บท
ตั้งค่า

#9

วันนี้หงซิ่วใช้เวลาครึ่งค่อนวันหมดไปกับการวัดตัวตัดชุด นางไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องที่ซุ่นจั้งเล่าให้ฟัง ความมีน้ำใจของหมิงซีเหอนางยินดีรับไว้ ส่วนจะเกิดจากเหตุผลใดนั้น นางคร้านจะหาคำตอบ

ซุ่นจั้งออกจากจวนไปพร้อมกับช่างตัดเย็บ เพื่อไปสืบข่าว กระทั่งกลับมาตอนเย็น ก็รีบมารายงาน “ฝูงชนที่ก่อความวุ่นวายเมื่อวาน ส่วนใหญ่มาจากอำเภอกว้านเสียนจากซูโจวเพคะ”

หงซิ่วฟังแล้วให้รู้สึกแปลกใจยิ่ง จึงถามไปว่า “เจ้าได้ถามไถ่หรือไม่ ว่าเหตุใดราษฎรในกว้านเสียนถึงมาอยู่ในเป่ยจิงมากมายถึงเพียงนี้”

“เพคะ หม่อมฉันไปยังชุมชนแออัดในเขตถูกวาน สอบถามผู้ที่อพยพที่มาจากกว้านเสียน คนพวกนั้นเล่าว่า ที่ดินทำกินของพวกเขาถูกท่านข้าหลวงเต้าสุ่นยึดไป ก่อนหน้านี้เคยไปร้องเรียนนายอำเภอ แต่ถูกไล่ตะเพิดออกมา จึงรวมตัวกันเข้าเมืองหลวงเพื่อมาร้องทุกข์ ระหว่างเดินทางประสบโชคร้ายซ้ำสอง ถูกโจรปล้น บาดเจ็บล้มตายไปนับร้อย กว่าจะมาถึงที่นี่ จากสามร้อยคนจึงเหลือเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้นเพคะ”

หัวคิ้วของหงซิ่วขยับเล็กน้อยแทบมองไม่เห็น เรื่องที่ซุ่นจั้งเล่า ทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง ภายใต้อำนาจของโอรสสวรรค์ที่มีกฎหมายคุมเข้ม กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ซ้ำยังลามมาถึงเหตุจลาจล จนเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ไม่รู้ว่าหมิงซีจงปกครองบ้านเมืองเช่นไร

เมื่อวานฮูหยินของซ่งปาโหวเสียชีวิต คาดว่าคงต้องมีมือดีใช้เรื่องนี้เพื่อกำจัดชาวบ้านเหล่านั้นเป็นแน่ ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ แววตาของหงซิ่วก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา หันไปถามซุ่นจั้ง “ท่านอ๋องกลับมาหรือยัง”

“ยังเพคะ” ซุ่นจั้งตอบ พลางหันมองไปนอกหน้าต่าง เห็นว่าเย็นมากแล้ว จึงขอตัวไปเตรียมสำรับ

หลังจากรับมื้อเย็นเรียบร้อย หงซิ่วตัดสินใจออกไปรอหมิงซีเหอ ฉวีกงกงเชิญให้นางไปนั่งรอในห้องโถงกลาง เพราะเขาเองไม่แน่ใจว่าจวิ้นอ๋องจะกลับมาเมื่อใด

ก่อนมา หงซิ่วหยิบวรรณกรรมสามก๊กติดมือมาด้วย ยามนี้นางเลยนั่งอ่านอย่างสงบ

ราวยามเฉิน ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแววเข้ามา ไม่นานก็เห็นร่างของจวิ้นอ๋องในชุดผ้าไหมสีแดงเข้มปักลายมังกรดำกลางอก กำลังถอดหมวกแพรสีนิลส่งให้ฉวีกงกง หงซิ่วปิดหน้าหนังสือส่งให้ซุ่นจั้ง ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ

หมิงซีเหอปรายตามองแวบหนึ่ง ขณะที่เดินผ่านหน้านางตรงไปยังเก้าอี้ตำแหน่งประธาน รับจอกชาจากสาวใช้มานั่งจิบ

หงซิ่วรอให้เขาวางถ้วยชาลง แล้วค่อยกล่าวขึ้น “หม่อมฉันมีเรื่องอยากถามท่านอ๋องสักเล็กน้อย ไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะอนุญาตหรือไม่เพคะ”

หมิงซีเหอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ โบกมือไล่บ่าวไพร่ รอให้ทุกคนออกไปจนหมด ก็เอ่ยออกมาคำหนึ่ง “ถามมา”

หงซิ่วทบทวนคำถามครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกไป “วันนี้ มีขุนนางคนใดเสนอให้ประหารชาวบ้านที่มาจากกว้านเสียนบ้างหรือไม่เพคะ”

หมิงซีเหอไม่ได้ตอบในทันที แต่กวาดตามองไปยังใบหน้างดงามของคนถามคล้ายไม่ตั้งใจคราหนึ่ง ชั่วขณะนั้น ในห้องโถงพลันเกิดความเงียบ คนทั้งสองต่างลอบมองประเมินกันและกัน ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงได้เอ่ยปาก “วันนี้มีขุนนางสี่คนที่เสนอเรื่องนี้”

หงซิ่วถามต่อ “นอกจากซ่งปาโหวแล้วมีผู้ใดอีกเพคะ”

“เจ้ากรมพิธีการ เจ้ากรมอาญา และบิดาของเจ้า” หมิงซีเหอตอบอย่างใจเย็น

ครั้นได้ฟังว่ามีโส่วเย่าหนานร่วมด้วย หงซิ่วพลันคิดไปถึงความทรงจำดั้งเดิม ทว่าไม่พบเรื่องสลักสำคัญอันใด มีเพียงความใจร้ายใจดำของบิดาที่มีต่อบุตรีเท่านั้น เมื่อได้คำตอบจนพอใจแล้ว จึงหันไปยอบกายขอบคุณจวิ้นอ๋อง เขาเพียงพยักหน้ารับ แต่พอนางกำลังจะเดินออกไป หมิงซีเหอพลันถามขึ้น “เจ้าเป็นใครกันแน่” นางไม่ได้ตอบคำ เดินจากไปทันที

หมิงซีเหอมองตามแผ่นหลังบอบบางด้วยแววตาคลางแคลง มาถึงตอนนี้ เขามั่นใจอย่างยิ่ง ว่านางไม่ใช่โส่วหงซิ่ว หลังจากที่นางจากไปไม่นาน องครักษ์ลับก็ได้รับคำสั่งให้คอยติดตามพระชายาทุกฝีก้าวไม่ให้คลาดสายตา ทั้งยังสืบเรื่องของนางอย่างละเอียด

ภายในเรือนเฟ่ยอู่ ก่อนจะเข้านอน หงซิ่วสั่งให้ซุ่นจั้งหาชุดสาวใช้มาเตรียมไว้ เพราะพรุ่งนี้นางจะต้องไปพบคนผู้หนึ่ง คงถึงเวลาแล้วที่นางต้องแก้ไขความผิดพลาดในอดีต

สายลมยามเช้าพัดพาเอากลิ่นอายเหมันต์โชยมาอ่อนๆ บ่งบอกว่าใกล้ถึงยามผลัดเปลี่ยนฤดูเต็มที หงซิ่วเหม่อมองไปยังต้นอู่ถงเบื้องหน้า พลางกล่าวว่า “ข้าต้องการไปประตูเมืองตะวันออก จำต้องใช้รถม้า เรื่องนี้เจ้าจัดการได้หรือไม่”

“ได้เพคะ” ซุ่นจั้งรับคำ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

นับว่าตำแหน่งของซุ่นจั้งในจวนอ๋องนั้นไม่ธรรมดา ไม่นานหงซิ่วก็ได้นั่งรถม้าตรงไปยังประตูเมืองตะวันออก หากสวีอีไม่โง่เขลาจนเกินไป สมควรมองออกถึงฐานะของซุ่นจั้งแต่แรก เกรงว่าเหอสวีอีจะสูญเสียโอกาสดีๆ ไปแล้ว

ตลอดทางที่อยู่บนรถม้ามีแต่ความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงล้อหมุนดังแว่วเข้ามา ซุ่นจั้งลอบมองหงซิ่วอยู่นาน ชั่วขณะหนึ่งเผลอคิดไปว่าตนเองนั่งอยู่เบื้องหน้าไท่เฟย พระชายาผู้นี้แม้จะอยู่ในวัยปักปิ่น ทว่าบรรยากาศรอบกายกลับแลดูสูงส่ง อีกทั้งกิริยาท่าทางการวางตัวสง่างามหาใดเปรียบ กระทั่งชุดสาวใช้ที่สวมอยู่บนร่างยังดึงนางให้ลงต่ำมิได้

ไม่ได้มีเพียงจวิ้นอ๋องเท่านั้นที่สงสัย ซุ่นจั้งเองก็สงสัยในความเปลี่ยนแปลงนี้ของโส่วหงซิ่วเช่นกัน

รถม้าหยุดลงที่หน้าประตูเมือง เมื่อได้กลับมาเห็นที่เกิดเหตุอีกครั้ง ทั้งสองพลันรู้สึกเศร้าสลดอยู่บ้าง

หงซิ่วมองไปยังทหารยามทั้งสี่ ก่อนจะหันไปสั่งซุ่นจั้ง “ข้าจะไปรอหลังทิวสน เจ้าไปตามทหารยามแซ่จินนามทั่งหยวนไปพบข้าที”

“เพคะ” ซุ่นจั้งรับคำ หมุนตัวเดินตรงไปยังป้อมทหารยาม ส่วนหงซิ่วเดินตรงไปยังทิวสนเบื้องหน้า หัวใจพลันเต้นแรงอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็ค่อยๆ สงบลง

การพบปะกับบุรุษเยี่ยงนี้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งซุ่นจั้งจึงไม่ได้บอกจินทั่งหยวนว่าหงซิ่วมีตำแหน่งใด เพียงบอกไปว่าเป็นสาวใช้จวนอ๋องที่ประสบเหตุเมื่อวาน วันนี้เลยต้องการมาขอบคุณ ทหารยามที่เข้าเวรคนอื่นต่างไม่มีใครสงสัย

นางอาจหลอกผู้อื่นได้ แต่มิอาจหลอกจินทั่งหยวนได้ ดูจากการกระทำก็รู้แล้ว หากอีกฝ่ายเป็นเพียงสาวใช้จวนอ๋องจริง คงไม่จำเป็นต้องเรียกเขาเข้ามาในที่ลับตาเยี่ยงนี้ แต่ทั่งหยวนคร้านจะเปิดโปง เลยเดินตามมาเงียบๆ

พอห่างจากทิวสนสิบก้าว ซุ่นจั้งก็บอกให้เขาเข้าไป ทั่งหยวนก้าวเดินต่อไปข้างหน้า กระทั่งถึงหลังต้นสนขนาดใหญ่เท่าสามคนโอบ ที่นั่นมีหญิงสาวรออยู่จริง เพียงแค่เห็นครั้งแรก ทั่งหยวนจำได้ทันที ร่างสูงใหญ่ถอยไปยืนหลังสนต้นถัดไปเพื่อเว้นระยะห่าง จากนั้น ทำความเคารพอีกฝ่ายในฐานะจวิ้นหวางเฟย

เมื่อวานนี้ ไม่มีผู้ใดที่จะมองไม่เห็นสตรีนางนี้ แม้ว่าจะมีหญิงสาวมายืนแจกทานในตำแหน่งพระชายา ทว่ามองปราดเดียวก็รู้ ว่าผู้ใดคือตัวจริง

หงซิ่วมองทั่งหยวนนิ่งนาน กระทั่งอีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปาก “ไม่ทราบว่าพระชายามีธุระอันใดกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

นางไม่ได้ตอบคำ กลับท่องกลอนออกมาบทหนึ่ง

‘ใบไม้ร่วงโรยเหลือเพียงกิ่งก้าน ลมเหมันต์พัดกลีบดอกขาวสะพรั่ง พื้นหิมะสีขาวแต่งแต้มด้วยกลีบดอกเหมยสีแดง’

ร่างกายของทั่งหยวนเครียดขึงขึ้นมาทันที หว่างคิ้วย่นเข้าหากันจนปลายหางเชิดขึ้นสูง ส่งให้เครื่องหน้าแลดูดุดันน่าเกรงขาม เขาถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “พระชายาทราบกลอนบทนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

หงซิ่วใช้สายตาของแม่ทัพเสวียนในกาลก่อนมองเขา ตอบเสียงหนักแน่น “ข้าท่องมันตอนกำลังฟาดฟันดาบใส่ศัตรู เพื่อตีฝ่าวงล้อมของทหารมองโกลครานั้น”

ได้ยินดังนั้น ทั่งหยวนพลันตกตะลึงจนเอ่ยวาจาไม่ออก กลอนบทนี้ มีเพียงสี่รองแม่ทัพที่อยู่ข้างกายแม่ทัพเสวียนเท่านั้นที่เคยได้ยิน เรื่องนั้นเขามั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ศึกครานั้น พวกเขาตกอยู่ในวงล้อม ในขณะตกอยู่สถานการณ์เป็นตาย ผู้ใดจะไปคิดว่าแม่ทัพของพวกเขาจะท่องกลอนออกมาบทหนึ่ง ทั้งยังถือดาบคู่ไล่ฆ่าศัตรูอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายก็ตีฝ่าออกมาได้

“ท่านแม่ทัพ” ทั่งหยวนขานเรียกนางเสียงแผ่วเบา เชื่อจนหมดใจ มองหงซิ่วไม่วางตา นางเอ่ยกับเขาด้วยความรู้สึกผิด “อาหยวน ข้าขอโทษที่ทิ้งพวกเจ้า”

ทั่งหยวนกล่าวคำว่า ‘ไม่’ คำหนึ่ง พลางก้าวเข้าไปหา กระทั่งห่างกันเพียงสองก้าว ถึงได้ถามขึ้น “มันเกิดอันใดขึ้นกับท่าน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”

ใบหน้าของหงซิ่วเผยรอยยิ้มจืดเจื่อน ชี้นิ้วขึ้นฟ้าพลางตอบว่า “คงเป็นสวรรค์กำหนด”

คำตอบนี้นับว่าฟังขึ้นที่สุดแล้ว ก็คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะทำให้เกิดเรื่องเหนือธรรมชาติเยี่ยงนี้ขึ้นมาได้

หงซิ่วกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าคราหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น “อาหยวน เหตุใดถึงได้ตกต่ำถึงเพียงนี้ แล้วหานชี มุ่ยกัว จางหยางเล่า เป็นอย่างไรกันบ้าง”

“พวกเรารอท่าน” ครั้นได้ยินประโยคนี้ แววตาของหงซิ่วพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง ทั่งหยวนเกรงว่านางจะคิดมาก รีบกล่าวต่อไปว่า “ท่านแม่ทัพ ทุกอย่างหาใช่ความผิดของท่าน ได้โปรดอย่าโทษตัวเองเลย เป็นพวกเราที่เต็มใจจงรักภักดีที่จะรอท่านเอง”

นางสูดหายใจเข้าอย่างแรง สลัดอารมณ์หม่นหมองทิ้งไป หันไปกล่าวกับเขา “ข้าอยากพูดคุยกับเจ้า อยากรู้เรื่องของหานชี มุ่ยกัว จางหยาง และกองทัพของข้า อยากรู้ว่าตั้งแต่ที่ข้าจากไป มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่วันนี้ยังไม่เหมาะ เอาไว้วันหน้าข้าจะไปหาเจ้าที่บ้าน”

ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของทั่งหยวนก็เผยความดีใจออกมา กล่าวว่า “ข้าก็อยากพูดคุยกับท่าน”

หงซิ่วยิ้มให้เขา จากนั้นก็เอ่ยถึงเรื่องที่พบจินทั่งเจียวให้ฟัง ทั้งยังมอบของมีค่าที่เตรียมมาส่งให้ คราแรกทั่งหยวนจะไม่ยอมรับ แต่พอรู้เจตนาของนาง เขาถึงได้รับไว้ อันที่จริงหงซิ่วมีแผนที่จะออกจากจวนอ๋องหลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น นางจึงจำต้องหาที่อยู่ใหม่เตรียมไว้ เรื่องนี้คงต้องพึ่งทั่งหยวน

หลังจากพูดกันเป็นที่เข้าใจ หงซิ่วก็เงยหน้ามองพระอาทิตย์ เห็นว่าตนเองออกจากจวนมานาน อีกทั้งยามนี้ยังทำตัวไม่เหมาะสม สมควรจะต้องกลับเสียที มิเช่นนั้นอาจเกิดเรื่องใหญ่ได้ จึงล่ำลาทั่งหยวน

แต่หารู้ไม่ว่านางทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ บรรยากาศภายในรถม้าสีดำที่จอดอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร หมิงซีเหอแทบอยากจะเข้าไปบีบคอคนเสียเดี๋ยวนี้ ยิ่งเห็นสายตาที่นางใช้มองบุรุษอื่น ก็ยิ่งเดือดดาล “กลับจวน!” หมิงซีเหอสั่งเสียงลอดไรฟัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel