#7
ในที่สุดก็ถึงเวลาแจกทาน หญิงสาวสูงศักดิ์ทั้งหลายเริ่มทยอยกลับไปยังซุ้มของตัวเอง องครักษ์เข้าประจำที่ตามจุดต่างๆ หงซิ่วเดินผ่านไปหลายซุ้มกระทั่งไปถึงซุ้มของจวนจวิ้นอ๋อง
ครั้นเห็นเหอสวีอียืนในตำแหน่งของตัวเอง นางจึงไม่ได้ก้าวเข้าไป ซุ่นจั้งหันมาเห็น รีบยกเก้าอี้มาให้ หงซิ่วลงนั่งด้วยท่วงท่าสง่างาม แผ่นหลังตั้งตรง สายตามองตรงไม่มีว่อกแว่ก กิริยาท่าทางสงบนิ่งแฝงไว้ด้วยความสูงส่ง ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องมองซ้ำอยู่หลายรอบ กอปรกับวันนี้นางเลือกสวมชุดขาวไร้ลวดลายที่เคยใส่ในวันฝังพระศพ จึงให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็น
การแจกทานผ่านไปไม่ถึงเค่อ เหอสวีอีก็เริ่มหมดความอดทน พอได้กลิ่นเหงื่อไคลสาบสางของชาวบ้านมากเข้าก็เริ่มทนไม่ไหว ไหนจะแสงแดดที่เริ่มร้อนขึ้น สีหน้าที่เคยเสแสร้งปั้นยิ้มยามนี้กลับดูแทบไม่ได้
ราษฎรยิ่งมาก็ยิ่งมาก เกิดการเบียดเสียดยัดเยียดไร้ระเบียบ ภาพที่เห็นทำให้หัวคิ้วของหงซิ่วขยับ นึกไม่ถึงว่าเป่ยจิงจะมีคนยากจนมากมายถึงเพียงนี้
“ทุกคนอยู่ในความสงบ!” ทหารองครักษ์ตะโกนเสียงดังกังวาน ทว่าไม่มีผู้ใดฟัง
หงซิ่วกวาดตามองไปยังซุ้มต่างๆ เห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่าคงได้เกิดจลาจลเป็นแน่แท้ เมื่อโต๊ะตั้งของถูกดันเข้ามา สวีอีจึงเผลอตวาดถ้อยคำหยาบคาย เกิดเป็นการยั่วยุฝูงชน ครั้นเห็นท่าไม่ดี หงซิ่วรีบดึงมือซุ่นจั้งที่ยืนอยู่ใกล้สุดล่าถอยเข้าไปหลังทิวสน
เสี้ยวลมหายใจจากนั้น โต๊ะแจกทานก็ล้มครืนลงมา ฝูงชนกระโจนเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เหยียบย่ำคนล้มราวกับเหยียบบนต้นไม้ใบหญ้า เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่ว แยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร สถานการณ์ยากเกินจะควบคุม
ซุ่นจั้งที่พึ่งรอดพ้นมาได้อย่างหวุดหวิดยกมือขึ้นปิดปากตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น คิดไปว่าหากนางยังอยู่ตรงนั้นจะมีสภาพเช่นไร คิดแล้วก็อดที่จะก้มมองไปยังมือที่ถูกกุมเอาไว้อย่างแน่นหนาไม่ได้ ไม่นานซุ่นจั้งก็ค่อยๆ สงบลง คล้ายได้รับพลังจากมือข้างนั้นของพระชายา
หงซิ่วยืนมองความวุ่นวายตรงหน้าด้วยสายตาไม่บ่งบอกอารมณ์ ในหัวพลันรู้สึกว่างเปล่าไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าราษฎรกินดีอยู่ดีหรอกหรือ หรือตลอดสิบปีที่ผ่านมา เป็นนางเข้าใจผิดไปเอง
กว่าทหารจะควบคุมสถานการณ์ได้ ใช้เวลานานพอควร ฝูงชนถูกสั่งให้นอนหมอบลงกับพื้น คนเจ็บร้องโอดโอย บางคนร้องห่มร้องไห้ บรรดาคุณหนูและฮูหยินตระกูลสูงศักดิ์สภาพดูแทบไม่ได้ บ้างสลบ บ้างหัวร้างข้างแตก ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าอาภรณ์เปรอะเปื้อน
หงซิ่วเห็นหมิงซีเหอยืนอยู่ท่ามกลางกองทหาร เห็นเขากวาดตาไปรอบๆ คล้ายมองหาใครบางคน กระทั่งเขาวิ่งตรงมายังทิศทางที่นางยืนอยู่ อุ้มร่างไร้สติของสวีอีขึ้น จังหวะนั้นเขากับนางบังเอิญได้สบตากันพอดี
หมิงซีเหอนิ่วหน้า ก่อนจะรีบพาร่างของสวีอีจากไป
ซุ่นจั้งเห็นว่าเหตุการณ์สงบแล้วจึงประคองพระชายาก้าวออกมา
หงซิ่วกวาดตามองไปรอบๆ รู้สึกสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งหันไปเห็นคนผู้หนึ่งกำลังวิ่งวุ่นช่วยเหลือผู้คนที่บาดเจ็บ เห็นแวบเดียวนางก็จำได้ทันที ร่างกายสูงใหญ่กำยำผิวดำแดงเยี่ยงนี้ คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก ‘จินทั่งหยวน’ นางพาซุ่นจั้งเข้าไปช่วยเหลือคนบาดเจ็บเท่าที่พอจะช่วยได้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่หมอ ใช้เวลาไปเกือบหมดวัน กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น
เหตุการณ์นี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงสามศพ ซ้ำหนึ่งในนั้นยังเป็นถึงฮูหยินของซ่งปาโหว ท้องถนนเต็มไปด้วยเลือดเป็นหย่อมๆ การแจกทานครั้งนี้ ที่สุดก็กลายเป็นทานเลือด
หงซิ่วเดินย่ำเท้าไปตามถนนในเมืองด้วยท่าทางเหม่อลอย โดยมีซุ่นจั้งประคอง กระทั่งมีรถม้ามาจอดเทียบข้าง “ขึ้นมา!” เสียงกึ่งตะคอกดังขึ้นคราหนึ่ง ซุ่นจั้งส่งหงซิ่วขึ้นรถม้า ส่วนตนเองเดินไปนั่งด้านหน้า
ตั้งแต่นางขึ้นมา สายตาของหมิงซีเหอไปตกอยู่ตามรอยเลือดบนร่างกายคล้ายมองสำรวจหาอาการบาดเจ็บ พอรถม้าเคลื่อนตัว เขาถึงได้ดึงสายตากลับ หันมองไปนอกหน้าต่าง พลางเอ่ยถามนางเสียงเย็นชา “เหตุใดเจ้าถึงไม่ช่วยอีเอ๋อ”
“นางอยู่ไกลเกินไป” หงซิ่วตอบเสียงเรียบ หมิงซีเหอหันกลับมาจ้องหน้า กล่าวเสียงเข้ม “เจ้าจะให้ข้าเชื่ออย่างนั้นหรือ”
หงซิ่วมองสบตาเขา ตอบออกไปอย่างเหนื่อยหน่าย “สวีอียืนแจกทานอยู่หน้าสุดในตำแหน่งจวิ้นหวางเฟย ส่วนหม่อมชั้นนั่งอยู่ติดป่าสน ถ้าช่วยนางได้ก็คงประหลาดเต็มที”
“อ้อ ที่แท้ ที่เจ้าไม่ช่วยนาง เพราะนางยึดตำแหน่งของเจ้าไป ไหนเจ้าบอกว่าตาสว่างแล้ว พร้อมจะหย่าให้ข้า ที่พูดมาทั้งหมด ล้วนหลอกลวงเสแสร้งใช่หรือไม่” หมิงซีเหอเอ่ยเยาะ
ยามนี้หงซิ่วทั้งเหนื่อยทั้งหิว จิตใจรู้สึกไม่มั่นคงอยู่บ้าง ครั้นมาได้ยินวาจาเยี่ยงนี้ จึงหมดความอดทน ตอบกลับเสียงเย็นชา “หมิงซีเหอ กลับไปพวกเราหย่ากันเลยเถิด”
ไม่เพียงแค่เอ่ยวาจาไร้เยื่อใย ยังมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ หลงเหลืออยู่เลยสักกระผีก หากมองดีๆ ในแววตาคู่นั้น ออกจะแฝงความเบื่อหน่ายอยู่กลายๆ ด้วยซ้ำ หมิงซีเหอเห็นแล้วไหนเลยจะทนได้ ความเดือดดาลพลันขึ้นหน้า ตะคอกกลับอย่างดุดัน “อย่าได้ฝัน! เป็นเจ้าที่อยากแต่งกับข้าเอง ต่อให้ตายเจ้าก็ต้องตายในฐานะชายาของข้า”
หงซิ่วคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขาอีก จึงเลือกที่จะเงียบ เสมองไปทางอื่น แต่ยิ่งนางทำเช่นนี้ มันกลับยิ่งเป็นการยั่วยุ
หมิงซีเหอกระชากร่างเล็กลงมากดไว้กับพื้นพรม รวบแขนสองข้างของนางไว้เหนือศีรษะด้วยมือข้างเดียว อีกมือหนึ่งบีบเข้าที่ปลายคาง ครั้นพอลงมือไปแล้ว กลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ ทั้งสองเลยได้แต่สบตากันในท่วงท่าล่อแหลม
ร่างของหมิงซีเหอคร่อมทับอยู่บนตัวของหงซิ่ว หัวเข่าสองข้างคร่อมอยู่ใต้ท้องน้อยพอดิบพอดี หากเขานั่งลงคงไม่ต้องกล่าวถึง
บรรยากาศบนรถม้าแลดูประหลาดพิกล มีเพียงเสียงล้อหมุนดังแว่วเข้ามา ฝ่ามือที่บีบอยู่บนปลายคางเผลอคลายออก เผยให้เห็นรอยริ้วสีแดงบนแก้มขาวนวล หมิงซีเหอขมวดคิ้วมอง ไม่คิดว่าผิวพรรณของหงซิ่วจะบอบบางถึงเพียงนี้
เมื่อนางไม่เอ่ยวาจาห้ามปราม เขาเองก็คร้านจะขยับ สภาพเช่นนี้จึงคงอยู่กระทั่งถึงจวน หมิงซีเหอรีบผละออกจากร่างเล็ก กระโดดลงจากรถม้าโดยไม่รอให้บ่าวไพร่นำเก้าอี้มารอง เดินตัวปลิวตรงไปยังตำหนักไท่หยาง
