บท
ตั้งค่า

บทที่ 12

มู่จิ่วซีตกตะลึง จากนั้นก็กล่าวด้วยความขบขัน “เซ่อเจิ้งอ๋อง บอกว่าท่านโง่ ท่านก็ยังไม่ยอมรับ ข้าจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับข้า ข้าก็แค่สงสัยเท่านั้น”

“หากคนผู้นี้เจ้ารู้จักเล่า?” โม่จุนเกือบจะโกรธอีกครั้ง

“ท่านไม่บอกข้าก็จะถือว่าไม่รู้จักก็แล้วกัน ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย” มู่จิ่วซีคิดในใจว่า ยอมให้คนหน้าตายอย่างท่านมาบงการ ช่างเป็นเรื่องเพ้อฝันจริงๆ

“เจ้าไม่สงสัยหรือ?” โม่จุนกระตุกมุมปากแล้วเอ่ยขึ้น

“ความอยากรู้อยากเห็นอาจทำให้ตายได้ ข้ายังไม่อยากตาย, หากท่านไม่รู้จักพิษชนิดนี้ ก็ถือว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกัน” มู่จิ่วซีเบ้ปาก ท่าทางไม่ใส่ใจ

“มู่จิ่วซี เจ้าไม่เหมือนกับข่าวลือภายนอกเลย” โม่จุนจำต้องยอมรับเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ถึงแม้ทั้งสองจะรู้จักกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก ไม่ได้รู้จักกันอย่างแท้จริง

ความเข้าใจของเขาที่มีต่อนางล้วนมาจากที่คนอื่นพูด จากข่าวลือภายนอก

“ปากคนอื่น พวกเขาอยากจะพูดอย่างไร ข้าก็ทำอะไรไม่ได้มิใช่หรือ? เซ่อเจิ้งอ๋อง คำโบราณล้วนกล่าวว่า ‘ สิ่งที่หูได้ยินอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น’ ‘อ่านหนังสือหมื่นเล่ม ไม่เท่าเดินทางไกลหมื่นลี้’ ท่านเชื่อข่าวลือภายนอกง่ายดายเช่นนี้ แล้วรบชนะมาได้อย่างไรกัน?”

มู่จิ่วซีทำท่าทางดูถูกเขา ทั้งยังส่ายหน้าอย่างระอา

“ถึงแม้ข่าวลืออาจจะเกินจริง แต่เจ้าก็น่ารังเกียจจริงๆ !” โม่จุนโกรธไม่น้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ก็ดีแล้ว อย่างไรเสีย หลังจากพวกเราถอนหมั้นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว มิเช่นนั้นท่านคงจะคิดว่าข้าชอบท่านมากกระมัง อันที่จริงแค่ท่านทำหน้าตายทุกวัน ข้าก็คงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว”

“ปากของเจ้าสักวันจะต้องนำภัยมาสู่ตัว!” ความโกรธในใจของโม่จุนถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง

เขารู้สึกจริงๆ ว่าต่อหน้าสตรีผู้นี้ เซ่อเจิ้งอ๋องผู้สุขุมเยือกเย็นอย่างเขา ก็ยังถูกทำให้โกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

“เช่นนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องก็ไม่ต้องกังวล” มู่จิ่วซีพิงหลังกับรถม้าแล้วหลับตาลง

โม่จุนโกรธจนไม่อยากพูดอะไร บรรยากาศภายในรถม้าเย็นยะเยือก ได้ยินเพียงเสียงล้อรถด้านนอก

“พิษเรื้อรังที่เจ้าพูดถึง คือมารดาของเจ้าถูกวางยาพิษหรือ?” โม่จุนคิดทบทวนอยู่หลายรอบ ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาเอง

มู่จิ่วซีลืมตาขึ้นมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านได้ยินที่ข้าคุยกับท่านพ่อด้วยหรือ?”

“ระยะทางแค่นี้ไม่ได้ไกลเลย” โม่จุนเลิกคิ้วขึ้น “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะฟัง”

“ข้าจะต้องเรียนรู้วิชากำลังภายในให้ได้!” มู่จิ่วซีกัดฟันกล่าว

“วิชากำลังภายในไม่ใช่สิ่งที่สำเร็จได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ข้าเริ่มเรียนตั้งแต่อายุห้าขวบ เจ้าเริ่มตอนนี้เกรงว่าจะสายไปแล้ว”

มู่จิ่วซีก็รู้เรื่องนี้ แต่นางก็เอ่ยขึ้นทันที “ข้ารู้ แต่ข้าก็ได้ยินมาว่าเริ่มเรียนช้าก็ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญคือสามารถทะลวงเส้นลมปราณเริ่นและส้นลมปราณตูทั้งสองเส้นได้ กำลังภายในก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง ตอนที่ข้าอายุสิบขวบก็ทะลวงเส้นลมปราณเริ่นตูได้แล้ว แต่บางคนก็ไม่สามารถทะลวงได้ตลอดชีวิต ยิ่งอายุมาก โอกาสก็ยิ่งน้อย นอกจากจะมีของวิเศษจากสวรรค์ หรือผู้มีวรยุทธ์สูงส่งช่วยเหลือ”

มู่จิ่วซีเผยรอยยิ้มออกมาทันที “ขอบคุณที่ไขข้อข้องใจ ข้าจะต้องทะลวงเส้นลมปราณเริ่นตูให้ได้ แต่ก่อนอื่นข้าต้องมีวิชาดีๆ หากไม่ได้จากท่าน ข้าก็คงต้องใช้ของตระกูลมู่แล้ว”

“เคล็ดวิชากำลังภายในของตระกูลมู่ก็ดีมาก ดูจากท่านพ่อของเจ้าก็รู้แล้ว” โม่จุนพูดความจริง

“ข้ารู้ เพียงแต่ฝีมือของท่านสูงกว่าท่านพ่อของข้า” มู่จิ่วซียิ้มพลางเอ่ยขึ้น “จริงสิ ฝีมือของเย่อู๋เหิงสูงกว่าท่านหรือไม่?”

โม่จุนชะงักไป สายตาของเขาลึกล้ำพลางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“เข้าใจแล้ว ท่านคือเทพสงครามอันดับหนึ่ง ย่อมแข็งแกร่งที่สุด” มู่จิ่วซีเบ้ปาก

โม่จุนไม่พูดอะไร ถือว่าเป็นการยอมรับ ในใจยังแอบรู้สึกยินดีเล็กน้อย อย่างน้อยก็มีเรื่องที่ทำให้สตรีผู้นี้นับถือได้

“หากเจ้าต้องการสิ่งที่ดีที่สุดจริงๆ ข้ายังสามารถบอกเจ้าได้อีกเรื่องหนึ่ง”

“โอ้? ยังมีสิ่งที่ดีที่สุด ดีกว่าของท่านอีกหรือ?”

“สูสีกันกระมัง เจ้าสำนักหอดาวจันทร์” โม่จุนกล่าวอย่างเรียบเฉย

มู่จิ่วซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าสำนักหอดาวจันทร์? จิ้งจอกสีม่วงในตำนานที่ลึกลับยากที่จะพบเจอหรือ?”

โม่จุนพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “หกแคว้นล้วนมีหอดาวจันทร์ พลังฝีมือของเจ้าสำนักย่อมไม่อาจดูแคลน”

มู่จิ่วซีพลันยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านพูดก็เหมือนไม่ได้พูด จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เช่นนี้ ข้าจะไปหาเขาเจอได้อย่างไร”

“บังเอิญมาก ช่วงนี้เขามาที่หอดาวจันทร์ของแคว้นเรา” โม่จุนหรี่ตาลง

มู่จิ่วซีใจเต้น มองเขาด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย “โม่จุน พูดตามตรง หอดาวจันทร์เก่งกาจขนาดนี้ ท่านในฐานะเซ่อเจิ้งอ๋องแห่งแคว้นเกาหยุนไม่รู้สึกว่าอันตรายหรือ?”

โม่จุนมองดวงตากลมโตที่มีชีวิตชีวาและเจ้าเล่ห์ของนางอย่างลึกซึ้งโดยไม่พูดอะไร

“ฮ่าๆๆ ไม่พูดก็ไม่พูด แต่ข้าสงสัยในแรงจูงใจที่ท่านบอกข้า” มู่จิ่วซียิ้มกว้าง

“ช่วงนี้เจ้าสำนักหอดาวจันทร์เหมือนจะกำลังรับศิษย์” โม่จุนกล่าวอย่างเรียบเฉย “แต่ก็อาจจะเป็นแค่ฉากบังหน้าก็ได้”

มู่จิ่วซีตกตะลึง “ท่านหมายความว่าหากข้าได้เป็นศิษย์ของเจ้าสำนักหอดาวจันทร์ ก็มีโอกาสที่จะได้เคล็ดวิชากำลังภายในของเขา?”

“มีความเป็นไปได้” โม่จุนพูดจบก็หันมองไปยังนอกม่าน

มู่จิ่วซีเห็นท่าทางของเขา ในใจก็คิดวนเวียนไปมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

ด้วยความบาดหมางระหว่างนางกับโม่จุน เขาไม่มีทางหวังดีเช่นนี้แน่นอน

“ไม่เลว ข้าจะลองพิจารณาดู” มู่จิ่วซียิ้มเล็กน้อย “หากได้มีความสัมพันธ์กับหอดาวจันทร์จริงๆ ต่อไปข้าไม่ชอบหน้าใคร ก็สามารถเรียกมือสังหารไปลอบฆ่าได้”

โม่จุนหันกลับมามองนาง ใบหน้าหล่อเหลาแสดงสีหน้าจนใจต่อความคิดของมู่จิ่วซี

ความคิดของสตรีผู้นี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ

รถม้าชะลอความเร็วลง เสียงของอันเย่ดังขึ้น “ท่านอ๋อง ถึงศาลต้าหลี่แล้วขอรับ”

ไม่นาน ทั้งสองคนก็ลงจากรถม้า แล้วเข้าไปในศาลต้าหลี่โดยตรง

เย่อู๋เหิงรอพวกเขาอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากที่ทักทายกันเล็กน้อย ก็พาพวกเขาเข้าไปในห้องลงทัณฑ์

ภายในห้องลงทัณฑ์ที่กว้างขวางและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คนผู้หนึ่งถูกเฆี่ยนจนเนื้อหนังแตกแล้วแขวนอยู่บนเสาไม้

“ฉีฝ้าง! คุณหนูใหญ่มู่มาแล้ว!” เย่อู๋เหิงตะโกนใส่นักโทษ

ผู้คุมที่อยู่ข้างๆ ก็สาดน้ำหนึ่งถังใส่นักโทษ

ฉีฝ้างค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ในปากยังมีเลือดไหลออกมา ดวงตาเล็กๆ คู่นั้นมองไปที่มู่จิ่วซี

มู่จิ่วซีขมวดคิ้วเดินเข้าไปมองเขาใกล้ๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ข้ามั่นใจว่าข้าไม่เคยเห็นฉีฝ้างผู้นี้มาก่อน”

ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมไม่มีคนผู้นี้

“คุณหนูใหญ่มู่ ฮ่าๆๆ ...” ฉีฝ้างเห็นมู่จิ่วซีก็หัวเราะออกมา เพียงแต่เสียงหัวเราะนี้แสบแก้วหูยิ่งนัก

“เจ้าเป็นใครกันแน่? ข้ากับเจ้ามีเรื่องบาดหมางอะไรกัน?” มู่จิ่วซีหัวเราะเยาะพลางเอ่ยขึ้น “หรือว่าเจ้าไม่อยากจะบอกว่าใครคือผู้บงการอยู่เบื้องหลังเจ้า?”

“ไม่มีผู้บงการ ข้าแค่อยากให้เจ้าตาย อยากให้เจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียง!” ฉีฝ้างตะโกนขึ้นมาในทันที โซ่ตรวนที่มือและเท้าก็ส่งเสียงดัง

“โอ้? เช่นนั้นเจ้าก็บอกมา ข้าทำอะไรเจ้า ถึงทำให้เจ้ามีความแค้นต่อข้ามากมายถึงเพียงนี้?” มู่จิ่วซียกมือขึ้นกอดอกมองเขา

ท่าทางของมู่จิ่วซีที่ไม่กลัวห้องลงทัณฑ์และไม่กลัวนักโทษเลยแม้แต่น้อย ทำให้โม่จุนและเย่อู๋เหิงรู้สึกแปลกใจ รู้สึกเหมือนนางจะคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้มาก

“เจ้า เจ้ามันพวกมากตัณหา เหลาะแหละหลายใจ ทรมานจนน้องชายข้าตาย” ฉีฝ้างตะโกนด้วยความโกรธ

“ฮ่าๆๆ ” มู่จิ่วซีตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา

จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ฉีฝ้างแล้วเอ่ยขึ้น “ฉีฝ้าง เจ้าโกหกไม่เป็นเลย เช่นนั้นข้าก็ขี้เกียจจะฟังแล้ว ไม่อยากจะบอกว่าใครคือผู้บงการใช่หรือไม่? ในเมื่อข้ามาแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูด!”

ขณะพูดมู่จิ่วซีก็เดินไปยังเครื่องมือทรมานสีเลือดที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ซึ่งอยู่ข้างๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel