าที่จะมาทำงานต่อ เราเลยต้องหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้
ก็เลยได้ทีมก่อสร้างอื่นมาทำเพิ่ม เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนที่ดินอื่นเรากำลังรอให้เจ้าตลาดเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาที่ดินและเขตอสังหานั้นอยู่ ถ้าเราอดทนรอต่อไปได้ ไม่แน่ราคามันอาจจะพุ่งขึ้นมหาศาลแน่ และในอนาคตมันก็พุ่งขึ้นจริงๆ เพียงแต่คอนโดข้างโรงพยาบาลที่เราขายไปนั้นกลับราคาพุ่งสูงกว่าทั้งหมดนั้นรวมกันอีก เพราะแถวนั้นมันจะเจริญรุ่งเรืองไปอีกเป็นสิบๆเท่าอีกสองปีหลังจากนี้
“ลูกคิดว่ายังไง?” พ่อกล่าวถามผมที่นั่งเงียบมาตลอด
“ผมไม่เห็นด้วยกับการขายคอนโดข้างโรงพยาบาลครับ”
“เพราะไม่ว่ายังไงราคามันก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าทุกท่านน่าจะรู้เรื่องนี้ดี”
“แต่ผมอยากให้ทุกท่านมองกลับไปที่ดินในสไลด์หน้าที่สามสิบเจ็ดครับ” ผมกล่าวขึ้นทำให้ผู้นำเสนอรีบเปลี่ยนหน้าจออย่างไว
“ไม่ได้ พื้นที่นั้นเราได้ข่าวจากรัฐบาลว่าพวกเขาจะลงทุน”
“แถมพวกบริษัทอื่นก็กำลังพยายามกอบโกยกันอยู่ด้วย” ผู้บริหารคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาทันที ผมจึงหันไปมองเขาเล็กน้อยและได้เห็นสัญลักษณ์ - บนหัวของเขาอย่างชัดเจน และถึงแม้ในใจผมอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อฉีกหน้าชายคนนี้ แต่ผมก็ต้องเก็บความคิดพวกนั้นเอาไว้ก่อนไว้รอเล่นทีเดียว
“ขออนุญาตินะครับ” ผมกล่าวก่อนจะเดินไปที่ควบคุมจอภาพและทำให้มันเชื่อมต่อกับไอแพดของผมก่อนจะเปิดแผนโครงสร้างรถไฟมหานครขึ้นมาและวาดโครงสร้างคร่าวๆให้ดู ว่าตอนนี้มันสามารถไปได้สองทาง ซึ่งก็คือทางที่เก่า และทางใหม่หรือก็คือทางที่ผ่านที่ดินนี้
“มันเป็นไปไม่ได้ พวกเขาเริ่มสร้างทางรถไฟกันไปแล้ว” ชายคนเดิมกล่าวอย่างมั่นใจ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อ หรือก็คือพวกรัฐบาลอาจจะเปลี่ยนมาสร้างทางรถไฟที่ที่ดินของเราแทน
“ถ้าอย่างนั้นลองดูนี่นะครับ” ผมกล่าวก่อนจะเปิดกูเกิ้ลเอิร์ธขึ้นมาและเสิร์จแผนที่ทางสร้างรถไฟให้เห็นเป็นช่วงๆ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ผมรู้อยู่ก่อนแล้วในอนาคต ทางที่พวกเขาสร้างมันพังทลายจากการเกิดอาฟเตอร์ช็อคหลังแผ่นดินไหวล่าสุด เพราะข้างๆบริเวณรถไฟเป็นที่บนเนิน ไม่ใช่ที่ราบ ระหว่างทางก็มีพื้นดินที่ไม่แข็งแรง ข่าวนี่ดังมากเลยแหละ ในชาติที่แล้ว
“จากสถานการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด มันมีความเป็นไปได้ที่แผ่นดินจะเคลื่อนอีกครั้งครับ”
“ซึ่งพื้นดินและหินแถวนั้นก็ไม่แข็งแรง ถ้าลองไปตรวจสอบดูคิดว่าทุกคนจะเข้าใจครับ” ผมกล่าวก่อนจะตัดการเชื่อมต่อจากไอแพดของผมและเดินกลับมานั่งที่
“มันอาจเป็นไปได้…” หลายคนกล่าวสนับสนุนผม
“มันเป็นเพียงการคาดการณ์” แต่ชายคนเดิมก็ยังคงโต้แย้งผม
“จะทำอะไรก็ต้องตรวจสอบให้ดีจริงไหมครับพ่อ” ผมกล่าวก่อนจะหันไปหาพ่อ ทำให้พ่อพยักหน้าและคิดอะไรหลายอย่าง
“ส่งทีมไปตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว แล้วสัปดาห์หน้ามาประชุมกันใหม่" พ่อกล่าว เพราะวันนี้เป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์พอดี
“การประชุมหัวข้อนี้ยังไม่สิ้นสุด ขอให้ทุกคนกลับไปวิเคราะห์เพื่อมาตัดสินใจกันใหม่อีกครั้ง” พ่อกล่าว ซึ่งก็ไม่มีใครโต้เถียงเขา เพราะไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจไหนๆของพ่อ ถือว่าเด็ดขาดและเป็นผลดีกับบริษัทมาตลอด แทบไม่เคยตัดสินใจพลาดเลยสักครั้ง
“ขอบคุณครับ” ผมลุกขึ้นและกล่าวพร้อมกับก้มหัวให้กับทุกคนด้วยความเคารพ
“ลูกตามพ่อมาที่ห้องทำงาน” พ่อกล่าวก่อนจะลุกขึ้นและเดินกลับไปที่ห้องประธานบริษัท ซึ่งแม่ก็ตามมาด้วย
“ลูกไปหาข้อมูลมาจากไหน?" พ่อกล่าวถามทันทีที่เข้ามาในห้อง
“จากที่ฟังการนำเสนอแล้วลองคิดตามครับ”
“ซึ่งช่วงที่ทุกคนกำลังออกความคิดเห็นโปรเจ็คก็ลองหาข้อมูลดูครับ” ผมกล่าว
“พ่อก็ว่า นึกว่าลูกเล่นเกมในห้องประชุม..เลยต้องเรียกสักหน่อย”
“เก่งมากโปรเจ็ค” พ่อกล่าวก่อนจะเดินมากอดคอผมเดินไปดูด้านหลังโต๊ะทำงาน ซึ่งมันเป็นกำแพงกระจกที่เห็นวิวอันสวยงามในเขตสีลม
“ถ้าลูกทำได้แบบนี้ต่อไป ที่นี่จะเป็นจุดยืนของลูก” พ่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มันต้องสูงกว่านี้อีกครับจุดยืนของโปรเจ็คน่ะ” ผมกล่าวทำให้พ่อหันมาหัวเราะกับผม ซึ่งที่ผ่านมาพ่อไม่เคยแสดงสีหน้าแบบนี้ให้เห็นเลย มีแต่สีหน้าที่รอความคาดหวังไปแต่ละวันจากตัวผมเท่านั้น
“ว่าแต่เมื่อคืนที่พาน้องไปกินข้าวกับซื้อของหมดไปเยอะรึเปล่า?”
“มีอะไรขาดเหลือไหม บอกพ่อได้นะ” พ่อกล่าวแต่มือพ่อก็ไวกว่า พูดยังไม่ทันจบก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโอนเงินให้ผมสองหมื่นไปซะแล้ว
“บอกแล้วไงครับว่าจะไม่เอาเงินจากพ่อน่ะ” ผมกล่าวท้วง
“นี่เป็นเงินค่าออกความเห็นน่ะสิ ไม่งั้นคงไม่ได้เห็นมุมมองและการทำงานใหม่ๆ” พ่อกล่าว ซึ่งน่าจะหมายถึงการใช้กูเกิ้ลเอิร์ธและการแสดงความคิดเห็นที่ต่างจากผู้บริหารคนอื่นจากผม
“ที่จริง โปรเจ็คมีอีกเรื่องอยากจะบอกพ่อกับแม่ครับ” ผมกล่าวก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดถอนเงินไปหนึ่งหมื่นดอลลาร์เข้าบัญชีของผม
“หลายวันที่ผ่านมานี้โปรเจ็คสนใจเรื่องการลงทุน”
“และได้ลองศึกษาพร้อมกับทำกำไรในการลงทุนไปครับ” ผมกล่าวพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นมาโชว์รายการเงินที่เพิ่งเข้ามากว่าสามแสนบาท ซึ่งรายการก่อนหน้าก็คือเงินที่พ่อโอนใหม่มาสองหมื่น
“ให้ตายสิ…” พ่อถึงกับอึ้งไปเลยเมื่อเห็นเงินในบัญชีของผม
“มันไม่ใช่การพนันใช่ไหมลูก?” แม่กล่าวถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่ เมื่อกี้น่าจะเป็นแอพเทรด MT5”
“เพื่อนผมที่เป็นนักลงทุนบางคนก็มีเล่นแอพนี้อยู่เหมือนกัน” พ่อตอบกลับแม่ทันที ทำให้แม่รู้สึกทึ่งในตัวผมตามไปด้วย
“พ่อรู้จักกับกรมสรรพากรอยู่บ้าง”
“เดี๋ยวพ่อจะนัดมาคุยเรื่องภาษีให้ลูกนะ”
“ลูกต้องระวังเรื่องนี้ให้ดีเลย” พ่อกล่าวเตือนและกระชับแขนกอดผมแน่นกว่าเดิม
“ครับ จะระวังให้ดีเลย” ผมกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม ซึ่งพ่อก็ยิ้มกลับมาเหมือนกัน
“พ่อสนับสนุนนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน”
“ลูกมีพรสวรรค์เยอะมาก เพราะฉะนั้นลูกต้องใช้มันให้คุ้มค่ามากที่สุด" พ่อกล่าวสอนผม
“ขอบคุณครับ” ผมตอบกลับและเราก็พูดคุยอะไรกันเรื่อยเปื่อยก่อนที่พวกเราจะนัดทานข้าวกันคืนนี้ และพ่อก็ให้ผมไปรับน้องสาวมาด้วย
ทรัพย์สินรวมปัจจุบัน : 821,156 บาท
