EP.5 | เร่งทำคะแนน?
EP.5
หลังจากนั้นฉันก็จำใจต้องปล่อยให้คุณภีพูดคุยและถามถึงสารทุกข์สุขดิบของแม่ ก็ห้ามไม่ได้อยู่แล้วนี่ ฉันเสียสละเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยให้เขานั่งแล้วย้ายก้นตัวเองไปหย่อนลงบนโซฟา หยิบนิตยสารรายวันขึ้นมาอ่านเพื่อรอเวลาที่เขาจะกลับ
ระหว่างนั้น..ฉันได้ยินเสียงหัวเราะของแม่ดังขึ้นเบาๆ เป็นระยะ นานเท่าไรแล้วนะที่แม่ไม่ได้หัวเราะแบบนี้ ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากนิตยสารในมือเพื่อดูว่าทั้งคู่พูดคุยอะไรกัน แล้วฉันก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นความอารมณ์ดีของคุณภีอย่างเต็มรูปแบบ
มันผิดกับเมื่อวานที่เขาทะเลาะกับคุณภัทรมาก
หากตัดสิ่งที่ไม่ถูกใจออกไปคุณภีก็ดูเป็นคนที่น่าคบหา(ในฐานะเพื่อน)คนนึงเลย เวลาพูดหรือยิ้มเขาดูมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดมาก ใครอยู่ใกล้ก็คล้ายจะได้รับพลังบวกให้ชีวิตไปด้วย อย่างเช่นแม่ฉันในตอนนี้ ท่านดูสดใสและมีชีวิตชีวาขึ้นแบบผิดหูผิดตา
รวมๆ ก็คือคุณภีเป็นยารักษาใจและเป็นพลังบวกให้ทุกคนได้ดีจริงๆ
เอ๊ะ! แล้วนี่ฉันมานั่งชมเขาทำไมเนี่ย เขาเป็นตัวอันตรายนะท่องไว้สิพิมพ์ลภัศ!
ฉันเลิกมองและเลิกคิดเรื่องของคุณภี กลับมาสนใจนิตยสารในมือต่อ แต่แล้วเหมือนสวรรค์จะไม่อยากให้ความร่วมมือ พอฉันเปิดนิตยสารหน้าต่อไปก็ดันเจอกับบทสัมภาษณ์ของนักธุรกิจหนุ่มวัยเยาว์อย่างคุณภัทรเด่นหลาเต็มสองหน้ากระดาษ!
ใจคอจะไม่ให้ฉันหลีกหนีสองแฝดนี่พ้นเลยหรือไง!
ฉันตัดสินใจจะปิดนิตยสารเล่มนี้แล้วหยิบเล่มใหม่ขึ้นมาอ่าน ทว่าหางตาดันไปสะดุดกับประโยคหนึ่งที่คุณภัทรให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ‘ความรักสำหรับผมคือความโง่งม เมื่อไหร่ที่เรามีรัก เมื่อนั้นเราจะไร้สมอง’ อ่านจบก็ได้แต่ร้องว่า ‘แรงมาก’ ในใจ
คุณภัทรคงจะกลายเป็นคนแอนตี้ความรักไปเลยสินะ..แต่อย่างว่าแหละ การถูกคนที่รักและไว้ใจหักหลังแถมยังเป็นคนในครอบครัวมันคงจะเจ็บปวดมากเลยสินะ
จะว่าไปก็น่าเห็นใจเขาอยู่เหมือนกัน...
และเพราะมัวแต่นั่งคิดถึงเรื่องของคุณภัทร ฉันจึงไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาของคุณภีลอบมองมาทางนี้อยู่หลายครั้งหลายครา
16:00น.
“คุณภีฉันว่าคุณกลับได้แล้วนะคะ คุณแม่ฉันต้องกินข้าวกินยาแล้วค่ะ” ฉันบอกคุณภีที่ยังช่างจ้อไม่หยุดเมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่แม่จะต้องพักผ่อนแล้ว
“โธ่ ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วจังเลย ยังอยากคุยกับคุณป้าต่ออยู่เลยครับ” ร่างสูงทำหน้างอปากคว่ำ ก่อนจะหันไปประจบแม่ฉันเชิงอ้อนๆ
เขาฉลาดนะที่ใช้ลูกไม้แบบนี้กับคนแก่กำลังป่วย คงจะรู้ว่ามันช่วยเติมเต็มบางสิ่งที่ท่านขาดไปได้ ไม่ได้การละ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังแม่ฉันต้องหลงเอ็นดูคุณภีแน่ๆ
“ถ้ายังไม่อยากกลับจะอยู่ต่ออีกหน่อยก็ได้นะจ๊ะ ป้าเองก็กำลังสนุกเลย” แม่ฉันก็เป็นไปกับเขาด้วย ถึงขั้นยอมผิดเวลากินยาเพียงเพราะอยากคุยกับคุณภี ฉันว่าบางทีท่านคงโดนเขาตกไปเรียบร้อยแล้วแหละ
“ไม่ได้นะคะแม่ ถ้าแม่อยากคุยกับคุณภีก็ให้เขามาวันอื่นสิคะ วันนี้พอแล้วค่ะ” พอพูดจบฉันก็รู้สึกอยากตีปากตัวเองแรงๆ สักทีสองที การพูดแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการเปิดทางให้เขาหาข้ออ้างมาที่โรงพยาบาลอีก
ให้ตายสิพิมพ์ลภัศ!
“แสดงว่าผมสามารถมาหาคุณป้าได้อีกใช่ไหม?” เขายักคิ้วถามฉัน ยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วย
“ไม่ได้ค่ะ!” ฉันตอบเสียงแข็งแล้วเชิดหน้าหนี
“แต่เมื่อกี้เธอพูดเองนะว่าให้ฉันมาอีกทีวันอื่น”
“นั่นสิลูก แม่ก็อุตส่าห์ดีใจไปแล้วว่าจะได้คุยกับคุณภีเขาอีก”
ดูเอาสิ กดดันฉันกันเป็นแพ็คคู่! แล้วฉันจะไปทำอะไรได้ล่ะก็ในเมื่อดันหลุดปากพูดไปแบบนั้นเอง เฮ้อ... ปากหนอปาก!
“โอเคๆ พิมพ์ยอมก็ได้ค่ะ คุณมาหาแม่ฉันได้แต่แค่อาทิตย์ละสองครั้งเท่านั้นนะคะ” สุดท้ายพอเห็นสีหน้าที่หม่นลงของแม่ฉันก็ต้องยอมใจอ่อนจนได้ ทั้งคุณภีและแม่หันมองหน้าแล้วยิ้มให้กันราวกับประสบความสำเร็จร่วมกันครั้งใหญ่
นี่แม่ฉันไปสนิทกับเขามาขนาดนี้ตอนไหนกัน?
หลังจากคุณภีกลับไปฉันก็ป้อนข้าวและเอายาให้แม่กิน ไม่นานท่านก็หลับ วันนี้คุยจ้อกับคุณภีทั้งวันคงจะเหนื่อยเพลียน่าดู
ฉันนั่งมองแม่ที่กำลังนอนหลับด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ มือเล็กยื่นไปจับมือแม่ขึ้นมาแนบกับพวงแก้มตัวเอง
“แม่จ๋า ถ้าแม่ยิ้มและหัวเราะได้แบบนี้ทุกวันก็คงจะดีสินะ” ฉันพูดแล้วจูบที่หลังมือแม่เบาๆ ฉันอยากให้แม่สดใสและร่าเริงแบบวันนี้ได้ด้วยตัวของแม่จัง
ตั้งแต่ที่พ่อทิ้งฉันกับแม่ไป ฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าแม่ยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขแบบวันนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มันนานมากจนฉันเกือบจะลืมความสดใสนี้ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
เมื่อเวลาบนนาฬิกาข้อมือบ่งบอกว่าตอนนี้สองทุ่มกว่าแล้วฉันก็เก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน และส่งมอบหน้าที่ดูแลแม่ให้พยาบาลพิเศษที่คุณป้าวิภาออกเงินจ้างให้
ที่ฉันยังอยู่โรงพยาบาลจนถึงสองทุ่มนี่ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แต่ฉันกะจะรอให้คุณภีและคุณภัทรกินมื้อเย็นเสร็จก่อนแล้วค่อยกลับ เราจะได้ไม่ต้องเจอหน้ากันให้มันเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก ทว่า..ฉันคิดผิด
“ลงมาสักที” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยบอกฉันที่เพิ่งก้าวขาออกจากลิฟต์มาหมาดๆ สีหน้าของร่างสูงแสดงออกถึงความหงุดหงิดเล็กๆ
“คะ..คุณภัทร!” ใช่ เจ้าของเสียงและเจ้าของสีหน้าที่ฉันสาธยายไปเมื่อครู่ก็คือคุณภัทร! “มะ..มาได้ไงคะ”
“ขับรถ” ถึงคุณภัทรและคุณภีจะมีหลายอย่างที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกันนอกจากหน้าตาก็คือ ‘การกวนประสาท!’
ฉันรู้อยู่แล้วไหมล่ะว่าขับรถมา เขาคงไม่ได้ขี่ไม้กวาดบินมาหรอก!
“ฉันรู้แล้วค่ะว่าขับรถมา ฉันหมายถึงคุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันอยู่ที่นี่”
“สืบเอา” เขาตอบสั้นๆ พร้อมก้มมองนาฬิกาโลเร็กซ์ที่อยู่บนข้อมือซ้าย ก่อนจะเงยขึ้นจ้องหน้าฉันด้วยแววตาว่างเปล่า
น่าแปลกที่ความว่างเปล่านั้นกลับทำให้หัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ..
เฮ้ย! ไม่ได้นะ ฉันจะหวั่นไหวกับเขาไม่ได้ ฉันรีบตั้งสติแล้วเก็บซ่อนความว้าวุ่นลงให้ลึกสุดใจ
“แล้วคุณมาที่นี่ทำไมคะ” คุณภัทรพูดตอนเจอหน้าฉันว่า ‘ลงมาสักที’ มันหมายความว่ายังไง เขามารอฉันงั้นเหรอ แล้วมารอทำไมกัน
เฮ้อ..ผู้ชายบ้านนี้เก่งเรื่องสร้างความปวดหัวให้ฉันจริงๆ
“มารับ” ฉันเริ่มชักสีหน้ากับคำตอบที่ไม่รู้จะสั้นไปไหนของเขา กลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากหรือไง แล้วเพราะเหตุนี้ฉันจึงต้องถามเขาต่ออีกว่า
“ฉันกลับเองได้ค่ะ ทางที่ดีเราอย่ากลับพร้อมกันดีกว่านะคะ” หากฉันกลับเข้าบ้านพร้อมคุณภัทรแล้วคุณภีดันมาเห็นคงจะเดาได้ใช่ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ระเบิดลงไงล่ะ!
“แต่ฉันหิว ไปกินข้าวกัน” พูดจบมือหนาก็คว้าหมับมาจับมือฉันแล้วพาเดินไปขึ้นรถทันที ระหว่างเดินฉันก็พยายามสะบัดมือออกและร้องขอให้เขาปล่อย แต่เขาก็เดินตัวปลิวราวกับไม่ได้สนใจและไม่ได้ยินเสียงร้องของฉันเลย
เผด็จการกันเก่งจริงๆ!
