บท
ตั้งค่า

บทที่ 6

โม่จุนและเย่อู๋เหิงมองมู่จิ่วซีที่หัวเราะจนตัวสั่นแล้วขมวดคิ้ว

สตรีผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ? เรื่องนี้มีอะไรน่าหัวเราะกัน?

“คุณหนูเจ้าคะ” ลู่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว

เย่อู๋เหิงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “คุณหนูใหญ่ไม่กลัวว่ามือสังหารจะกลับมาฆ่าท่านอีกหรือ?”

“มาเลย! ให้เขามา! ข้าอยากจะดูว่าพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนไหนมันกล้ามาฆ่าข้า?”

มู่จิ่วซีหรี่ตาลง กำหมัดแน่น ทั่วทั้งร่างแผ่รัศมีความเย็นยะเยือก ความกระหายเลือด และโหดเหี้ยมอำมหิต ราวกับราชันแห่งรัตติกาลที่มองใต้หล้าด้วยสายตาดูแคลน

โม่จุนและเย่อู๋เหิงเปลี่ยนสีหน้าในทันที ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความตกตะลึง เพราะว่ารัศมีที่มู่จิ่วซีแผ่ออกมาในขณะนี้นั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ

นี่ไม่ใช่รัศมีที่คุญหนูใหญ่จอมเสเพลคนหนึ่งจะมีได้ แต่กลับเหมือนเพชฌฆาตผู้ช่ำชองในการสังหาร

เป็นไปได้อย่างไร? หรือว่าพวกเขาตาฝาดไป

หลังจากหัวเราะเยาะแล้ว มู่จิ่วซีก็รวบรวมรัศมีกลับคืน มองไปยังบุรุษทั้งสองคน ทันใดนั้นก็ไอออกมา “ครั้งนี้ข้าประมาทเอง หากมือสังหารกลับมาอีก ข้ารับรองว่ามันจะไม่ได้กลับไป!”

“มู่จิ่วซี นี่ไม่ใช่การเล่นขายของ มือสังหารใช้ฝ่ามือทรายทมิฬได้ ฝีมือไม่ธรรมดา วรยุทธ์เล็กๆ น้อยๆ นั่นของเจ้า ต่อให้คิดจะหนีก็ยังยาก!”

โม่จุนกล่าวเยาะเย้ยในทันที

มู่จิ่วซีเหลือบมองเขาด้วยสายตาดูแคลน แล้วหัวเราะเยาะพลางกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าเซ่อเจิ้งอ๋องมีวรยุทธ์สูงส่ง หรือว่าพวกเราจะมาประลองกันสักหน่อย?”

“ในการแข่งขันล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีที่แล้ว คุณหนูใหญ่ตกใจกระต่ายป่าจนตกจากหลังม้า หรือว่านั่นเป็นเรื่องเท็จ?”

“น่าขัน ข้าชอบเล่นสนุกไม่ได้หรือไร หากข้าได้ที่หนึ่งไปเสียทุกอย่าง แล้วคนอื่นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน บางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เข้าใจหรือไม่?”

“ไร้ยางอาย!” ท่าทางที่พูดจาฉะฉานอย่างมีเหตุผลของมู่จิ่วซีนั่น ทำเอาโม่จุนโกรธจนใบหน้าหล่อเหลามืดมน

“โม่จุน ข้าไร้ยางอายตรงไหน อยากจะประลองกับท่านแล้วไร้ยางอายหรือ? หรือว่าท่านไม่กล้า!” เมื่อคืนมู่จิ่วซีได้ทำความคุ้นเคยกับร่างกายนี้เป็นอย่างดีแล้ว

โดยรวมแล้วรู้สึกว่ายังดีอยู่ ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับชาติก่อน แต่ก็สามารถใช้ได้สักหกเจ็ดส่วนกระมัง

จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม โลกต่างมิตินี้มีผู้คนมากมายที่ฝึกวรยุทธ์ มีกำลังภายใน แต่โดยทั่วไปก็แค่แข็งแรงกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย ยอดฝีมือจริงๆ นั้นมีไม่มากนัก

แต่เซ่อเจิ้งอ๋องและเย่อู๋เหิงเป็นยอดฝีมือในจำนวนน้อยนิดนั้นจริงๆ

ดังนั้น ตอนนี้นางจึงอยากรู้มากว่าผู้ที่เรียกว่ายอดฝีมือนั้น เก่งกาจเพียงใด

“เจ้ายังไม่คู่ควร!” โม่จุนพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป

“ข้าไม่คู่ควร?” มู่จิ่วซีมองแผ่นหลังของเขาแล้วแค่นเสียงเย็น “ผู้ชายเฮงซวย สักวันหนึ่ง ข้าจะทำให้ท่านรู้สึกว่าข้าสูงเกินเอื้อม!”

ทันใดนั้น ในห้องก็เกิดลมเย็นพัดวูบหนึ่ง ร่างของโม่จุนเคลื่อนไหว และมาปรากฏตัวตรงหน้ามู่จิ่วซี

ยื่นมือออกไปบีบคอมู่จิ่วซีโดยตรง ดวงตาคมกริบคู่นั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะ

สตรีผู้นี้ท้าทายอำนาจบารมีของเซ่อเจิ้งอ๋องอย่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ก็ควรให้นางได้รับบทเรียนเสียบ้าง

ความว่องไวต่อสถานการณ์อันตรายของมู่จิ่วซีกลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว แค่เห็นนางเอียงศีรษะเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว ก็หลบมือที่แฝงไปด้วยพลังของโม่จุนได้

โม่จุนบีบคอมู่จิ่วซีไม่โดน เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกมือกลับมาจับอีกครั้ง

มู่จิ่วซีล้มตัวลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ใช้มือข้างหนึ่งยันพื้น หลบการโจมตีของโม่จุนได้อีกครั้ง

“ทำไม? ลอบโจมตีไม่สำเร็จ ยังมีหน้าทำต่ออีกหรือ?”

ร่างกายของโม่จุนแข็งทื่อ ใบหน้าเย็นชาดุจเหมันต์ มองลงไปยังมู่จิ่วซีที่อยู่บนพื้น ใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยการเย้ยหยันนั้น ทำให้ใจเขาเต้นแรง

ปฏิกิริยาและความเร็วของมู่จิ่วซีเหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นไปได้อย่างไร?

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป กะทันหันเกินไป ทุกคนกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปแล้ว

มู่จิ่วซีหลบการโจมตีของเซ่อเจิ้งอ๋องได้?

เย่อู๋เหิงก็ตกตะลึงอยู่ตรงนั้น มองมู่จิ่วซีอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

เห็นทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน บรรยากาศตึงเครียด เขารีบกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ ไม่ทราบว่าข้าน้อยจะมีวาสนาได้ประลองกับท่านสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?”

มู่จิ่วซีแค่นเสียงเย็นใส่โม่จุน จากนั้นก็ลุกขึ้น ขณะที่หันไปมองเย่อู๋เหิง บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้สิ ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

พูดจบก็วิ่งเข้าไปในห้องด้านใน

“เซ่อเจิ้งอ๋อง คุณหนูใหญ่เมื่อครู่...?” เย่อู๋เหิงมองไปยังโม่จุนที่สีหน้าย่ำแย่

โม่จุนพ่นลมหายใจออกทางจมูก ปรายตามองเย่อู๋เหิงด้วยสายตาเฉียบคม เดินอาดๆ ไปนั่งลงตรงตำแหน่งหลัก ดูท่าทางเหมือนเตรียมพร้อมที่จะดูการแสดง

เย่อู๋เหิงสีหน้ามืดมน ว่ากันว่าเซ่อเจิ้งอ๋องอารมณ์แปรปรวน ก็ไม่ผิดจริงๆ

ครู่ต่อมา มู่จิ่วซีในชุดรัดกุมสีเขียวเข้มก็เดินออกมา

รูปร่างสูงโปร่ง ส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ยืนเด่นเป็นสง่า

ใบหน้ารูปไข่เล็กๆ ขาวเนียนผุดผ่อง ดวงตาดำขลับเป็นประกาย ผมยาวถูกรวบเป็นหางม้า ทุกครั้งที่ขยับก็จะสะบัดไปมา ดูอ่อนเยาว์และน่ารัก

เมื่อก่อนเย่อู๋เหิงมักจะรู้สึกว่ามู่จิ่วซีหยิ่งยโส โอหังหยาบคาย เอาแต่ใจ แม้จะงดงามก็ไม่น่ามอง

แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปจริงๆ มู่จิ่วซีที่อยู่ตรงหน้าการกระทำดูคล่องแคล่วว่องไว สดใสและสง่าผ่าเผย ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

และดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาวของโม่จุนก็หดเล็กลงในทันที

“ใต้เท้าเย่ พวกเราไปประลองฝีมือกันที่ลานบ้านเถิด ยังไม่ต้องใช้กำลังภายในนะ”

เซลล์ทุกส่วนในร่างกายของมู่จิ่วซีกำลังร้องเรียก อยากออกกำลังกาย ฝึกฝน ต่อสู้ ทำภารกิจ สารพัดเรื่องเลย

นางมองข้ามเซ่อเจิ้งอ๋องที่นั่งอยู่อย่างสิ้นเชิง

“ได้ขอรับ คุณหนูใหญ่เชิญ” เย่อู๋เหิงยิ้มบางๆ อย่างสุภาพ

อันที่จริงเขาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้เซ่อเจิ้งอ๋อง ประกอบกับอยากรู้อยากเห็นว่ามู่จิ่วซีซ่อนความสามารถเอาไว้ หรือว่าเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ

แน่นอนว่าทุกคนรู้ดีว่าเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด เพียงแค่ต้องการสั่งสอนมู่จิ่วซีเท่านั้น

พลตระเวนและองครักษ์ต่างถอยออกไปด้านนอกลาน เหลือเพียงลู่เอ๋อร์ที่ตัวสั่นเทาขณะที่รินน้ำชาให้เซ่อเจิ้งอ๋อง เย่อู๋เหิง และมู่จิ่วซีทั้งสี่คน

มู่จิ่วซีร้องตะโกนออกมา คนก็พุ่งเข้าหาเย่อู๋เหิง พร้อมกับกระโดดขึ้นสูง เตะเข้าใส่เย่อู๋เหิง

เย่อู๋เหิงเอียงตัวหลบ มู่จิ่วซีเตะพลาด ร่างของนางเลยผ่านเย่อู๋เหิงไป แต่นางไม่ได้หันกลับมาทันที ทว่าหลังจากลงสู่พื้นแล้วก็ใช้ขาอีกข้างตวัดเข้ามา

เย่อู๋เหิงไม่คิดว่านางจะเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไวถึงเพียงนี้ หลบไม่ทัน จึงได้แต่ยกขาขึ้นป้องกัน

ขาทั้งสองข้างปะทะกัน ต่างฝ่ายต่างถอยหลังไปคนละก้าว

“อีกครั้ง” มู่จิ่วซีเริ่มเคยชินขึ้น ใบหน้างดงามแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น

ทั้งคนพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง สองมือจู่โจมเย่อู๋เหิงเหมือนเสือดำตะปบเหยื่อ ขณะเดียวกันนั้นเท้าก็ไม่ได้อยู่เฉย เตะออกไปอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของเย่อู๋เหิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบใช้สองมือป้องกัน ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องหลบลูกเตะของนาง ทำให้ดูทุลักทุเลเล็กน้อย

นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่สามารถใช้กำลังภายในได้ ความเร็วและพละกำลังล้วนไม่ได้เปรียบ ถูกมู่จิ่วซีโจมตีอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง ทำเอาเขาลนลานรับมือแทบไม่ทัน

โม่จุนไม่รู้ว่าเมื่อไรที่มายืนอยู่ใต้ชายคาแล้ว ดวงตาสีดำขลับจ้องมองการเคลื่อนไหวต่อเนื่องของมู่จิ่วซี ในใจก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

มู่จิ่วซีพลันถอยออกไป แล้วยิ้มกว้างให้เย่อู๋เหิงพลางเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าเย่ ท่านใช้กำลังภายในเถิด ไม่เช่นนั้นจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

เย่อู๋เหิงมองโม่จุนแวบหนึ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มขื่น ในใจนั้นมองมู่จิ่วซีด้วยความชื่นชมอย่างยิ่ง

อะไรคือไม่มีวิชาความรู้ ไม่มีความสามารถ โอหังเอาแต่ใจ โกหกทั้งเพน่ะสิ!

เขาไม่เคยเห็นใครที่ไม่ใช้กำลังภายในแล้วจะมีความเร็วขนาดนี้ แถมพละกำลังก็ไม่น้อย หากว่านางมีดาบกระบี่อยู่ในมือ เขาคงได้รับบาดเจ็บไปแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel