ตอนที่ 2 เมื่อเวลาหลังเที่ยงคืน 100%
คืนนี้ก็เช่นกัน ฟารีดายิ้มบางๆเมื่อมองไปทางหน้าต่างของบ้านหลังข้างกัน ก่อนจะเปิดประตูห้องนอน แล้วเดินออกไปจากตัวบ้านในยามวิกาลเพียงลำพัง เดินไปนั่งชิงช้าที่สวนหย่อมเล็กๆข้างรั้ว แล้วนอนราบลงไปเพื่อแหงนมองดวงจันทร์ให้เต็มตา
‘คืนนี้พระจันทร์สวยจัง’
หญิงสาวคิดในใจก่อนจะหลับตาลง แล้วใช้ประสาทสัมผัสของร่างกาย สัมผัสกับลมเย็นๆ และเสียงร้องของสัตว์ต่างๆยามค่ำคืน ซึมซับเอาอากาศเย็นฉ่ำเข้าปอด แล้วนึกถึงใบหน้าของบุรุษชุดดำในฝัน
การแอบนึกถึงเขาก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของสาวน้อยที่มีโลกส่วนตัวสูงอย่างฟารีดา เธอไม่ได้บอกใครว่าเธอแอบชอบผู้ชายในฝันของตนเอง และเธอก็ไม่เคยเปิดใจให้กับผู้ชายคนไหนที่เดินไปเดินมาในโลกแห่งความจริง นอกจากเขาเพียงคนเดียว
ทว่าฟารีดาก็ยังคิดเสมอว่าเขาเป็นเพียงผู้ชายในฝันของเธอเท่านั้น เพราะในความจริง เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาตรงๆด้วยซ้ำ คราวนั้นมันเป็นเพียงแค่ความบังเอิญที่เธอไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะโผล่มาที่หน้าต่าง แล้วเธอก็มองไปทางนั้นพอดี แต่นั่นก็เป็นแค่ครั้งเดียวที่เธอได้สบตาคมซึ้งที่เหมือนมีพลังดึงดูดมหาศาลของเขา ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา เธอก็จะคอยหลบหน้าชายหนุ่มในตอนกลางวันตลอด
จะมีก็เพียงตอนดึกๆแบบนี้เท่านั้น ยามดึกที่เธอคิดว่าทุกคนคงพากันหลับหมดแล้ว แม้แต่เขาก็คงหลับไปแล้ว เธอถึงได้มองหาชายหนุ่มทางหน้าต่างเสมอ มองไปทั้งๆที่รู้ว่าเจ้าของบ้านคงหลับแล้ว แต่แค่นี้ก็สุขใจ
สาวน้อยนอนหลับตาพริ้ม ใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อคิดถึงใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของคนข้างรั้ว เขาชื่ออะไรเธอยังไม่รู้เลย เพราะไม่เคยคิดถามใครให้คนอื่นสงสัยว่าเธอจะอยากรู้จักชื่อเขาไปทำไม
แล้วจู่ๆ ฟารีดาก็เย็นวาบไปทั้งสันหลัง เธอนอนนิ่งเป็นหุ่นด้วยความกลัวลึกๆ เมื่อรู้สึกว่าชิงช้ากำลังถูกไกวเบาๆ
จะบอกว่าสายลมพัด ก็คงไม่ใช่แน่ๆ เพราะน้ำหนักของชิงช้ากับน้ำหนักของตัวเธอรวมกัน มันไม่ได้เบาจนถึงขนาดว่าลมพัดให้ไหวเอนได้ มันต้องมีใครสักคนเดินมาไกวชิงช้าแน่นอน
หญิงสาวหลับตาปี๋ ไม่กล้าลืมตาขึ้นมามองเลยว่าใครหรืออะไรที่กำลังไกวสิ่งที่เธอกำลังนอนอยู่เบาๆ สม่ำเสมอ ทว่าไร้ซึ่งเสียงของเจ้าของมือที่กำลังไกวชิงช้าอยู่
‘คงไม่ใช่ผีหรอกนะ’
นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่เคยคิดว่าจะมีผีที่ไหนโผล่มา เพราะไม่เคยเจอ
กี่คืนต่อกี่คืนที่ออกจากบ้านมาเดินเล่นยามดึก ก็ไม่เคยเจออะไรที่ชาวบ้านเขากล่าวขานกันมาเลยสักครั้ง
แต่ว่าคืนนี้ และตอนนี้บรรยากาศมันเงียบมาก มากเสียจนได้ยินเสียงหายใจของตนเอง
แล้วสักพัก ชิงช้าที่นอนอยู่ก็หยุดนิ่ง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบแสนวังเวง เธอไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงจิ้งหรีดเรไรที่สองสามนาทีก่อนหน้ายังได้ยินมันร้องอยู่เลย แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับตกอยู่ในความเงียบสงัด
มาถึงนาทีนี้ ฟารีดาก็ได้ยินเฉพาะเสียงหายใจของตนเองเท่านั้น ที่กำลังหายใจเข้าออกผิดจังหวะ และขาดเป็นห้วงๆ
แล้วในที่สุด คนที่ไม่เคยกลัวความมืด คนที่ไม่เคยกลัวบรรยากาศในยามค่ำคืน ก็เริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา แทบจะไม่กล้าเปิดเปลือกตาขึ้นมาดูว่ามีอะไรอยู่รอบกายเธอบ้าง ไม่ลืมตาขึ้นมามอง ก็จะไม่เห็นอะไร แต่ว่าก็อยากรู้
แล้วสมองอันน้อยนิดก็คิดว่า ถ้าหากว่าคนในบ้านมาแกล้งไกวชิงช้าให้เธอกลัว มันก็ต้องมีร่างของใครสักคนปรากฏอยู่ใกล้ๆ และพวกเขาคงกำลังแอบหัวเราะเธออยู่แน่ๆ
‘ใช่ไหม ลืมตาดูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า’
วิ้ง....
ทันทีที่เปลือกตาบางเปิดขึ้น ฟารีดาก็เบิกตากว้างขึ้นใจเต้นระทึกด้วยความคาดไม่ถึง เมื่อเห็นบางสิ่งที่ไม่คาดฝันอยู่ตรงหน้า
‘เขามายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง’
และพอได้สติร่างเล็กก็รีบลุกขึ้นนั่ง แล้วยืนขึ้นเตรียมตัวจะวิ่งเข้าไปในบ้าน เธอก้าวไปหนึ่งก้าวแล้ว แต่ก้าวที่สองกลับถอยหลัง พร้อมกับข้อมือเล็กข้างหนึ่งถูกดึงกระชากจนตัวลอยหวือเข้าหากำแพงแกร่งดุจหินผา
พลั่ก!...
ร่างบางของเธอตกอยู่ในวงแขนแข็งแรงทันที หน้าอกนุ่มหยุ่นบดเบียดไปกับความแข็งแกร่งตรงหน้าจนบี้แบน ใบหน้าของเธอก็อยู่ระดับแผงอกกว้างพอดี
สาวน้อยพยายามเรียกสติของตนเองกลับคืนมาอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ ช้อนสายตาสูงขึ้น จากกลางอกเปลือยที่มีไรขนอ่อนรำไร ไล่ขึ้นไปยังลำคอแข็งแรง ผ่านลูกกระเดือกได้รูปสวย ผ่านสันคางแกร่ง แล้วจึงค่อยๆยันตัวออกห่างอยู่ในอ้อมกอดของกำแพงหนา หลุบสายตาลงมองแผงอกเปลือยนั้นอีกครั้ง แล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจ เพื่อที่จะรวบรวมความกล้า แหงนมองใบหน้าเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดโค้ทหนังสีดำตรงหน้า ให้เต็มตา สักครั้ง
ตึกๆ!...ตึกๆ!...
หน้าอกสาวกระเพื่อมขึ้นลงหนักมากด้วยความตื่นเต้นประหม่าและไหวหวั่นแกมหวาดกลัวเล็กๆ เมื่อค่อยๆเงยขึ้นมองหน้าชายหนุ่มเต็มตา
