บทที่ 5
ลู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดของคุณหนูตนเอง บนใบหน้าก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รีบกระซิบว่า “คุณหนู นี่ นี่ไม่ค่อยดีกระมังเจ้าคะ”
มู่จิ่วซีมองไปทางเย่อู๋เหิง แต่ใบหน้างดงามกลับเย็นชาลงแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าเย่ พวกท่านทำสีหน้าอะไรกัน คิดจะบอกว่าคุณหนูอย่างข้าไร้ยางอายใช่หรือไม่? เพียงแต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย หากข้าไม่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง ภายหน้าก็ไม่รู้ว่าจะถูกผู้คนเล่าลือไปในทางใด หากท่านเป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าก็อาจจะระมัดระวังอยู่บ้าง แต่ท่านเป็นถึงผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ เป็นผู้ผดุงความยุติธรรมในใจประชาชน เมื่อเผชิญหน้ากับพยานบุคคล ยังจะต้องมาใส่ใจเรื่องพวกนี้อีกหรือ? ก็เหมือนกับสตรีที่เจ็บป่วย จะไม่ให้หมอที่เป็นบุรุษตรวจดูหรือ? ต้องปล่อยให้ป่วยตายไปอย่างนั้นหรือ?”
สายตาดูแคลนของมู่จิ่วซีทำให้ใบหน้าของเย่อู๋เหิงร้อนขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นเพราะคำพูดของนางแทงใจดำเขาจริงๆ
“เซ่อเจิ้งอ๋อง!” พลตระเวนคนหนึ่งที่อยู่นอกประตูอุทานออกมาด้วยความตกใจ
มู่จิ่วซีและเย่อู๋เหิงก็เห็นโม่จุนที่มีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ซ่านจากร่างและดวงตามืดมนเดินเข้ามา โดยที่มือทั้งสองข้างไพล่หลัง
“คารวะเซ่อเจิ้งอ๋อง” เย่อู๋เหิงรีบทำความเคารพ
“อรุณสวัสดิ์เซ่อเจิ้งอ๋อง” มู่จิ่วซีหัวเราะ “ท่านมาได้เหมาะเจาะจริงๆ ”
โม่จุนมองนางด้วยสายตาเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้ให้อันเย่นำคำพูดมาบอกข้าหรอกหรือว่า หากไม่ช่วยเจ้าตามหาฆาตกรตัวจริง ก็จะถอนหมั้นไม่ได้?”
“ถูกต้อง ในเมื่อทุกคนต่างมาเพื่อสืบสวนคดี เช่นนั้นก็ต้องขจัดข้อสงสัยที่ว่าข้ากระโดดลงทะเลสาบเองออกไปก่อน” มู่จิ่วซีแสดงสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
“พวกท่านดูให้ชัด รอยบนหลังของข้าไม่ใช่รอยธรรมดา เป็นรอยฝ่ามือของผู้ใหญ่ ดังนั้น คนที่ผลักข้าตกน้ำเป็นบุรุษ และมีพละกำลังไม่น้อย”
มู่จิ่วซีพูดจบก็หันหลังกลับไป เสื้อคลุมที่เตรียมไว้แล้วค่อยๆ หลุดลง เผยให้เห็นแผ่นหลังที่ขาวเนียน
พลตระเวนทั้งสี่คนหันหลังกลับไปตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาไหนเลยจะกล้าดู
แม้ว่าเย่อู๋เหิงจะกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะไม่ดู นี่คือหลักฐานในการสืบคดี เหมือนอย่างที่มู่จิ่วซีกล่าว หากเป็นเพราะเขาหลีกเลี่ยงที่จะดูเพราะความเกรงใจ จนทำให้หลักฐานหายไป ไม่สามารถล้างมลทินให้มู่จิ่วซีได้ นั่นก็เป็นความรับผิดชอบของเขา
โม่จุนหรี่ตาลงเล็กน้อย เพื่อการสืบคดี เขาก็จะดู แม้ว่าเขาจะไม่อยากมองสตรีผู้นี้เลยสักนิด รู้สึกว่าจะทำให้ดวงตาของเขาสกปรก
“ฝ่ามือทรายทมิฬ!” เย่อู๋เหิงเห็นแล้วก็ร้องอุทานออกมาทันที
“เป็นไปได้อย่างไร?” โม่จุนที่เพิ่งนั่งลงก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พุ่งตรงไปยังด้านหลังของมู่จิ่วซีอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่หนึ่งมองรอยฝ่ามือสีดำอมม่วงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ฝ่ามือทรายทมิฬอะไร? เหตุใดถึงเป็นไปไม่ได้?” มู่จิ่วซีไม่กล้าหันกลับไป ได้แต่หันหน้าไปมองบุรุษทั้งสองคน เพราะหน้าอกยังต้องปิดเอาไว้อย่างมิดชิด
“หากเป็นฝ่ามือทรายทมิฬ เหตุใดนางถึงยังมีชีวิตอยู่?” โม่จุนมองไปที่เย่อู๋เหิง
สีหน้าของเย่อู๋เหิงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เดินเข้าไปใกล้ๆ อีกหนึ่งก้าว จ้องมองรอยฝ่ามืออย่างละเอียด สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมองโม่จุน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “เซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าน้อยมั่นใจว่ารอยฝ่ามือนี้คือฝ่ามือทรายทมิฬอย่างแน่นอน!”
มู่จิ่วซีรีบสวมเสื้อคลุม จากนั้นหันกลับมา มองสีหน้าของบุรุษทั้งสองคน
เย่อู๋เหิงแสดงสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ส่วนโม่จุนก็แสดงสีหน้าลึกล้ำ
“ฝ่ามือทรายทมิฬที่รุนแรงถึงเพียงนี้ คุณหนูใหญ่มู่ยังสามารถรอดชีวิตมาได้ นับว่าเป็นปาฏิหาริย์” เย่อู๋เหิงกล่าวเสริมหนึ่งประโยค
มู่จิ่วซีหัวเราะเยาะในใจ เจ้าของร่างเดิมคงจะถูกตีจนตายคาที่แล้วถูกผลักลงไปในทะเลสาบ
ส่วนวิญญาณของตนเองก็ข้ามเวลามา จึงฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง ด้านหลังเจ็บปวดมากจริงๆ แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าฝ่ามือนี้จะร้ายกาจถึงเพียงนี้
“ดูเหมือนว่าคุณหนูอย่างข้าจะวาสนาดี ดวงแข็ง” มู่จิ่วซีแสร้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“คุณหนูใหญ่มู่ ท่านไม่รู้สึกเจ็บหรือ?” เย่อู๋เหิงเอ่ยถามด้วยความอึดอัดเล็กน้อย
มู่จิ่วซีพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าเจ็บ เมื่อคืนนอนคว่ำได้อย่างเดียว เช้านี้ตื่นขึ้นมาถึงจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก”
“รอยฝ่ามือที่รุนแรงเช่นนี้ สามารถทำให้เส้นชีพจรหัวใจของเจ้าขาดได้” ในดวงตาสีดำขลับของโม่จุนมีประกายแสงวูบไหว มองมู่จิ่วซีราวกับมองเห็นสัตว์ประหลาด
“ท่านหมายความว่าอย่างไร? อยากให้ข้าตาย จะได้ไม่ต้องแต่งงานกับข้าอย่างนั้นหรือ? โม่จุน ที่ว่าท่านขาดศีลธรรมทั้งห้า ก็ไม่ได้พูดผิดจริงๆ เหตุใดท่านถึงชั่วร้ายขนาดนี้? ไม่แต่งก็คือไม่แต่ง จำเป็นต้องมาแช่งข้าเช่นนี้หรือ? ใจแคบจริงๆ !”
มู่จิ่วซีรู้สึกไม่ชอบหน้าบุรุษผู้นี้จริงๆ ทำเหมือนว่าอยากให้นางตายไปเสีย
สีหน้าบนใบหน้าหล่อเหลาของเย่อู๋เหิงนั้นช่างหลากหลายอารมณ์ รู้สึกว่าตอนนี้ตนเองเป็นส่วนเกินหรือไม่?
แต่ก็ได้เห็นความปากกล้าและโอหังของมู่จิ่วซีอย่างแท้จริง แม้แต่เซ่อเจิ้งอ๋องที่โหดเหี้ยมเย็นชาในสายตาคนนอก นางยังกล้าด่าโดยเรียกชื่อเต็มยศ
“มู่จิ่วซี!” โม่จุนกัดฟันกรอด “ข้าเพียงแค่กำลังวิเคราะห์ตามปกติเท่านั้น!”
“เชอะ” มู่จิ่วซีกลอกตาใส่เขา
“ความจริงก็คือข้ายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกท่านต้องตามหาฆาตกรคนนี้ให้เจอให้ได้ ฝ่ามือทรายทมิฬใช่หรือไม่ รอหาเจอเมื่อไร ข้าจะให้เขาลองฝ่ามือยูไลบ้าง!” มู่จิ่วซีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ฝ่ามือยูไล?” เย่อู๋เหิงตาเป็นประกาย ท่าทางอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก “คุณหนูใหญ่มีวรยุทธ์หรือ?”
“ใต้เท้าเย่ ท่านพ่อข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ ข้าเก่งทั้งบุ๋นและบู๊มันก็ปกติมิใช่หรือ?” มู่จิ่วซีกล่าวอย่างไม่พอใจ “ดูถูกใครกัน?”
“เก่งทั้งบุ๋นและบู๊? เจ้าหรือ?” โม่จุนหัวเราะออกมาทันที เพียงแต่เสียงหัวเราะนี้ช่างเย้ยหยันเสียจริง
มู่จิ่วซีมองเขาแล้วก็แค่นเสียงเย็น เอ่ยขึ้นว่า “พวกท่านก็อายุมากแล้ว วันๆ เอาแต่เชื่อข่าวลือ วิสัยทัศน์คับแคบ ย่อมไม่รู้ข้อดีของข้า เอาเถิด ข้าก็ไม่อยากจะถือสาพวกท่าน หลักฐานพวกท่านก็เห็นกันหมดแล้ว น่าจะยืนยันได้แล้วกระมังว่าข้าถูกใส่ร้าย?”
มุมปากของเย่อู๋เหิงกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็ประสานมือแล้วกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยต้องขออภัยสำหรับความไม่เป็นมืออาชีพเมื่อครู่ หลักฐานนี้สำคัญมากจริงๆ คุณหนูใหญ่เป็นผู้ถูกกระทำอย่างแน่นอน เช่นนั้นหมอหลวงเวินก็น่าจะถูกคนผู้นี้ลงมือเช่นกัน”
มู่จิ่วซีพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าเย่โปรดจำไว้ ชีวิตคนสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด อย่าได้ยึดติดกับธรรมเนียมเก่าๆ มากเกินไป จนสุดท้ายกลายเป็นคดีที่ไม่เป็นธรรม”
เย่อู๋เหิงเหงื่อตก จากนั้นก็ประสานมืออย่างนอบน้อมแล้วกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่สั่งสอนได้ถูกต้อง ข้าน้อยน้อมรับคำสอน”
โม่จุนจ้องมองใบหน้างดงามที่ดูเหมือนจะเปล่งประกายความมั่นใจและน่าเกรงขามของมู่จิ่วซี รู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์
คิดในใจว่า หรือว่าสิ่งที่คนภายนอกพูดถึงมู่จิ่วซีจะไม่เป็นความจริง?
“เช่นนั้นฆาตกรที่ใช้ฝ่ามือทรายทมิฬผู้นี้เป็นใคร?”
มู่จิ่วซีก็อยากรู้เช่นกันว่าใครกันแน่ที่ต้องการสังหารเจ้าของร่างเดิม? จะเป็นพระชายาสาม หรือคุณหนูใหญ่ไป๋ฉิงแห่งจวนเฉิงเซี่ยงหรือไม่
เย่อู๋เหิงและโม่จุนสบตากัน
“ฝ่ามือทรายทมิฬนั้นร้ายกาจไร้เทียมทาน ฝึกฝนได้ยาก ไม่ใช่คนทั่วไปจะฝึกได้ เกรงว่าจะเป็นคนจากยุทธภพ” เย่อู๋เหิงวิเคราะห์
“น่าจะมีคนจ้างวานมือสังหารจากหอดาวจันทร์” โม่จุนกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ
เย่อู๋เหิงก็พยักหน้าตาม
“หอดาวจันทร์? มือสังหาร?” มู่จิ่วซีตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ที่แท้ที่นี่ก็มีอาชีพเก่าของนางด้วย!
บุรุษทั้งสองมองสีหน้าตื่นเต้นเล็กๆ ของมู่จิ่วซีด้วยความประหลาดใจ สตรีผู้นี้สมองไม่ปกติจริงๆ ใช่หรือไม่
“มีความเป็นไปได้สูง แต่จะจับตัวคนร้ายไม่ยาก ในเมื่อตอนนี้เจ้ายังไม่ตาย มือสังหารจะต้องกลับมาอีกแน่นอน”
โม่จุนกล่าวพลางเหลือบมองมู่จิ่วซีอย่างเฉยเมย เพียงแต่ในดวงตามีแววสะใจเล็กน้อยที่ยากจะสังเกตเห็น
เย่อู๋เหิงมองเซ่อเจิ้งอ๋องแวบหนึ่ง คิดในใจว่าเซ่อเจิ้งอ๋องเกลียดชังการแต่งงานครั้งนี้มากเพียงใด
มู่จิ่วซีตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นกลับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขมาก
