บท
ตั้งค่า

#6

หลังจากที่นางก้าวลงมาจากรถม้า สวีอีก็ก้าวตามลงมา ซ้ำยังวางท่าราวกับว่าตนเองเป็นจวิ้นหวางเฟย พอเห็นว่าหงซิ่วมัวแต่ยืนนิ่งไม่ขยับก็แค่นเสียงหนักๆ ใส่คำรบหนึ่ง ยื่นแขนไปให้ซุ่นหยิงประคอง

ซุ่นจั้งเห็นว่าคงเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร ที่จะปล่อยให้พระชายาเดินเข้าไปเพียงลำพัง จึงเข้าไปประคอง

เพียงแค่นางปรากฏตัว บรรยากาศครึกครื้นในซุ้มแจกทานพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นมาทันตา สายตาหลายคู่มองมาอย่างรังเกียจ หาได้มีผู้ใดเกรงใจตำแหน่งของนางไม่ บางคนถึงกับพ่นวาจากระแนะกระแหนออกมา

“ยังมีหน้าออกมาอวดโฉมต่อหน้าผู้คน ช่างไม่มียางอายเอาเสียเลย” ผู้ที่เอ่ยประโยคนี้ เป็นคุณหนูจากตระกูลหลัว ธิดาคนกลางของเจ้ากรมคลัง ในความทรงจำของหงซิ่ว หลัวหย่าอิงผู้นี้ เป็นหลานสาวแท้ๆ ของเฮ่อเฟย และงานบุปผาที่จัดขึ้นในวันนั้น ก็เตรียมไว้เพื่อให้นางได้พบปะกับจวิ้นอ๋อง ไม่แปลกที่หลัวหย่าอิงจะเกลียดชังคุณหนูใหญ่ตระกูลโส่ว

หงซิ่วเดินผ่านเด็กสาวกลุ่มนั้นด้วยใบหน้าเฉยเมย ไม่ใคร่จะใส่ใจนัก การวางตัวของซุ่นจั้งนับว่าใช้ได้ทีเดียว นางเลือกที่จะประคองหงซิ่วไปยังมุมอับไร้ผู้คน คล้ายกับรู้ถึงความลำบากใจของพระชายา

หลังจากประคองหงซิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ ซุ่นจั้งก็เอ่ยขึ้น “เชิญพระชายาประทับอยู่ที่นี่ก่อนนะเพคะ หม่อมฉันจะไปรินชามาให้ คาดว่าอีกพักใหญ่ถึงจะเริ่มแจกทาน” หงซิ่งพยักหน้า ทว่าซุ่นจั้งก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกสวีอีตบจนหน้าหัน ทั้งยังตวาดเสียงดัง “นังคนอกตัญญู! นายของเจ้ายืนอยู่ตรงนี้ กล้าดีอย่างไรไปรับใช้ผู้อื่น!”

ผู้คนพากันหันมอง เสียงซุบซิบนินทาเริ่มดังขึ้น มาถึงตอนนี้ สวีอีถึงได้รู้สึกตัว รีบตีหน้าเศร้า ยอบกายไปรอบๆ เอ่ยขอโทษขอโพยเสียงอ่อน “ขออภัยเจ้าค่ะ สวีอีเพียงสั่งสอนสาวใช้เนรคุณ ต้องขออภัยทุกท่านแล้ว” เอ่ยจบสวีอีก็รีบเดินจากไป

ซุ่นจั้งก้มหน้านิ่งปล่อยให้ซุ่นหยิงลากตัวพาเดินตามหลังเจ้านาย แม้ว่าทั้งสามจะเดินพ้นตาไปแล้ว ทว่าสายตาหลายคู่ยังจับจ้องมาที่ร่างของหงซิ่วไม่วางตา

หลังจากเหตุการณ์น่าขายหน้าของเหอสวีอีผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ เด็กสาวกลุ่มหนึ่งก็พากันเดินเข้ามา ในความทรงจำของหงซิ่ว เด็กสาวผู้นี้คือน้องสาวต่างมารดาของนาง นามว่าโส่วเย่าหลัน อายุอ่อนกว่าหงซิ่วเพียงหนึ่งเดือน

โส่วเย่าหลันก้าวเข้ามายืนเบื้องหน้า โน้มตัวลงมากระซิบข้างหูนางเสียงเบา “ท่านพ่อรับปากข้าแล้ว ว่าจะกราบทูลฮ่องเต้ ให้ข้าได้แต่งกับจวิ้นอ๋อง อีกไม่นานเจ้าก็จะถูกเฉดหัวออกมา ดีใจหรือไม่”

หากเป็นโส่วหงซิ่วคนก่อนได้ยินประโยคนี้ จะต้องลุกขึ้นมาโวยวาย ตบตีด่าทอน้องสาวต่างมารดา จนทำให้ตนเองขายหน้าเหมือนทุกที แต่เผอิญว่านางไม่ใช่ หงซิ่วเพียงปรายตามองเด็กสาวที่พึ่งจะยืดตัวขึ้นยืนตรงอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก อีกทั้งยังไม่ยอมเอ่ยวาจา ประหนึ่งว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน

เย่าหลันเห็นว่าแผนเดิมใช้ไม่ได้ผล ชั่วขณะหนึ่งจึงทำอันใดไม่ถูก กระทั่งเด็กสาวในกลุ่มเอ่ยขึ้น “เย่าหลัน เจ้าอย่าได้ไปเสวนากับคนไร้ค่าเยี่ยงนี้ให้เสียปาก นางไม่เคยมองเจ้าเป็นน้องสาว ไฉนยังไปดีกับนางอีก”

โส่วเย่าหลันได้ทีรีบตีหน้าเศร้า กล่าวเสียงดังให้ผู้คนได้ยิน “ถึงอย่างไร นางก็เป็นพี่สาวข้า พวกเจ้าอย่าได้รังเกียจนางเลย พี่ใหญ่แค่เอาแต่ใจตัวเองมากไปหน่อยเท่านั้น”

เป็นดังคาด หลายคนเริ่มมองมาที่หงซิ่วด้วยความไม่พอใจ นึกสงสารเห็นใจคุณหนูรองตระกูลโส่วไม่น้อย เย่าหลันเห็นว่าแผนนี้ได้ผล จึงรีบคว้ามือของหงซิ่วไปกุม กล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมตามกำหนด ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก ท่านไปร่วมแจกทานที่ซุ้มตระกูลโส่วกับพวกเราเถิด”

ในขณะที่เอ่ยประโยคนี้ โส่วเย่าหลันแอบจิกเล็บเข้าที่ใต้ฝ่ามือของหงซิ่วอย่างแรงโดยไม่ให้ใครเห็น ซึ่งการกระทำของนางนับว่าได้ผล เพราะสามารถทำให้หงซิ่วผินหน้ามามองได้

หงซิ่วมองไปยังมือที่ถูกเกาะกุม จากนั้นก็มองไปที่ใบหน้าของโส่วเย่าหลัน ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ ทว่าดังประมาณหนึ่ง “เจ้าจะจิกเล็บใส่ฝ่ามือข้าอีกนานแค่ไหน”

เย่าหลันได้ยินก็ตกใจ รีบชักมือกลับ ทำท่าราวกับถูกรังแก น้ำเริ่มเอ่อคลอดวงตา ละล่ำละลักตอบกลับเสียงสั่นเครือ “พี่ใหญ่ เหตุใดถึงใส่ร้ายข้า”

หงซิ่วไม่ได้ตอบคำ เพียงหงายฝ่ามือคล้ายไม่เจตนาให้ทุกคนได้เห็น ด้วยความที่นางเป็นคนมีผิวขาวจัดทั้งยังเป็นคนผิวบาง ร่องรอยจึงเห็นเด่นชัด

หลายคนเริ่มมองโส่วเย่าหลันด้วยสายตาคลางแคลง แม้แต่สหายด้านหลังก็ไม่เว้น เพราะพวกนางเห็นรอยเล็บชัดเจนกว่าผู้อื่น เย่าหลันเห็นท่าไม่ดีรีบปิดหน้าร้องไห้วิ่งหนีไป

หงซิ่วไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ นั่งนิ่งราวกับว่านางไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ห่างไปไม่ไกล ม่านไม้ไผ่บนรถม้าสีดำปิดลง หมิงซีเหอรู้สึกไม่เชื่อสายตาตัวเองอยู่บ้าง อันที่จริงวันนี้เขาเพียงต้องการทดสอบหงซิ่ว จึงอนุญาตให้เหอสวีอีมาร่วมงาน ไม่คิดว่านอกจากนางจะไม่รังแกสวีอีแล้ว ยังรับมือกับสายตาดูถูกเหยียดหยามของผู้คนอย่างนิ่งสงบ ไม่ได้โวยวายด่าทอเหมือนแต่ก่อน

ความสงสัยผุดขึ้นในใจไม่หยุดหย่อน แต่ในเมื่อยังหาคำตอบที่สมเหตุสมผลไม่ได้ เลยเลือกที่จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป หันไปสั่งให้รถม้าเคลื่อนตัว

หงซิ่วกวาดสายตามองหาซุ้มของตระกูลเสวียน จนกระทั่งได้เห็นคนคุ้นเคยจากที่ไกลๆ แววตาพลันอ่อนโยนลง รู้สึกดียิ่งที่ทุกคนไม่ได้เดือดร้อนเพราะนาง หงซิ่วไพร่คิดไปถึงพี่น้องต่างมารดาแต่ละคน อันที่จริงครอบครัวของเสวียนซู่ชิงไม่ได้แตกต่างจากโส่วหงซิ่วมากนัก

ทั้งสองมีบิดาเป็นทหารเหมือนกัน มารดาสิ้นตอนคลอดเหมือนกัน จะแตกต่างกันก็ตรงที่ คนตระกูลเสวียนล้วนดีกับเสวียนซู่ชิง ก่อนหน้าที่จะแต่งให้องค์ชายใหญ่ ซู่ชิงคือผู้นำตระกูลเสวียน แม่ทัพหญิงคนที่สองของต้าหมิง หญิงสาวผู้มีเรือนร่างสูงใหญ่กำยำเฉกเช่นบุรุษ ไม่เคยผ่านการรัดเท้า หลังจากแต่งเป็นชายาแล้ว ตำแหน่งผู้นำตระกูลจึงตกเป็นของเสวียนซู่เค่อพี่ชายต่างมารดา ซู่ชิงยังมีน้องสาวต่างมารดาอีกสี่คน

ครั้นคิดไปถึงบรรดาน้องสาวแววตาของนางพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง ทว่าไม่นานก็กลับมาว่างเปล่าดังเดิม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel