บท
ตั้งค่า

บทที่ 11

โม่จุนจ้องนางอย่างไม่สบอารมณ์แล้วกล่าวว่า “มู่จิ่วซี นอกจากปากเก่งแล้วเจ้ายังจะทำอะไรเป็นอีก? ข้ายังพูดไม่จบ!”

มู่จิ่วซีถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง รีบยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้แล้วเอ่ยขึ้น “โอเคๆ ข้าผิดเอง ท่านยังอยากจะพูดอะไรอีก?”

โม่จุนขมวดคิ้วแน่นขึ้น อะไรคือโอเคๆ กัน? พิลึกพิลั่น สตรีผู้นี้ป่วยจริงๆ

มู่เทียนซิงเหลือบมองบุตรสาวแวบหนึ่ง ก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน ทั้งสามคนเดินไปยังห้องหนังสือที่เรือนด้านหน้า

“มู่จิ่วซี ต่อหน้าบิดาของเจ้า พวกเรามาพูดเรื่องเงื่อนไขการถอนหมั้นกันอีกครั้ง” โม่จุนกล่าวหลังจากนั่งลงแล้ว

มู่จิ่วซีรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงพยักหน้า

“ได้ ท่านพ่อ เงื่อนไขการถอนหมั้นที่ข้าตกลงกับเซ่อเจิ้งอ๋องก็คือ หาคนร้ายตัวจริงที่ผลักข้าตกน้ำและฆ่าหมอหลวงเวินให้เจอ หากหาไม่เจอ ก็ให้เขาสอนเคล็ดวิชากำลังภายในให้ข้า หากทำไม่ได้ทั้งสองอย่าง เขาก็ต้องแต่งงานกับข้า”

มุมปากของโม่จุนกระตุกเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับมู่เทียนซิงว่า “ท่านแม่ทัพมู่ ท่านได้ยินชัดเจนแล้ว? ข้าเพียงทำตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งสำเร็จ ก็สามารถถอนหมั้นได้ และเรื่องการถอนหมั้นนี้พวกท่านจะต้องไปทูลเกลี้ยกล่อมไทเฮาเอง”

“ไม่ถูกนี่ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้พูดว่าพวกเราจะต้องไปเกลี้ยกล่อมไทเฮานี่” มู่จิ่วซีเอ่ยขึ้นทันที

บรรยากาศรอบตัวของโม่จุนพลันเย็นเยียบขึ้นมาทันที ท่าทางราวกับอยากจะฆ่านางให้ตายเสีย

“จะให้ข้าไปเกลี้ยกล่อมไทเฮาก็ได้ เพิ่มเงื่อนไขธรรมดาๆ ไปอีกข้อหนึ่งก็แล้วกัน” มู่จิ่วซีนั่งไขว่ห้างแล้วเอ่ยขึ้น

มู่เทียนซิงรู้สึกอับอายจนอยากจะมุดดินหนี โชคดีที่เขาหน้าหนา มอบทุกอย่างให้บุตรสาวสุดที่รักจัดการก็พอแล้ว

“เงื่อนไขอะไร?” โม่จุนจ้องมองมู่จิ่วซีด้วยสายตามืดมน

“ง่ายมาก ขอแค่ทองคำหนึ่งหมื่นตำลึง” มู่จิ่วซียิ้มกว้าง ดวงตายังเป็นประกาย ท่าทางเหมือนคนคลั่งไคล้เงินทอง

บุรุษทั้งสองคนถึงกับอ้าปากค้างในทันที

“มู่จิ่วซี! อย่าให้มันมากเกินไปนัก!” โม่จุนตั้งสติได้ก็แทบจะกระโดดขึ้น

“ซีเอ๋อร์ เจ้าจะเอาทองคำมากมายขนาดนี้ไปทำอะไร?” มู่เทียนซิงผู้เป็นบิดาก็ยังสงสัย ในจวนก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ค่าใช้จ่ายประจำวันของนางก็ไม่ได้น้อยเลย

เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนนางกำลังจะปล้นเซ่อเจิ้งอ๋องอย่างไรอย่างนั้น

“จะมากเกินไปได้อย่างไร? หลังจากนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงก็จะร่ำลือว่าเซ่อเจิ้งอ๋องไม่พอใจมู่จิ่วซีจึงขอถอนหมั้น ท่านรู้หรือไม่ว่าผลของการที่สตรีถูกถอนหมั้นจะเป็นอย่างไร? ข้าอาจจะไม่มีใครต้องการไปตลอดชีวิตก็ได้ ทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงนี้ บางทีอาจจะเป็นเงินบำนาญยามแก่ของข้าก็ได้”

“ซีเอ๋อร์ เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร เจ้าจะไม่มีใครต้องการได้อย่างไร ต่อให้ไม่มีใครแต่งด้วย พ่อก็จะให้เจ้าหาบุตรเขยมาแต่งเข้าตระกูล” มู่เทียนซิงร้อนใจขึ้นมาทันที

“ท่านพ่อ ความหมายของข้าก็คือ การที่สตรีถูกถอนหมั้น ชื่อเสียงก็จะเสียหายมาก ข้าจะเรียกร้องค่าเสียหายทางจิตใจสักหน่อยไม่ได้หรือ?”

พูดจบก็หันไปมองโม่จุนแล้วเอ่ยขึ้น “หรือไม่ก็ให้ร่ำลือไปว่าข้ามู่จิ่วซีไม่ชอบเซ่อเจิ้งอ๋องจึงขอถอนหมั้น ส่วนเหตุผลก็ต้องสร้างเรื่องขึ้นมาสักหน่อย ทุกคนรู้ว่าข้าคลั่งไคล้บุรุษรูปงาม ย่อมไม่ถอนหมั้นง่ายๆ เช่นนั้นเหตุผลนี้ก็ต้องรุนแรงสักหน่อย ตัวอย่างเช่น...เซ่อเจิ้งอ๋องไร้สมรรถภาพทางเพศ? โม่จุน ท่านว่าแบบนี้ดีหรือไม่? เช่นนั้นข้าก็สามารถชดเชยค่าเสียหายทางจิตใจให้ท่านได้”

“แค่กๆ แค่กๆ ” มู่เทียนซิงอยากจะหันหลังกลับแล้วเดินจากไปเสียจริง แต่การวิเคราะห์ของบุตรสาวก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล

“เจ้า...!” พนักเก้าอี้ที่โม่จุนนั่งอยู่แหลกเป็นผุยผงในทันที โมโหจนใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว

“โอ๊ย นี่ก็แค่ยกตัวอย่างมิใช่หรือ? ดูท่านสิ ทำลายข้าวของบ้านข้า ก็ต้องชดใช้ด้วย” มู่จิ่วซีคิดในใจว่า ใครใช้ให้ท่านไม่ชอบเจ้าของร่างเดิมกัน ถือว่านางได้แก้แค้นให้เจ้าของร่างเดิมแล้ว

“ซีเอ๋อร์ ห้ามเสียมารยาท มีอย่างที่ไหนกัน!” มู่เทียนซิงรู้สึกว่าหากบุตรสาวพูดต่อไปอีก เซ่อเจิ้งอ๋องอาจจะโกรธจนสิ้นใจตายได้ จึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย

“หนึ่งหมื่นตำลึงเงิน!” โม่จุนแทบจะกัดฟันพูดออกมา

“ตกลง!” มู่จิ่วซีลุกขึ้นยืนในทันที วิ่งไปตรงหน้าเขาแล้วยื่นฝ่ามือออกไป ท่าทางเหมือนจะแปะมือเป็นการสัญญา

โม่จุนโกรธจนตัวสั่นเทา แต่เพื่อหลังจากถอนหมั้นแล้ว จะไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอีก ก็ทำได้เพียงยื่นมือออกไปแปะ

“นึกไม่ถึงว่าชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่มู่จะมีค่าเพียงแค่หนึ่งหมื่นตำลึงเงิน” โม่จุนก็ยังอยากจะเหน็บแนมมู่จิ่วซีสักหน่อย

มู่จิ่วซีหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านไม่ต้องมายั่วยุข้า อันที่จริงต่อให้ท่านไม่ให้ ภายนอกก็ยังคงร่ำลือว่าข้าไม่คู่ควร สามารถหาได้หนึ่งหมื่นตำลึงเงินข้าก็พอใจมากแล้ว ขอบคุณเซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านเป็นคนดี ฮ่าๆ”

โม่จุนรู้สึกเหมือนเลือดลมตีขึ้นมาในลำคอ ดวงตาแดงก่ำ หากไม่ใช่เพราะสมาธิดี เขาคงได้กระอักเลือดออกมาแล้ว

“เซ่อเจิ้งอ๋อง บุตรสาวข้าเกเร ท่านอย่าได้ถือสาเอาความกับนางเลย” มู่เทียนซิงรู้สึกว่าตนเองทำได้เพียงพูดคำนี้เพื่อปลอบใจ

โม่จุนถลึงตามองมู่เทียนซิงอย่างดุร้าย จากนั้นก็หลับตาลง ปรับลมหายใจสักครู่

“เข้าเรื่องกันเถอะ จับฉีฝ้างได้แล้ว และก็เค้นถามแล้ว เขาบอกว่าไม่มีใครจ้างวานให้มาใส่ร้ายเจ้า แต่บอกว่าเขากับเจ้ามีความแค้นส่วนตัวกัน” โม่จุนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลมหายใจเป็นปกติ

“ความแค้นส่วนตัว?” นี่ทำเอามู่จิ่วซีประหลาดใจ “ข้าไม่รู้จักคนที่ชื่อฉีฝ้างเลยสักนิด จะมีความแค้นกันได้อย่างไร?”

“ดังนั้น ข้าจะมาพาเจ้าไปเผชิญหน้ากัน” โม่จุนรู้สึกว่าตนเองโมโหจนจะบ้าตายอยู่แล้ว เพิ่งจะมาบอกจุดประสงค์เอาตอนนี้

สตรีผู้นี้มีความสามารถในการทำให้คนคลุ้มคลั่งได้

“เผชิญหน้าก็เผชิญหน้า ไปกัน!” มู่จิ่วซียังไม่ได้เจอฉีฝ้าง ก็ยังไม่กล้ายืนยัน

โม่จุนลุกขึ้นยืน ส่งเสียงฮึดฮัดใส่ท่านแม่ทัพมู่ จากนั้นก็เดินออกไป

พ่อลูกสองคนนี้ไม่ใช่คนดีทั้งคู่ สมรู้ร่วมคิดกัน ทำให้เขาเสียหายไม่น้อย

“ซีเอ๋อร์ ให้เย่หานไปกับเจ้าด้วย” มู่เทียนซิงกล่าว

“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน” มู่จิ่วซีเดินไปหาบิดาของตน จากนั้นเริ่มกระซิบเรื่องของมารดา

มู่เทียนซิงจากที่สงสัยก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าตกตะลึง มองมู่จิ่วซีอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ท่านพ่อ จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ ป้าหวังเป็นกุญแจสำคัญ”

มู่จิ่วซีพูดจบก็เดินออกไป เห็นโม่จุนอยู่ที่หน้าประตูจึงกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋อง โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

โม่จุนไม่ได้พูดอะไร มองมู่เทียนซิงในห้องที่มีท่าทางเคร่งขรึมและน่ากลัวก็ขมวดคิ้วแน่น

ไม่นานนัก มู่จิ่วซีและเย่หานก็ออกมา มู่จิ่วซีนั่งรถม้าของโม่จุน ส่วนเย่หานและอันเย่นั่งอยู่ด้านหน้า

ภายในรถม้า โม่จุนมองมู่จิ่วซีที่เงียบไม่พูดไม่จา ก็รู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กน้อย

ตอนนี้มู่จิ่วซีเปลี่ยนมาสวมชุดรัดกุมสีฟ้าน้ำทะเล มีผ้าคาดเอวผูกเป็นโบว์ ทำให้นางดูมีความองอาจแต่ก็ไม่ทิ้งความอ่อนหวานของสตรี

“เซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าขอถามอะไรท่านหน่อยได้หรือไม่?” มู่จิ่วซีเงยหน้าขึ้นมองเขาในทันที

โม่จุนรีบละสายตาแล้วเอ่ยขึ้น “ว่ามา”

“ท่านพอจะรู้จักพิษเรื้อรังชนิดหนึ่งหรือไม่ น่าจะเป็นพิษที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่น แต่หากได้รับพิษเป็นเวลานาน ในเลือดจะมีกลิ่นหอมจางๆ ของกฤษณา?”

ใบหน้าหล่อเหลาของโม่จุนพลันเปลี่ยนไปแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าถูกพิษ?”

“หมายความว่าอย่างไร?” มู่จิ่วซีรู้สึกงุนงงกับปฏิกิริยาของเขา

“ในเลือดมีกลิ่นกฤษณา จะต้องเป็นพิษเรื้อรังอย่างแน่นอน?” โม่จุนกลับร้อนใจยิ่งกว่ามู่จิ่วซีเสียอีก

“เอ่อ ท่านไม่รู้หรือ? เช่นนั้นท่านรู้ว่ามีคนที่มีกลิ่นกฤษณาในเลือดเช่นนี้ใช่หรือไม่? เป็นผู้ใด?” มู่จิ่วซีตั้งสติได้ในทันที

โม่จุนมองนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วกล่าวว่า “ถูกพิษจริงๆ หรือ?”

มู่จิ่วซีกลอกตาใส่เขาแล้วเอ่ยขึ้น “จริงแท้แน่นอน! คนที่ท่านรู้จักคือใคร?”

“หนึ่งหมื่นตำลึงเงิน ข้าถึงจะบอกเจ้า” โม่จุนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ในทันที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel