บท
ตั้งค่า

EP.4 | หลงเธอเข้าให้แล้ว?

EP.4

เช้าวันต่อมา...บรรยากาศบนโต๊ะอาหารปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีเทา ทั้งอึมครึมและมาคุ คนหน้าเหมือนกันราวกับแกะนั่งจ้องตากันโดยหาได้สนใจสิ่งรอบข้าง พลอยทำให้วรรณวิภาที่นั่งอยู่หัวโต๊ะไม่กล้ากลืนข้าวลงคอไปด้วย

“แม่ครับสายป่านนี้แล้วทำไมพิมพ์ลภัศยังไม่ลงมาอีก” ธัทรภีเอ่ยถามเสียงโทนต่ำ ดวงตาคมยังจ้องหน้าพี่ชายเขม็ง

ผู้เป็นแม่ยิ้มแห้งๆ พร้อมตอบว่า “หนูพิมพ์เขารีบไปโรงพยาบาลแต่เช้าน่ะเลยไม่ได้อยู่ทานข้าวด้วย”

“เธอเป็นอะไรครับ!” สองแฝดถามขึ้นพร้อมกัน ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังละสายตาออกจากกันแล้วหันไปมองมารดาแทน

วรรณวิภาก้มหน้างุด รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องกับสายตาเอาจริงเอาจังของลูกทั้งสอง จริงๆ แล้วเธอเป็นคนบอกให้พิมพ์ลภัศไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่เองจะได้ไม่ต้องเจอสองแฝด ขืนปล่อยให้ทั้งสามคนนั่งร่วมโต๊ะกันมีหวังสงครามมือเช้าได้เกิดขึ้นเป็นแน่

“นะ..หนูพิมพ์ไม่ได้เป็นอะไรหรอกลูก..คนที่ป่วยน่ะเป็นแม่ของหนูพิมพ์ต่างหาก” เธอตอบอย่างไม่เต็มเสียง ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เต็มใจด้วย

“แม่เธอป่วยเป็นอะไรครับ แล้วตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่ไหน” ลูกชายคนเล็กร้อนอกร้อนใจ อยากจะบึ่งรถไปเยี่ยมแม่เธอเพื่อทำคะแนนเสียเดี๋ยวนี้ ขณะที่ธีรภัทรยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย แต่ก็แค่ภายนอก เพราะภายในก็รอฟังคำตอบจากปากมารดาอย่างใจจดใจจ่อ

“แม่หนูพิมพ์ป่วยเป็นโรคหัวใจ..แต่รักษาตัวอยู่ที่ไหนแม่คงบอกไม่ได้”

“ทำไมล่ะครับ!” เป็นอีกครั้งที่สองแฝดถามขึ้นพร้อมกัน ครู่หนึ่งพวกเขาหันกลับมาจ้องตากันอย่างชิงชัง ก่อนจะหันไปกดดันมารดาต่อ

“ถ้าแม่บอกภัทรกับภีก็จะตามไปวุ่นวายน่ะสิ คนเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด ยังไม่ควรมีเรื่องอะไรไปกระทบกระทั่งจิตใจทั้งนั้น” วรรณวิภาบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ว่าอย่างไร เธอก็จะไม่บอกที่อยู่ของโรงพยาบาลอย่างเด็ดขาด หากบอกแล้วเจ้าสองแฝดตามไปสร้างเรื่องจนพิมพ์พิมลช็อกไปอีกรอบล่ะก็หลายสิ่งหลายอย่างคงพังพินาศอย่างไม่มีชิ้นดีแน่

“โอเคครับ งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อน” ธีรภัทรประนมมือไหว้ผู้เป็นแม่แล้วหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หางตาคมเหลือบมองน้องชายฝาแฝดหัวจรดเท้า ก่อนจะเดินก้าวขาออกจากบ้านไป

“ถุ้ย! คิดว่าหล่อมากมั้ง” ธัทรภีไม่ได้ถมน้ำลายออกมาจริง เพียงแค่ขยับปากออกเสียงเท่านั้น

“ตาภีไม่ทำแบบนี้นะลูก” วรรณวิภาปรามลูกชายเสียงเขียว เหนื่อยหน่ายใจกับคนไม่รู้จักโต อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ ยี่สิบหกจะยี่สิบเจ็ดอยู่แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กที่ไร้การอบรมไปได้

“ขอโทษครับแม่ เห็นหน้าเก๊กๆ ของมันทีไรก็อดไม่ได้ทุกที ยังไงภีไปทำงานก่อนนะครับ รักแม่นะ” ชายหนุ่มขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่ สวมกอดและหอมแก้มท่านด้วยความรัก วรรณวิภาหอมลูกชายกลับพร้อมลูบศีรษะเบาๆ ส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเดินตามพี่ชายออกไป

แม้ธัทรภีจะไม่จริงจังกับชีวิตเท่าธีรภัทร แต่เขาก็เป็นคนสุขนิยม ชอบมีความสุขมากกว่าความทุกข์ รวมถึงชอบสร้างเสียงหัวเราะ ใครได้ใกล้ชิดก็เป็นต้องหลงรักเขากันทั้งนั้น

เขามักจะแสดงความรักต่อผู้เป็นแม่อย่างชัดเจนและเปิดเผยอยู่เสมอ ทั้งยังขี้อ้อน ช่างพูดช่างจา บางทีนี่ก็อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้วรรณวิภาไม่กล้าแตะต้องลูกมากนัก

ผิดกับธีรภัทรที่เป็นคนนิ่งเงียบ สุขุม และเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา แม้เขาจะหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตร ทว่ากลับดึงดูดเพศตรงข้ามได้ไม่มากเท่าที่ควร

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบุคลิกภายนอกของเขาติดลบมากจริงๆ น้อยคนนักที่ได้เห็นตัวตนของเขาแล้วจะยังรู้สึกชอบ ยังมีความหวังว่าสักวันจะได้ใจเขามาครอง

โรงพยาบาลรักดี

พิมพ์ลภัศฆ่าเวลารอผู้เป็นแม่ตื่นขึ้นจากการงีบกลางวันด้วยการปอกผลไม้ของโปรดท่านเอาไว้ ปอกไปก็หวนนึกถึงเรื่องราววุ่นๆ ที่ยังไม่ถูกแก้ไขให้กระจ่าง

วันนี้เธอถูกวรรณวิภาขอให้ออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงครึ่ง เพื่อลดปัญหาการเกิดความขัดแย้ง เธอไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจเลยสักนิด ออกจะเข้าใจและเห็นด้วยกับทางออกชั่วคราวของผู้มีพระคุณ ทว่าที่ทำให้เป็นกังวลคือเธอต้องอยู่ในสภาพนี้ไปอีกนานเท่าไร

ถึงเธอจะไม่ได้อยากเจอหน้าของสองแฝด แต่การที่ต้องทำอะไรหรือไปไหนแบบหลบๆ ซ่อนๆ ก็สร้างความอึดอัดใจให้อยู่ไม่น้อย

ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นดึงสติของคนเหม่อให้กลับมา เธอวางมีดและผลไม้ไว้บนจาน หยัดกายลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู

พอเปิดออกดวงตากลมเป็นต้องเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้างคล้ายมีคนมาจับงัด เจ้าของเสียงเคาะเมื่อครู่ไม่ใช่หมอหรือพยาบาล...แต่เป็นธัทรภีคนที่เธอไม่ควรเจอในเวลานี้

“คะ..คุณภี..มะ..มาได้ยังไงคะ” เธอถามเสียงสั่น ไม่ยอมเปิดทางให้คนมาใหม่ได้เข้ามาในห้อง

“ขับรถมา” เขาตอบสั้นๆ แล้วคลี่ยิ้มบาดใจให้เธอ ทำเอาหัวใจเล็กๆ กระตุกสั่นไหวอย่างไร้สาเหตุ

“มะ..ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ..คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันอยู่ที่นี่” หญิงสาวจำได้แม่น วรรณวิภาบอกกับเธอว่าจะไม่บอกที่อยู่ของโรงพยาบาลให้สองแฝดรู้ แล้วใยเขาถึงมายืนอยู่ตรงหน้าเธอได้ แถมมาถูกห้องเสียด้วย

“คนระดับฉันอยากรู้อะไรก็ต้องได้รู้ แล้วนี่ใจคอเธอจะไม่ชวนฉันเข้าไปในห้องหน่อยเหรอ ฉันมาเยี่ยมแม่เธอนะ” คนเจ้าเล่ห์ไม่พูดเปล่า แต่ยังทำทีชะโงกหน้าสอดสายตามองเข้าไปภายในห้องอย่างไร้มารยาท

“มะ..ไม่ได้ค่ะ..แม่ฉันกำลังนอนพักผ่อนอยู่..ถ้าคุณอยากมาเยี่ยมเอาไว้วันอื่นก็แล้วกันนะคะ” พิมพ์ลภัศพูดตัดบท ถือโอกาสนี้ปิดประตูใส่เขาเพื่อไล่ให้กลับ ทว่าโชคชะตาดันไม่เข้าข้างเธอเอาเสียเลย

“พิมพ์ลูก คุยกับใครน่ะ” เสียงยานคางของคนป่วยที่เพิ่งตื่นนอนร้องถามลูกสาว

“เอ่อ..คือ..”

“สวัสดีครับ ผมชื่อธัทรภีเป็นลูกชายของแม่วิภา วันนี้ผมมาเยี่ยมคุณป้ามลครับ แต่พิมพ์ลภัศไม่ยอมให้ผมเข้าไป” ธัทรภีตะโกนฟ้องคนข้างในราวกับเด็ก ทั้งยังแลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนพิมพ์ลภัศที่ยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม

“พิมพ์ทำไมทำแบบนั้นล่ะลูก ให้คุณเขาเข้ามาเถอะ” พิมพ์พิมลบอกลูกสาว

“แต่แม่คะ..” เธอพยายามหาข้ออ้างในการปฏิเสธ

“ไม่มีแต่” หญิงสูงวัยยื่นคำขาด ไม่อยากเสียมารยาทกับลูกชายของผู้มีพระคุณที่อุตส่าห์สละเวลามาเยี่ยม หากไม่ต้อนรับขับสู้ก็คงดูเป็นคนไร้สำนึกเต็มทน

“ค่ะแม่ เชิญค่ะคุณภี” เธอรับคำมารดาเสียงแผ่ว ก่อนจะกดเสียงแข็งใส่ชายหนุ่ม

“ขอบคุณครับ” ธัทรภีขยิบตาให้เธอหนึ่งทีแล้วเดินแทรกตัวเข้าไปข้างในห้อง คล้อยหลังเขาเดินไปพิมพ์ลภัศเบ้หน้าหลับตาปี๋ ภายในใจมีแต่คำว่า ‘ซวยแล้ว’ ดังก้องเป็นร้อยเป็นพันรอบ

ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของธัทรภีคืออะไร เขาจะบอกความจริงกับพิมพ์พิมลเรื่องที่เธอต้องแต่งงานกับเขาเพื่อแลกกับเงิน แต่ดันพลาดไปได้เสียกับพี่ชายเขาแทนหรือเปล่านะ ให้ตายเถอะ หากเล่าขึ้นมาจริงๆ แม่เธอคงได้ช็อกไปอีกรอบแน่

พิมพ์ลภัศเดินคอตกหน้าซีดกลับมาหาแม่ที่เตียง จ้องมองและสังเกตท่าทีของธัทรภีทุกระเบียดนิ้ว เพื่อจะได้ดักคอเขาทันหากเขาคิดจะแฉเรื่องราวด้านลบของเธอ

ธัทรภีที่รู้ทันความคิดของพิมพ์ลภัศนั่งกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่หุบ ไม่รู้ตัวเลยว่าตนชอบใจเวลาได้แกล้งตั้งแต่เมื่อไหร่

“คุณป้าดีขึ้นมากแล้วเหรอครับ” เขาเลิกคิ้วแล้วถามคนนอนป่วยเสียงนุ่ม

“จ้ะ ก็เพราะได้คุณแม่ของคุณช่วยนั่นแหละ ไม่งั้นป่านนี้ป้าคง..” ประโยคหลังของพิมพ์พิมลดูอ่อนแอและอ่อนแรงจนคนฟังต่างรู้สึกใจเสียไปตามๆ กัน

“แม่คะ เราสัญญากันไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” พิมพ์ลภัศทักท้วงผู้เป็นแม่ที่ริเริ่มพูดถึงเรื่องความเป็นความตาย เธอไม่ชอบเอาเสียเลย ก่อนหน้านี้มารดาก็เคยสัญญาเอาไว้แล้วว่าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงพูดขึ้นมาเล่า

“แม่ขอโทษลูก..แม่เผลอไปหน่อย” สีหน้าของพิมพ์พิมลแสดงออกถึงความรู้สึกผิดจริงๆ เธอก็ไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้หรอก ทว่าพอได้คุยกับเด็กหนุ่มที่อัธยาศัยดีก็รู้สึกเหมือนได้คุยกับเพื่อนจึงเผลอพลั้งปากไปหน่อย

ธัทรภีเหลือบพิมพ์ลภัศในโหมดอ่อนไหว ความเจ้าเล่ห์เมื่อครู่จางหายไปจากใบหน้าและแววตา เขารู้สึกชื่นชมในความเป็นคนรักครอบครัวของเธอ เธอคงจะรักแม่มากถึงได้ยอมรับข้อเสนอที่จะต้องแต่งงานกับเขา

รู้แบบนี้แล้วก็ยิ่งไม่อยากเสียเธอไปให้ใคร เพราะดูเหมือนตอนนี้ สิ่งมีชีวิตที่ชื่อพิมพ์ลภัศกำลังจะค่อยๆ แทรกตัวเข้ามายึดพื้นที่ในหัวใจเขาเข้าไปทีละนิดเสียแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel