บท
ตั้งค่า

#8

พอเขาไปแล้ว หงซิ่วถึงค่อยพ่นลมหายใจออกมา ยันตัวลุกขึ้นนั่งจัดชุดให้เข้าที่ ก่อนจะเลิกผ้าม่าน วางฝ่ามือลงบนมือของซุ่นจั้ง ให้อีกฝ่ายประคองลงจากรถม้า ครั้นเห็นว่าสาวใช้นางนี้ทำท่าจะเดินตามไปส่ง หงซิ่วก็เอ่ยขึ้น “เจ้ากลับไปพักเถิด เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

ซุ่นจั้งยอบกายอย่างเคารพนบนอบ กล่าวขอบคุณหนึ่งประโยค จากนั้นก็ถอยหลังไปสองก้าว ยอบกายให้หงซิ่วอีกครั้ง รอให้พระชายาเดินจากไป ถึงได้หันฝ่าเท้าเตรียมจะกลับเรือนหูเยว่ ทว่ายังไม่ทันได้ขยับ ก็เห็นซุ่นหยิงเดินกะโผลกกะเผลกเอาเสื้อผ้าข้าวของมาโยนทิ้งเบื้องหน้า

“คุณหนูสั่งให้เจ้าไสหัวไปจากจวนอ๋องเดี๋ยวนี้เลย เจ้ามันคนเนรคุณ! บ่าวเลี้ยงไม่เชื่อง!” ซุ่นหยิงตะวาดเสียงดัง

ซุ่นจั้งเหลือบมองข้าวของที่พื้นคราหนึ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับมามองอีกฝ่าย กล่าวอย่างมีอารมณ์ “ข้าเป็นสาวใช้จวนอ๋อง หาใช่สาวใช้ส่วนตัวของคุณหนูเหอ มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่จะไล่ข้าออกได้ เจ้ากลับไปรายงานเจ้านายของเจ้าให้ชัดแจ้งด้วย อีกอย่าง ผู้ที่มีบุญคุณกับข้าคือไท่เฟยกับท่านอ๋อง ข้าย่อมรู้ดีว่าควรภักดีกับผู้ใด” เอ่ยจบซุ่นจั้งก็ไม่รอให้ซุ่นหยิงได้เอ่ยปาก ก้มลงเก็บเสื้อผ้าข้าวของ เดินตรงไปยังเรือนเล็กท้ายจวน

ซุ่นหยิงเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินไปยังตำหนักแฝด ฟ้องเรื่องนี้กับฉวีกงกง เมื่อเรื่องไปถึงหูจวิ้นอ๋อง เขากลับไม่ได้ว่าอันใด เพียงสั่งให้จัดหาสาวใช้คนใหม่ส่งไปที่เรือนหูเยว่

หงซิ่วคาดเดาได้อยู่แล้วว่าซุ่นจั้งต้องมา สาวใช้นางนี้ไม่เพียงซื่อสัตย์ จิตใจดีงาม ยังเป็นคนไม่ค่อยพูด นับว่าเหมาะสมที่จะรับไว้ ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยถาม ซุ่นจั้งก็เล่าความเป็นมาของตนเองให้ฟัง

ซุ่นจั้ง ปีนี้อายุยี่สิบ เดิมที เป็นนางกำนัลในตำหนักไท่เฟยมาตั้งแต่เล็ก ก่อนที่ไท่เฟยจะสิ้นพระชนม์ได้มอบนางให้จวิ้นอ๋อง จากนั้นจวิ้นอ๋องถึงได้ส่งนางไปเรือนหูเยว่ อันที่จริงความตั้งใจของท่านอ๋องคือต้องการให้ซุ่นจั้งช่วยสอนกิริยามารยาทให้เหอสวีอี หาได้ไปเป็นสาวใช้ ตำแหน่งของซุ่นจั้งในจวนอ๋องนับว่าไม่ธรรมดาอยู่บ้าง เพราะแม้แต่จวิ้นอ๋องเองยังต้องเกรงใจนางอยู่ส่วนหนึ่ง

หงซิ่วฟังแล้ว เข้าใจได้เลาๆ ถึงอำนาจของซุ่นจั้งในจวนอ๋องแห่งนี้ นางไม่ได้กล่าวถามอันใดเพิ่มเติม หลังจากจัดวางข้าวของเสร็จ ซุ่นจั้งก็ก้าวออกจากเรือน ตรงไปห้องครัว จัดการสำรับเย็นด้วยตัวเอง

อาหารมื้อนี้มีกับข้าวห้าอย่าง จัดวางถูกต้องตามระเบียบ หงซิ่วนั่งทานข้าวเงียบๆ เหมือนเช่นเคย รอจนกระทั่งกินเสร็จ ซุ่นจั้งก็ยกน้ำมาให้ล้างมือบ้วนปาก

ขณะรับผ้ามาเช็ดมือ หงซิ่วกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าก็ทานเถิด วันนี้เจ้าเองก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไม่ต้องมาคอยปรนนิบัติข้า”

“เพคะ” ซุ่นจั้งรับคำ ทยอยเก็บอาหารใส่ถาดยกไปนั่งกินที่ห้องเล็กปีกข้าง พลางติดไฟต้มน้ำเตรียมให้เจ้านายอาบ

สองนายบ่าวต่างเป็นคนพูดน้อย ภายในเรือนเฟ่ยอู่จึงมีแต่ความเงียบ ท่ามกลางแสงเทียน หงซิ่วนั่งอ่านหนังสืออยู่บนตั่ง ส่วนซุ่นจั้งนำเสื้อผ้าของหงซิ่วมาปรับแก้ไข

ในตำหนักไท่หยางบนระเบียงชั้นสอง หมิงซีเหอยืนกอดอกพิงเสามองไปยังทิศทางท้ายจวน จากมุมนี้ เขาสามารถมองเห็นหญิงสาวที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในเรือนผ่านหน้าต่าง แม้จะมีระยะห่าง ทว่ายังพอมองเห็นถึงความงดงาม หญิงสาวนางนี้ ดูอย่างไรก็มิคล้ายโส่วหงซิ่ว คนผู้หนึ่งเหตุใดนิสัยแปรเปลี่ยนได้เร็วเพียงนี้ หมิงซีเหอครุ่นคิดอย่างสับสน

หงซิ่วอ่านวรรณกรรมสามก๊กไปได้ไม่กี่หน้า ก็ให้รู้สึกง่วงงุน จึงพับหนังสือวางไว้บนตั่ง ซุ่นจั้งเห็นนางขยับ รีบเดินเข้าไปจัดเตรียมที่นอน พลางถามว่า “พระชายาจะรัดเท้านอนหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมของมาให้” หงซิ่วก้มมองเท้าเล็กๆ ของตัวเอง ไพร่นึกไปถึงตอนถูกชน หากเล็กกว่านี้อีก เกรงว่าคงจะเดินเองไม่ได้แล้ว จึงส่ายหน้า กล่าวว่า “จากนี้ไม่ต้องทำแล้ว”

ซุ่นจั้งพยักหน้า ไม่ได้กล่าวอันใด รอให้นางล้มตัวลงบนเตียง ถึงได้เป่าตะเกียงดับไฟ

ความฝันของหงซิ่วในคืนนี้ คือภาพความอลหม่านในเหตุการณ์จลาจล กระทั่งตื่นมาตอนเช้า ยังจำได้ติดตา เพียงแค่นางขยับตัวลุกนั่ง เสียงของซุ่นจั้งก็ดังเข้ามา “หม่อมฉันเข้าไปนะเพคะ”

“เข้ามา” หงซิ่วขานรับคราหนึ่ง ประตูก็เปิดออก

หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อย ซุ่นจั้งนำชุดสีเขียวอ่อนที่ถูกปรับแก้แล้วมาให้หงซิ่วสวมใส่ พลางกล่าวว่า “ชุดที่พอจะปรับแก้ได้ มีเพียงสามชุด ที่เหลือล้วนไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ ให้หม่อมฉันนำผ้าในหีบไปให้ช่างตัดเย็บให้ใหม่นะเพคะ”

หงซิ่วตอบรับในลำคอ รอจนซุ่นจั้งมวยผมติดเครื่องประดับให้จนเสร็จ ถึงได้เอ่ยปาก “ตอนเจ้าออกไป ช่วยสอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับจลาจลเมื่อวานมาให้ข้าที”

“เพคะ” ซุ่นจั้งรับคำ ก่อนจะล่าถอยออกไปเตรียมมื้อเช้า

เรือนหูเยว่ อาการของเหอสวีอีนับว่าไม่หนักมาก ยังดีว่าได้องครักษ์จวนอ๋องเอาตัวเข้าไปบัง มิเช่นนั้นอาจถึงขั้นเสียชีวิต พอรู้ว่าจวิ้นอ๋องไม่ได้ไล่ซุ่นจั้งออก ทั้งยังส่งนางไปให้หงซิ่ว เหอสวีอีก็ลุกมาขว้างปาข้าวของโวยวายเสียงดัง ด่าทอหยาบคาย “นางซุ่นจั้ง นังคนเนรคุณ สมควรตาย กล้าดียังไงถึงได้ไปรับใช้นางลูกโสเภณีนั่น!”

หน้าเรือนห่างไปห้าก้าว หมิงซีเหอยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังบานประตูด้วยสายตาเย็นชา มุมปากเหยียดขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน ฉวีกงกงที่เดินตามเบื้องหลังรีบก้มหน้าลง ถอยหลังไปห้าก้าว แสร้งหูหนวกเป็นใบ้ไปชั่วขณะ นึกสงสารท่านอ๋องขึ้นมาจับใจ ไม่รู้เพราะเหตุใดสตรีที่มาพัวพันกับจวิ้นอ๋อง แต่ละคนถึงได้เป็นเช่นนี้ โส่วหงซิ่วก็คนหนึ่ง สวีอีก็คนหนึ่ง ช่างหาดีไม่ได้เลยจริงๆ คิดแล้วให้รู้สึกปวดใจยิ่ง

หมิงซีเหอหมุนตัวเดินกลับตำหนักท่าทางไร้อารมณ์ พลางถามฉวีกงกง “ไหนเจ้าบอกว่านางบาดเจ็บสาหัส”

ฉวีกงกงใบหน้าจืดเจื่อน ตอบไม่เต็มเสียงนัก “ท่านหมอที่มาตรวจอาการของคุณหนูเหอ เป็นผู้รายงานให้กระหม่อมฟังพ่ะย่ะค่ะ”

เขาไม่จำเป็นต้องออกคำสั่ง ฉวีกงกงย่อมรู้ว่าต้องทำอันใด ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินผ่านลานจัตุรัส สวนกับสาวใช้นางหนึ่งเข้าพอดี สาวใช้นางนั้นหลบไปยืนด้านข้าง พร้อมกับยอบกายคำนับรอให้จวิ้นอ๋องเดินผ่านไป แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเจ้านายถึงได้หยุดลง ซุ่นจั้งได้แต่ยืนก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม

หมิงซีเหอปรายตามองห่อผ้าที่นางถือแวบหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น “เจ้ากำลังจะนำผ้าไปที่ใด”

ซุ่นจั้งตอบอย่างนอบน้อม “ไปร้านตัดเย็บในเมืองเพคะ”

คิ้วของหมิงซีเหอขมวดเล็กน้อย หันไปสั่งฉวีกงกง “ไปนำผ้าที่ส่งมาจากยูนนานมามอบให้นาง แล้วส่งคนไปตามช่างตัดเย็บจากร้านฝูเหล่ามาตัดชุดให้พระชายา”

สั่งเสร็จจวิ้นอ๋องก็ก้าวเท้าจากไป ทิ้งความประหลาดใจไว้ให้ฉวีกงกงและซุ่นจั้งเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองมองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็ไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่แยกย้ายไปทำตามคำสั่ง

หมิงซีเหอมองไปยังดวงอาทิตย์ที่เปลี่ยนตำแหน่ง เห็นว่าสายมากแล้ว พลันเร่งฝีเท้าตรงไปหน้าตำหนัก เพราะเรื่องจลาจลเมื่อวาน วันนี้เขาจึงถูกเรียกตัวเข้าวังเป็นการด่วน หลังจากที่ขึ้นไปนั่งบนรถม้า เสียงองครักษ์คนสนิทก็ดังแว่วเข้ามา “ฝูงชนที่ก่อความวุ่นวายเมื่อวาน ส่วนใหญ่มาจากอำเภอกว้านเสียนเมืองซูโจวพ่ะย่ะค่ะ”

“สืบต่อไป” หมิงซีเหอเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel