บทที่ 3
หงเฟินทอดถอนหายใจเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะกล่าวขอบใจพี่สาวใช้ที่ดูท่าน่าจะรักคุณหนูของตัวเองมากเหนือสิ่งอื่นใด หงเฟินลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะก้าวเดินไปส่องคันฉ่อง
ภาพหญิงสาวที่ปรากฎช่างงดงามราวกับภาพวาดนางบนสวงสวรรค์ ผิวขาวผุดผ่องเรียบเนียนเหมือนไม่เคยถูกแสงแดดมานานทำให้หญิงสาวผู้นี้ยิ่งงามล่มบ้านล่มเมืองเข้าไปอีก
หงเฟินหยุดสำรวจร่างกายตนเองเมื่อนึกคำถามขึ้นได้
“พี่ซานลี่ ตอนนี้ข้ากี่หนาวแล้วหรือ”
“อ่อสิบสี่หนาวเจ้าค่ะคุณหนู ไม่กี่ปีคุณหนูก็จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว”
ว้าว ขนาดเด็กยังสวยขนาดนี้ แล้วนี่ถ้าเธอถึงช่วงวัยรุ่นคงสวยยิ่งกว่านี้แน่ แต่ระหว่างที่ชื่นชมร่างกายตัวเองอยู่หน้าคันฉ่อง เธอรู้สึกขัดตากับหลายสิ่งมาก
ทำไมชุดเธอถึงได้เก่าเช่นนี้ แถมยังสีขาวเชยๆอีก
เดี๋ยวก่อนนะ “พี่ซานลี่ วันนี้วันอะไร ศุกร์หรือเปล่า” หงเฟินมองสาวใช้ที่นั่งทำหน้างงอยู่ก่อนจะปัดมือเพื่อบอกเป็นนัยว่าไม่อยากได้คำตอบแล้ว
เธอลืมไปว่าที่นี่คงไม่ได้นับวันแบบเธอ
เอ งั้นเธอจะถือว่าวันนี้วันศุกร์ก็แล้วกัน เพราะเธอรู้สึกว่าเธอเพิ่งตายเมื่อวานที่เป็นวันพฤหัส
งั้น สีผ่าน วันศุกร์ สีขาวไม่ใช่สีกาลกิณี ใส่ได้
และหงเฟินหันไปยิ้มตาหยีให้สาวใช้ด้วยความอารมณ์ดี
สายลมยามบ่ายพัดมาอ่อนๆทำให้เส้นผมเงางามของหงเฟินปลิวไสวไปตามแรงลม เสียงเรือนไม้เนื้อดีทว่ามีอายุมานานแล้ว โยกเล็กน้อยพอทำให้นายหญิงคนเดียวของจวนคิ้วขมวด
ถ้าปล่อยไว้ วันไหนคงได้พังลงมาเป็นแน่
หงเฟินเดินออกมาจากห้องนอนเพื่อสำรวจจวน พี่สาวใช้นางบอกว่า นี่เป็นจวนหลังเก่าของท่านแม่นาง จวนหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากตั้งตง่านอยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ท้ายแคว้น ทางด้านซ้าย และด้านหลังจวนทั้งหมดอยู่ติดกับป่า
ป่าสารพันวิญญาณ
ทีแรกพอนางได้ฟังชื่อป่าจากปากสาวใช้ นางก็พลันขนลุกซู่ ชื่อดูเหมือนน่ากลัวไม่ควรเข้าไปอย่างยิ่ง แต่ภายใต้ชื่อที่น่ากลัวนั้นกลับมีชาวบ้านมากมายเดินเข้าออกไปเก็บของป่าทั้งเช้า-เย็น ไม่ขาด
ป่าสารพันวิญญาณเป็นป่าขนาดใหญ่ที่สุดในแคว้นแถบนี้ ประกอบไปด้วยสองส่วน คือป่าวงนอกกับป่าวงใน บริเวณที่ชาวบ้านตาดำๆไร้ซึ่งพลังธาตุหรือมีพลังไม่เก่งกล้ามักเข้าไปหาพืชสมุนไพรวิญญาณต่างๆมาขายในตลาดจากป่าวงนอกที่ไม่ค่อยอันตราย สัตว์ที่เจอส่วนใหญ่เป็นสัตว์วิญาณชั้นต่ำจนถึงระดับไม่มีพลัง แต่หากย่างเข้าไปในเขตป่าวงในแล้วยากที่จะมีชีวิตรอดออกมาแบบครบองค์ประกอบ จึงไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าไปนักถึงแม้ว่าจะอุดมไปด้วยพืช สมุนไพรวิญญาณระดับปานกลางถึงระดับสูง แต่ในทำนองเดียวกันก็มีอันตรายนานาเช่นกัน
แต่ใช่ว่าป่าวงในจะไม่เคยมีใครย่างกรายเข้าไป ในทุกๆปีมีผู้กล้าที่มั่นใจในพลังของตัวเองเข้าไปไม่ขาด ถึงแม้อันตรายแต่ก็คุ้มที่จะเสี่ยงเพราะมีตำนานเล่าขานว่า
ป่าวงในเป็นสถานที่ที่เหล่าเทพเซียนชอบมาเที่ยวเล่นล่าสัตว์ จึงมักมีของวิเศษจากสวรรค์ตกหล่นอยู่บ่อยๆ ผู้ใดที่อยากเป็นหนึ่งเหนือยุทธภพย่อมอยากได้ของวิเศษเหล่านั้นอยู่แล้ว
หากเข้าไปแล้วเจอเพียงต่างหูของเทพเซียนที่ทำตกไว้ก็นับว่าคุ้มแล้ว
อีกทั้งป่าสารพันวิญญาณยังเป็นป่าชิดขอบชายแดนที่เสมือนเป็นกำแพงระหว่างแคว้นศัตรูกันอย่างแคว้นเต๋อหวางฉายกับแคว้นหมิงเวยซึ่งทำให้ไม่สามารถไปมาหาสู่กันได้
หงเฟินเดินมาอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงพื้นที่ว่างข้างเรือนอีกหลังถัดจากเรือนห้องนอนนางที่ถูกถางหญ้าออก จัดพื้นที่ทำแปลงผัก เอาไว้เก็บเกี่ยวมาทำอาหารกิน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายอีกทาง
“ปกติเงินที่ใช้จ่ายในจวนเราเอามาจากไหนหรือ พี่ซานลี่” หงเฟินหันไปถามสาวใช้หลังจากเดินสำรวจรอบจวนจนพอใจ นางเห็นว่าคนรับใช้ในจวนนางมีไม่กี่คน มีเพียงพี่ซานลี่ และก็คนรับชายอีกสองคนเท่านั้น ถึงแม้ว่าจวนหลังนี้จะไม่ใหญ่มากมีเพียงสี่เรือนไม้กับพื้นที่ว่างอีกนิดหน่อย แต่ยังไงก็ยังต้องมีเงินไว้หล่อเลี้ยงคนทั้งจวนนางจึงสงสัยว่าจะเอาเงินมาจากไหน
“เงินเก็บของคุณหนูที่ท่านประมุขตระกูลให้ไว้เมื่อคราแรกที่มาเจ้าค่ะ และก็เงินที่บ่าวเอาผักที่ปลูก บางครั้งบ่าวก็่เข้าไปเก็นสมุนไพรในป่าแถบนอกไปขายเจ้าค่ะ"
“เงินเก็บข้าจะหมดหรือยังพี่ซานลี่ ที่ผ่านมาข้าใช้เงินน้อยขนาดนั้นได้อย่างไรกัน” ประโยคหลังนางรำพึงกับตัวเอง
นางอยากจะบ้าตาย เมื่อก่อนนางเป็นที่ใช้เงินเก่งมาก ไม่เคยต้องประหยัดอะไรขนาดนี้ ดูท่าว่าหนทางในมิตินี้ดูจะไม่ง่ายอย่างที่ใจคิดเสียแล้
“ดูพูดเข้าสิเจ้าคะ คุณหนูของบ่าวแทบจะไม่ใช้เงินเลยนะเจ้าคะ วันๆคุณหนูเอาแต่อยู่ในเรือน จะมีก็แค่กินกับเรื่องเสื้อผ้าเท่านั้นที่คุณหนูได้ใช้เงิน” หงเฟินนางเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมร่างนี้ถึงอยู่ได้มาถึงตอนนี้ทั้งๆที่มีแค่เงินเก็บ
ว่าแต่ ครอบครัวของนางไม่ส่งเงินมาดูแลบ้างเลยหรือไงกัน
“ถ้าคุณหนูกลัวเงินหมด คุณหนูก็ยอมรับเงินที่ส่งมาจากท่านประมุขสิเจ้าคะ” ราวกับสาวใช้ได้ยินสิ่งที่นางคิด จึงพูดออกมาได้ตรงประเด็น
ที่แท้ก็เพราะร่างเก่ามีทิฐิไม่รับค่าเลี้ยงดูนี่เอง
“บ่าวรู้ว่าคุณหนูของบ่าวน่ะใจแข็งดังหินผา คุณชายทั้งสองมาหาก็ไม่ต้อนรับเข้าจวน แต่บ่าวว่าเงินเก็บคุณหนูก็ใกล้หมดแล้วนะเจ้าคะ ภายภาคหน้าเราจะทำอย่างไร” คุณชายทั้งสองที่สาวใช้พูดถึงคงหมายถึงพี่ชายต่างมารดาทั้งสองคนที่มักเดินทางมาเยี่ยมน้องสาวอย่างเธออยู่หลายครั้งต่อปี แต่ทุกครั้งล้วนผิดหวัง เพราะร่างเก่านางไม่ยอมต้อนรับคนจากตระกูลเก่าทั้งสิ้น
หงเฟินรู้สึกได้ว่าร่างเก่านี้รู้สึกฝังใจทั้งน้อยใจ และโกรธที่เอานางมาทิ้งไว้ที่นี่คนเดียว
ทว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง …
“คราวหน้าถ้าท่านพ่อส่งเงินมาอีกเจ้าก็รับไว้นะ” ได้เงินมานางคงต้องปรับปรุงจวนเสียใหม่ เครื่องแต่งที่นางใส่ก็เก่าไร้ความสง่างาม
โชคดีดีที่ไหนจะวิ่งมาหาล่ะหากนางอยู่ในสภาพแบบนี้
หงเฟินบอกให้สาวใช้พานางมายังตลาดที่ใกล้ที่สุด หลังจากสำรวจจวนตัวเองเสร็จ ตอนนี้ยามเว่ยย่างเข้ายามเซิน ร้านค้าทยอยเก็บข้าวของ ร้านไหนที่ตั้งโดยใช้ห้างร้านชั่วคราวก็เริ่มปิดร้าน ทำให้ผู้คนไม่หนาแน่นนัก สองขายาวก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า สองตากวาดมองทางโน้นที ทางนี้ทีอย่างคนไม่เคยเห็นตลาดมาก่อน
“ข้าอยากกินบะหมี่ร้านนี้พี่ซานลี่” หงเฟินชี้มาที่ร้านบะหมี่ข้างทาง ตัวร้านไม่ใหญ่มาก ลูกค้าที่นั่งกินกันส่วนใหญ่ก็คือชาวบ้านแถวนี้ นานๆทีจะมีลูกค้าจากตระกูลใหญ่ๆมานั่งกินทำให้เถ้าแก่เจ้าของร้านเมื่อเห็นว่ามีคุณหนู ดูจากการแต่งตัว เนื้อผ้าที่ใส่อยู่ในระดับดี แถมยังมีคนใช้ประจำตัว น่าจะเป็นคุณหนูจากตระกูลไหนซักตระกูล จึงเข้าไปต้อนรับอย่างดี
“ร้านเรายินดีต้อนรับขอรับคุณหนู รับบะหมี่กี่ชามดี
“สองชาม” หงเฟินพูดดักสาวใช้อย่างรู้ทัน ใครเขาอยากจะนั่งทานคนเดียวกันหล่ะ
“คุณหนูอยากกินอาหารนอกบ้านทำไมมากินร้านนี้หล่ะเจ้าคะ ด้านหน้าไม่ไกลมีโรงเตี๊ยมใหญ่ อาหารเลิศรสทั้งนั้น” สาวใช้กระซิบที่ข้างหูเจ้านายเมื่อหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตัวน้อยตรงข้ามอีกฝ่ายแล้ว ถึงเงินที่เหลืออยู่มีไม่มากก็จริง หากคุณหนูบอกว่าจะยอมรับเงินที่ส่งมาจากท่านพ่อคุณหนูแล้ว ย่อมไม่ต้องประหยัดมานั่งกินอาหารข้างทางเช่นนี้
“เอาเถิดน่าพี่ซานลี่ วันนี้ข้าอยากมาซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับเสียหน่อย เอาฤกษ์เอาชัยเข้าตัว” ประโยคหลังหงเฟินจงใจแผ่วเสียงลงบ่นพึมพำกับตนเอง แม่สาวใช้ของนางช่างไม่รู้จักนิสัยที่แท้จริงนางเสียแล้ว กลัวนางประหยัดยิ่งนัก ในมิติก่อนนางได้ฉายาว่า
มีเท่าไหร่นางใช้หมดเชียวแหล่ะ
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ชามบะหมี่สองชามถูกยกมาโดยเถ้าแก่ วางตั้งอยู่ตรงหน้านาง
“เชิญคุณหนูทานให้อร่อยนะขอรับ วันนี้เป็นเกียรติจริงๆที่มีคุณหนูคนสวยมาเยี่ยมเยียนร้านอั๊ว” เถ้าแก่พูดจ้ออย่างอารมณ์ดีเพราะยังไม่ทันไรลูกค้าหนุ่มมากหน้าหลายตาก็แวะเวียนเข้ามานั่งในร้านเขาจนเกือบเต็ม ลูกน้องรับลูกค้ากับแทบไม่หวาดไม่ไหว ถึงรู้แก่ใจว่าลูกค้าเหล่านี้มิได้มีจุดประสงค์มาเพื่อชิมรสมือเขาก็เถอะ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ เถ้าแก่” เมื่อได้รับคำชมนางจึงส่งยิ้มจริงใจกลับไป ยิ่งทำให้บรรดาหนุ่มน้อยใหญ่ที่แอบมองนางอยู่พากันหายใจไม่ทั่วท้อง
แม่นางเป็นใครไยพวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
“ว่าแต่คุณหนูมาจากที่ใดหรือ” หงเฟินกระพริบตาปริบๆ นางอยากจะบอกเต็มทนว่านางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว แค่ไม่ออกมานอกบ้านเท่านั้นเอง แต่นางเกรงว่าอีกฝ่ายจะถามนางต่ออีกว่าเพราะเหตุใดจึงพยายามตัดบท
“เพิ่งมาอยู่ที่จวนท้ายแคว้นเจ้าค่ะ” มือบางเรียวดังบุบผาบานรีบคว้าตะเกียบทำท่าจะกินบะหมี่ตรงหน้า เพื่อสื่อกับเถ้าแก่ว่านางอยากกินเสียแล้ว ซึ่งเถ้าแก่ถึงแม้อยากรู้เรื่องแม่นางนี้ใจจะขาด แต่เขาก็มีมารยาทมากพอไม่ขัดการกินลูกค้า จึงล่าถอยกลับออกไปทำบะหมี่ตัวเองต่อ
เฮ้อ สงสัยวันหลังคงต้องปิดหน้าหรือไม่ก็ปลอมตัวออกมาเสียแล้ว จะได้ไม่ยุ่งยาก
“หลบไป หลบไปดิวะ หลบ” เส้นบะหมี่ร้อนๆกำลังจะเข้าปากเสียงตะโกนตามมาด้วยเสียงล้มของคนตลอดทางก็ดังขึ้นขัดจังหวะการกิน
จิ้บๆ จิ้บๆ
นกตัวอ้วนกลม บินฉวัดเฉวียนไปมาวิ่งผ่านหน้าร้านที่หงเฟินนั่งอยู่ไป ก่อนตามด้วยชายร่างท้วมสองร่าง เจ้าของเสียงตะโกนวิ่งตาม และสุดท้ายเป็นร่างชายหนุ่มในอาภรณ์ยาวเหมือนเป็นคุณชายจากสักตระกูลแถวนี้ใช้วิชาตัวเบาล่องผ่านหน้าไป
นกที่พวกนั้นวิ่งตามช่างคุ้นเคยนัก
ดวงตาหงษ์หลี่ลงอย่างใช้ความคิดก่อนจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อจำสิ่งที่เธอขอมาอีกชิ้นจากท่านตาบุญธรรมเธอ
เจ้านกแก้ว
สองเท้างามเร่งวิ่งออกจากร้านตามกลุ่มคนเมื่อสักครู่ไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงทัดทานของสาวใช้เลย
“อ้าว คุณหนู คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ…เถ้าแก่ๆเก็บเงินเจ้าค่ะ” ซานลี่รีบเรียกเจ้าของร้านให้มาคิดเงิน ทั้งๆที่ยังไม่ได้กินสักคำ สายตานางมองตามร่างเจ้านายไปอย่างเป็นห่วง
คุณหนูนะคุณหนูพอออกจากบ้านก็หาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว
จ่ายเงินเสร็จ นางก็รีบตามร่างบางของคุณหนูตนไป
สองเท้าสับถี่เพื่อวิ่งตามบุรุษทั้งสามให้ทัน มือบางยกชุดรุงรังของตัวเองขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อความเร็ว ทำให้นางในตอนนี้ไร้ซึ่งกิริยาสงวนที่อิสตรีควรทำ
ใครสนกัน เวลานี้นางมั่นใจว่าเจ้านกน้อยตัวนั้นคือของนาง และตอนนี้มันกำลังโดนล่าโดยใครก็มิอาจรู้ได้
“หยุดนะเจ้านกตัวน้อย”
จิ้บๆ จิ้บๆ
หลายคราที่มืออ้วนของชายท้วมเอื้อมไปคว้าเจ้านกที่ดูเหมือนอยูใกล้แค่เอื้อม เขาคาดคะเนจากสายตาคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางคว้าพลาด ไฉนกลับคว้าได้แต่อากาศว่างเปล่าทุกคราไป แถมเจ้านกน้อยยังหันมาร้องจิ้บๆเหมือนเยาะเย้ยอีกต่างหาก
ก็แค่นกธรรมดาตัวเล็กๆ ที่สีสันสวยงามจนไปสะดุดของคุณชายเขาเข้าจนต้องวิ่งไล่จับมาถึงเวลานี้ก็เท่านั้น
ปีกเล็กนั่น ใยถึงบินเร็วนัก
หงเฟินเร่งฝีเท้า จนเห็นร่างทั้งสามอยู่ไม่ไกล นางพยายามชะโงก ทั้งหลี่ตาเล็กเล็งมองไปยังร่างกลมๆ ปีกสั้นๆชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ไม่ผิดแน่ นกแก้ว เสี่ยวอิงอิงของนาง
“เสี่ยวอิงอิง เสี่ยวอิง” นางแหกปากตะโกนออกไป ภาพลักษณ์หญิงงามผู้เรียบร้อยสง่างามจึงสลายหายไปทันที นางไม่สนสายตาผู้ใด ดวงตานางมองแต่นกน้อยของนาง
ปึก
จนกระทั่งนางชนเข้ากับบุรุษร่างสูงที่กำลังเดินอยู่อย่างแรง ทว่ากลับเป็นนางคนเดียวที่เป็นฝ่ายกระเด็นออกมา
“โอ๊ย เจ็บ”
“แม่นางเป็นอย่างไรบ้าง”
นางเงยหน้ามองชายร่างสูงเบื้องหน้าอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ทำไมเขาถึงไม่หลบวิถีนางวิ่ง เหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ต้องมาล้มอยู่อย่างนี้
นกน้อยของนางไปถึงไหนแล้วนี่
พอนางเงยหน้ามองคู่กรณี จึงรู้ว่าตัวเองชนเข้ากับคุณชายตระกูลใหญ่คนหนึ่งเป็นแน่ อาภรณ์สีขาวบริสุทธิขลิบทอง เพียงนางดูจากไกลๆก็รู้ว่าทำจากทองแท้ไม่ผิดแน่ ดวงหน้าหล่อคมคายกำลังจ้องมองมาที่นางอย่างห่วงใย หากเป็นหญิงอื่นที่ถูกจ้องคงมิวายโดนตกด้วยความหวาบหวามที่ส่งออกมาจากดวงตาคู่นั้น
แต่นางมิใช่ผู้หญิงเหล่านั้นที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่รอบตัวเขา หญิงทั้งหลายเหล่านี้คงกำลังเดินตามบุรุษผู้นี้ต้อยๆเมื่อเห็นว่ามีหญิงอื่นมาชนกับบุรูษที่ตัวเองหมายปองจึงเกิดความไม่พอใจแสดงออกมาทางสีหน้าขนาดนั้น
นางมิต้องการบุรุษ ตอนนี้นางต้องการนกน้อยของนางคืน
“ข้าขอโทษท่านด้วย”
หงเฟินยันตัวลุกขึ้นและออกวิ่งโดยไม่สนใจบุรุษผู้นั้นอีกเลย นางวิ่งจนมาถึงตรอกเล็กแห่งหนึ่งจึงผ่อนฝีเท้า และสุดท้ายเปลี่ยนเป็นเดินระแวดระวังเข้าไปในตรอก ท้ายตรอกปรากฏเป็นร่างทั้งสามของบุรุษและอีกหนึ่งนกน้อย
ดูเหมือนว่าเจ้านกน้อยเกียจคร้านที่จะบินหนีจึงสะบัดปีกบินล่อชายทั้งสามมายังตรอกร้างผู้คนแห่งนี้
ก่อนที่เจ้านกน้อยจักแสดงฤทธิ์เดช เสียงใสอันคุ้นเคยดังขึ้นเรียกมันเสียก่อน
“เสี่ยวอิงอิง” ตากลมใสแป๋วจ้องกลับไปยังเจ้าของเสียง
นายน้อยของมัน
