บท
ตั้งค่า

บทที่ 13

เย่อู๋เหิงและโม่จุนสบตากัน ในดวงตาของทั้งสองต่างมีความตกตะลึง

สตรีผู้นี้คิดจะลงมือทรมานเพื่อเค้นความจริงเองหรือ?

เรื่องนองเลือดเช่นนี้ นางไม่กลัวหรือ?

มู่จิ่วซีเห็นดาบจันทร์เสี้ยวที่คมกริบเล่มหนึ่ง ในใจก็ยินดี หยิบขึ้นมาเล่นในทันที ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ของสิ่งนี้ใช้ได้ถนัดมือจริงๆ

กลับไปจะต้องหามาไว้สักอันเพื่อป้องกันตัว หากปาดคอจะต้องสำเร็จในดาบเดียวแน่นอน

หลังจากวางลง ก็หยิบเหล็กแหลมยาวๆ เล็กๆ ขึ้นมา

จากนั้น นางก็เดินกลับไปอยู่ตรงหน้าฉีฝ้างอย่างช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา มุมปากเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายอย่างยิ่ง

“นังคนชั้นต่ำ คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะบังคับให้ข้ารับสารภาพได้หรือ? ฝันไปเถอะ!” ฉีฝ้างถ่มน้ำลายใส่มู่จิ่วซี

มู่จิ่วซีเอียงตัวหลบได้อย่างง่ายดาย น้ำลายปนเลือดตกลงบนพื้น ดูน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง

“คุณหนูใหญ่ หรือว่าจะให้ข้าน้อยทำขอรับ?” ผู้คุมที่สาดน้ำรีบเดินเข้าไปถาม

มู่จิ่วซีส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าทำร้ายคนจนเป็นแบบนี้ก็ยังไม่ยอมรับสารภาพ แสดงว่าวิธีการไม่ถูกต้อง ข้าต้องหาวิธีใหม่ๆ มาจัดการกับเขาถึงจะถูก”

ระหว่างที่พูด นางก็หยิบเหล็กแหลมยาวขึ้นมาแทงเข้าไปที่กลางข้อศอกขวาของเขาในทันที

“อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของฉีฝ้าง

หลายคนเห็นมู่จิ่วซีแทงเหล็กแหลมยาวเข้าไปในข้อศอกของฉีฝ้างอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้แทงทะลุ เมื่อเข้าไปในเนื้อแล้วก็เปลี่ยนทิศทางขึ้นด้านบน

“ฝ่ามือลอบสังหารใช่หรือไม่ ต่อไปก็จะไม่มีอีกแล้ว” มู่จิ่วซีแสยะยิ้ม มองเลือดที่พุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง นางไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย

ความเจ็บปวดรุนแรงอย่างต่อเนื่องผสมกับความปวดเมื่อยและปวดแสบปวดร้อน ทำให้ฉีฝ้างดิ้นรนสุดชีวิต โซ่ตรวนก็ส่งเสียงดัง

“อาหารเรียกน้ำย่อยเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่จิ่วซีดึงเหล็กแหลมออก แล้วหันไปที่ขาของเขา “แทงที่ขาจะสะใจกว่านะ”

พูดจบ เหล็กแหลมก็แทงเข้าไปในกล้ามเนื้อต้นขาอย่างรวดเร็ว เลื่อนลงอย่างรวดเร็วสู่บริเวณหัวเข่า ราวกับจะแทงเข้าไปในกระดูกหัวเข่า

ความหวาดกลัวจากการถูกแทงซ้ำไปซ้ำมา และความปวดเมื่อยเจ็บแปลบของเนื้อ เจ็บปวดยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายจริงๆ เสียอีก

“จะพูดหรือไม่? ไม่พูดข้าก็มีวิธีทรมานเจ้าอีกนับไม่ถ้วน ทำให้เจ้าอยากมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ อยากตายก็ไม่ได้” มู่จิ่วซีกล่าวด้วยสายตาเย็นชา

“ฝันไปเถอะ!” ฉีฝ้างกัดฟันจนในปากเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาเบิกกว้าง เส้นเลือดปูดโปน

“ดีมาก เช่นนั้นข้าทำต่อ” มู่จิ่วซีดึงเหล็กแหลมออกอีกครั้ง จากนั้นเดินไปด้านหลังของเขา แทงเข้าไปที่จุดฝังเข็มจุดหนึ่งของเขาโดยตรง

“อ๊าก ฮ่าๆ ฮ่าๆ ...อ๊าก...ฮ่าๆๆ ...” ฉีฝ้างตัวสั่นเทิ้ม ส่งเสียงที่น่าขนลุกอย่างยิ่งออกมา เดี๋ยวร้องเดี๋ยวหัวเราะ น้ำตา น้ำมูก และเลือดปะปนกันไหลออกมาจากตัวเขา

ร่างกายถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา โซ่ตรวนเสียดสีกันจนเกิดเสียงดัง เลือดนองเต็มพื้น สุดท้ายฉีฝ้างก็เอียงศีรษะแล้วสลบไป

“ประเมินเจ้าสูงไป” มู่จิ่วซีเห็นคนสลบ ก็เดินไปด้านหน้าอย่างขบขัน จากนั้นก็แทงเหล็กแหลมเข้าไปที่ตำแหน่งหน้าอกของเขา แทงทะลุเข้าไปโดยตรง

“อ๊าก!” ฉีฝ้างตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวดในทันที เห็นเหล็กแหลมในมือของมู่จิ่วซีแทงอยู่ที่หน้าอก ในดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ในไม่ช้าสีหน้าของเขาก็ดูเหมือนจะพ้นทุกข์แล้ว

“เจ้าคิดว่าเจ้าจะตายหรือ?” มู่จิ่วซีกล่าวอย่างขบขัน “ไม่หรอก ข้าไม่ได้แทงหัวใจเจ้า แค่อยากจะขูดกระดูกซี่โครงของเจ้าเท่านั้น”

ขณะพูด นางก็เริ่มดึงเหล็กแหลมเข้าออก ตรงนั้นเป็นกระดูกซี่โครงพอดี เสียงที่ดังออกมาเปรียบเสมือนเสียงจากนรก

สีหน้าของโม่จุนและเย่อู๋เหิงต่างเปลี่ยนเป็นซีดเผือด แม้กระทั่งในกระเพาะอาหารยังรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมา

วิธีการที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ของมู่จิ่วซี ทำให้พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อ

นี่มันโหดยิ่งกว่าเพชฌฆาตเสียอีก

เป็นไปได้อย่างไรกัน?

บุรุษทั้งสองรู้สึกสงสัยอย่างมากอีกครั้งว่าข่าวลือภายนอกที่เกี่ยวกับมู่จิ่วซีนั้น เป็นเพียงแค่ความเหลวไหลและเอาแต่ใจจริงหรือ

เรื่องที่โหดเหี้ยมอำมหิตก็ยังไม่กะพริบตาเช่นนี้ ต่อให้เป็นบุรุษก็ยังยากที่จะทำได้

“อย่าสลบนะ สลบไปก็ต้องตื่นขึ้นมาอีก จะทำไปทำไมกัน เสียงนี้ไพเราะหรือไม่?” มู่จิ่วซีจ้องมองฉีฝ้างที่หวาดกลัวจนตาเหลือกแล้วดึงเหล็กแหลมต่อไป

เสียง “เอี๊ยดอ๊าด” ทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ยิ่งไปกว่านั้น หน้าอกของฉีฝ้างยังโชกไปด้วยเลือด แดงฉานไปหมด ราวกับผีร้ายอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้า นางปีศาจ...” ฉีฝ้างเจ็บปวดจนบิดเบี้ยว ปากของตัวเองก็กัดจนเบี้ยว พูดก็ไม่ชัด

แต่ความหวาดกลัวในใจทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียดน่ากลัว มองมู่จิ่วซีราวกับมองปีศาจร้าย

“อยู่ในมือข้า เจ้าอยากตายก็ตายไม่ได้ สู้รับสารภาพเสียดีกว่า รับสารภาพแล้วข้าจะให้ศพเจ้ายังคงอยู่ครบ อย่างไรเสีย เจ้าอยู่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว” มู่จิ่วซีกล่าว “แต่หากไม่รับสารภาพ ภายในร้อยวัน เจ้าก็จะได้ยินเสียงนี้ทุกวัน”

พูดจบก็มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นอีกครั้ง

“อ๊ากกก!” ฉีฝ้างหวาดกลัวจนถึงที่สุด “ข้าพูด ข้าจะพูด”

โม่จุนและเย่อู๋เหิงมองหน้ากัน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉีฝ้างคนที่ดื้อรั้นเช่นนี้จะยอมรับสารภาพจริงๆ

เย่อู๋เหิงคิดในใจว่า ต่อไปวิธีการทรมานของศาลต้าหลี่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อีกมาก

“ปะ เป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีไฝดำที่คางมาว่าจ้างที่หอดาวจันทร์ เหมือนจะแซ่เซียว อย่างอื่นข้าไม่รู้อะไรแล้วจริงๆ โปรดให้ข้าตายอย่างสงบเถอะ”

ฉีฝ้างมองมู่จิ่วซีอย่างวิงวอน

มู่จิ่วซีหันไปมองโม่จุนและเย่อู๋เหิง เห็นใบหน้าหล่อเหลาของทั้งสองคนเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

“บุรุษวัยกลางคนผู้แซ่เซียว มีไฝดำที่คาง ไม่น่าจะหายากกระมัง?” มู่จิ่วซีเอ่ยถาม

“ข้ารู้ว่าเป็นใคร” ดวงตาของโม่จุนเต็มไปด้วยความเยือกเย็น จากนั้นกำหมัดแน่น

“ดี ให้เขาตายโดยศพสมบูรณ์” มู่จิ่วซีแทงเหล็กแหลมเข้าไปในหัวใจของฉีฝ้างในทันที

ฉีฝ้างมองนางด้วยความหวาดกลัว แต่กลับค่อยๆ เผยรอยยิ้มราวกับหลุดพ้นออกมา

“คุณหนูใหญ่มู่!” เย่อู๋เหิงรีบเอ่ยขึ้น “เขาจะตายไม่ได้นะขอรับ!”

“ท่านอยากให้เขาชี้ตัวผู้แซ่เซียวคนนั้นหรือ?” มู่จิ่วซีโยนเหล็กแหลมทิ้ง เดินไปที่อ่างเล็กๆ ที่อยู่ด้านหน้าอ่างน้ำขนาดใหญ่แล้วล้างมือ

ผู้คุมรีบนำผ้าสะอาดมาให้อย่างนอบน้อม

เย่อู๋เหิงมองโม่จุนแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ถูกต้อง มิเช่นนั้นต่อให้จับตัวได้ หากไม่ยอมรับสารภาพจะทำอย่างไร?”

“รู้ว่าเป็นใครแล้วก็จะไม่มีเรื่องไม่ยอมรับสารภาพ หากไม่ยอมรับก็สามารถทำให้เขายอมรับได้” มู่จิ่วซีไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย นางสนใจเพียงแค่ว่าใครกันแน่ที่ต้องการจะฆ่าเจ้าของร่างเดิม

แซ่เซียว ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือคนของพระชายาสามเซียวหลิงเยว่

ตอนนั้นตระกูลเซียวติดตามท่านอ๋องสามก่อกบฏ ถูกประหารทั้งตระกูล แต่ได้ยินมาว่ายังมีคนที่รู้ล่วงหน้าแล้วหนีไปได้

“เซ่อเจิ้งอ๋อง คนร้ายตัวจริงข้าเป็นคนจับ หรือว่าท่านจะเป็นคนจับ?” มู่จิ่วซีจ้องโม่จุนแล้วเอ่ยถาม

“ข้าจะให้คำอธิบายแก่เจ้า” โม่จุนพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป

“ใต้เท้าเย่ คนแซ่เซียวผู้นั้นเป็นฆาตกร ท่านต้องคอยติดตามเซ่อเจิ้งอ๋องเพื่อเอาตัวมาให้ได้นะ” มู่จิ่วซีตะโกนตามหลังโม่จุนไป

มุมปากของเย่อู๋เหิงกระตุก มองประกายเจ้าเล่ห์ในดวงตาของมู่จิ่วซี

“คุณหนูใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ว่าคนร้ายตัวจริงคือใครขอรับ?”

“ท่านรู้หรือไม่?” มู่จิ่วซีถามกลับ

สีหน้าของเย่อู๋เหิงค่อนข้างเคร่งเครียด จ้องมองดวงตากลมโตของนาง ไม่รู้ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี

“เอาเถอะ เซ่อเจิ้งอ๋องจะให้คำอธิบายแก่พวกเรามิใช่หรือ?”

เย่อู๋เหิงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขารู้สึกว่ามู่จิ่วซีสตรีผู้นี้ช่างแตกต่างจากที่เขาคิดไว้มากจริงๆ

“ใต้เท้าเย่วางใจเถิด เซ่อเจิ้งอ๋องจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจเช่นกัน” มู่จิ่วซีพูดจบก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าไปก่อน ยังต้องไปที่ตำหนักไทเฮาเพื่อถอนหมั้น”

“คุณหนูใหญ่ ท่านดูเหมือนจะดีใจมากที่ถอนหมั้น?” เย่อู๋เหิงมองมู่จิ่วซีไม่ออกแล้ว

“แน่นอนว่าดีใจ ยังต้องไปดื่มเหล้าฉลองที่ข้าได้รับอิสรภาพคืนมา ฮ่าๆๆ ” มู่จิ่วซีเดินออกไปพลางโบกมือให้เขา

เย่อู๋เหิงยืนอยู่ที่เดิม มองท่าทางที่สง่าผ่าเผยของนางอยู่นานก็ยังไม่ได้สติกลับมา

“ใต้เท้า คุณหนูใหญ่มู่น่ากลัวมากขอรับ...” ผู้คุมที่อยู่ข้างๆ เห็นเย่อู๋เหิงไม่ขยับ ก็พึมพำออกมาเบาๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel