#5
หลังจากเขาไปแล้ว หงซิ่วยกนิ้วมือขึ้นมากางดูตามความเคยชิน ในชาติก่อนเป็นฮองเฮานางจะสวมปลอกเล็บ ยามที่ต้องใช้ความคิดมักจะทำเช่นนี้เสมอ แต่ครั้งนี้กลับเห็นเพียงนิ้วมือเรียวยาวขาวผุดผ่อง ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มสมเพชตัวเองออกมา
อันที่จริงหมิงซีเหอหาได้โง่งมอย่างที่นางคิด เขาไม่ใช่ไม่รู้ถึงนิสัยใจคอของเหอสวีอี ที่ผู้คนร่ำลือไปว่าเขารักสวีอีนั้น ล้วนไม่เป็นความจริง เขาเพียงแค่ต้องการตอบแทนบุญคุณบิดาของนางก็เท่านั้น มิหนำซ้ำ ยังไม่เคยให้ความหวังกับสวีอีว่าจะตกแต่งด้วย
แต่หากเปรียบกับความร้ายกาจของโส่วหงซิ่วแล้ว เหอสวีอีนับว่าดีกว่าเป็นร้อยเท่า ย่อมไม่แปลกที่เขาจะเข้าข้างนาง ทว่าครานี้ หงซิ่วกลับดูผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมราวกับเป็นคนละคน ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อครู่ เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายกระทำผิดต่อนาง ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ หมิงซีเหอพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวตรงไปยังเรือนหูเยว่พลันเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน จนข้ารับใช้เบื้องหลังก้าวตามแทบไม่ทัน
ฉวีกงกงอดที่จะเหลียวมองกลับไปยังประตูห้องโถงมิได้ แทบไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวเมื่อครู่ จะเป็นคนเดียวกับสตรีต่ำช้าผู้นั้น
เรือนหูเยว่ หลังจากที่หมอกลับไป สวีอีก็ลุกมานั่งพิงหัวเตียงชะเง้อคอมองไปทางประตูไม่ขาด กล่าวกับสาวใช้อย่างร้อนรน “เหตุใดท่านอ๋องถึงยังไม่เสด็จมาอีก”
ซุ่นหยิงมีสีหน้าลำบากใจ เอ่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องโถงให้เจ้านายฟัง ครั้นพอฟังแล้ว สวีอีก็แผดเสียงใส่ทันที “นางโง่! เจ้าไปตอบเช่นนั้นได้อย่างไร มิน่าเล่า ท่านอ๋องถึงไม่ยอมมาหาข้า ไปเลยนะ เจ้าไปตามท่านอ๋องมาเดี๋ยวนี้ หากท่านอ๋องไม่มา ข้าจะสั่งโบยเจ้า!”
ซุ่นหยิงหน้าซีด รีบออกจากห้องด้วยความหวาดกลัว ซุ่นจั้งเห็นอย่างนั้นจึงกล่าวห้ามปราม “คุณหนู ใจเย็นเจ้าค่ะ บางทีท่านอ๋องอาจจะลงโทษพระชายาอยู่ก็เป็นได้ ท่านให้ซุ่นหยิงไปตอนนี้คงมิใช่เรื่องดีกระมัง”
สวีอีตวัดสายตาไปมอง ตวาดอย่างขุ่นเคือง “ซุ่นจั้ง ต่อไปเจ้าห้ามเรียกนางลูกโสเภณีนั่นว่าพระชายาให้ข้าได้ยินอีกเป็นอันขาด! ไปตามซุ่นหยิงกลับมา!”
“เจ้าค่ะ” ซุ่นจั้งรับคำ หมุนตัวก้าวออกจากเรือน
เมื่อออกมาถึงชายคา นางก็อดที่จะเหลียวกลับไปมองไม่ได้ เดิมทีซุ่นจั้งเคยเป็นนางกำนัลในวังมาตั้งแต่เด็ก ถูกอบรมมาอย่างเข้มงวด ความคิดความอ่านจึงแตกต่างจากซุ่นหยิง ถึงนางจะไม่เคยห้ามปราม แต่ก็ไม่เคยยินดีสนับสนุนให้เหอสวีอีทำตัวชั่วร้าย
สวีอีผู้นี้ มีเพียงตอนอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องเท่านั้นถึงจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่หากพ้นตาเมื่อใด คงไม่ต้องกล่าวถึง คิดแล้วซุ่นจั้งก็ได้แต่ส่ายหน้า ได้แต่หวังว่าท่านอ๋องจะไม่ตาบอด ยกย่องสตรีนางนี้ขึ้นมาเป็นพระชายา
กว่าที่หงซิ่วจะกลับมาถึงเรือนเฟ่ยอู่แสงแดดก็เริ่มโรยราแล้ว นางเดินตรงไปยังห้องเล็กนอกตัวเรือนเพื่อจะต้มน้ำ ขณะที่รอน้ำเดือด ในหัวพลางครุ่นคิดถึงเด็กสาวสกุลจิน ทั่งหยวนต้องลำบากยากแค้นเพียงใดถึงได้พักอยู่ในชุมชนแออัดเช่นนั้น
จินทั่งหยวนอ่อนกว่าเสวียนซู่ชิงสองปี ปีนี้น่าจะย่างเข้าวัยสามสิบสาม สิบปีไม่ได้พบหน้า ไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด นางยังจำรูปลักษณ์ของเขาตอนอายุยี่สิบต้นๆ ได้ดี
ชายผู้มีเรือนกายสูงใหญ่กำยำ บนบ่ามักแบกทวนเหล็กขนาดเท่าข้อมือติดตัวอยู่เสมอ องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าล้วนน่าเกรงขาม คิ้วกระบี่ปลายหางเชิดขึ้น กลางหว่างคิ้วมักย่นเข้าหากันบ่อยครั้ง สันจมูกโด่งแหลมคม ปีกจมูกบานออกเล็กน้อย ร่องจมูกลึกไปจนถึงริมฝีปากหยักหนาอวบอิ่ม มีหลายคนเคยกล่าวหยอกล้อว่าจินทั่งหยวนคือกวนอูกลับชาติมาเกิด เมื่อก่อนนางเห็นเพียงเป็นเรื่องล้อเล่นไม่เคยเก็บมาใส่ใจ แต่มายามนี้ นางกลับคิดว่าคำกล่าวนั้นมิผิดนัก
เสียงฝีเท้าดังแว่วมาเข้าโสต หงซิ่วพลันดึงความคิดกลับมา ไม่นานสาวใช้คนเดิมก็มาหยุดยืนหน้าเรือนโยนถาดในมือลงบนระเบียงเหมือนเคย ตะโกนเข้ามาประโยคหนึ่ง “ท่านอ๋องให้มาบอกว่า อีกสามวันให้ท่านเตรียมตัวไปร่วมแจกทาน”
พูดจบก็สะบัดหน้าจากไปราวกับโกรธใครมาเป็นร้อยชาติ แต่หงซิ่วหาได้สนใจการกระทำนั้นของนางไม่ กลับสนใจเรื่องที่นางบอกมากกว่า การแจกทานครั้งนี้คงทำเพื่อสะสมบุญให้กับเสวียนฮองเฮาและรัชทายาท บางคราหงซิ่วให้รู้สึกเหลือชั่วอยู่บ้างที่นางกับเด็กน้อยนั่นต้องมามีอะไรร่วมกันเยี่ยงนี้ คิดแล้วหงซิ่วก็มีท่าทีเหม่อลอย
คืนนั้นนางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าลงมือกับรัชทายาทอย่างไร จำได้เพียงว่าในมือของนางถือไว้ด้วยปิ่นที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด นั่งตัวสั่นเทาอยู่ข้างร่างเย็นชืดของเขา
ชีวิตที่แล้ว นางลุ่มหลงในความรักจนตามืดบอด ทำลายชีวิตผู้คนไปมากเท่าใดไม่อาจนับ ทั้งคนที่รักนางและคนที่นางเกลียดชัง ล้วนได้รับผลกระทบจากการกระทำของนางทั้งสิ้น นางรู้สึกว่าชาติก่อน ตนเองช่างโง่เขลาเกินจะกล่าวจริงๆ
หงซิ่วเหม่อมองต้นอู่ถงที่กำลังผลัดใบ กลิ่นลมเหมันต์เริ่มพัดโชยมาอ่อนๆ หลังจากที่นั่งทานข้าวตรงระเบียงเสร็จ ถึงได้หิ้วกาน้ำร้อนกลับเข้าเรือน คัดเลือกอาภรณ์ที่พอจะสวมใส่ได้มาจัดเตรียมไว้ มองดูหีบใส่สินเดิมอย่างครุ่นคิด ในใจไพร่คิดไปถึงจินทั่งหยวน นางคงต้องหาทางไปพบเขา
ชีวิตของหงซิ่วเงียบสงบได้เพียงสามวัน ก็ต้องไปร่วมแจกทานพร้อมกับเหอสวีอี นางรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้างที่หมิงซีเหอยอมให้หญิงสาวนางนี้มาเข้าใกล้นาง
พอขึ้นรถมาได้ รถม้ายังไม่ทันเคลื่อนตัว เหอสวีอีก็พ่นวาจาน่ารำคาญออกมา “เจ้าเห็นปิ่นปักผมนี่หรือไม่ เมื่อเช้าท่านอ๋องเป็นผู้ปักผมให้ข้าเองกับมือ”
หงซิ่วคร้านจะสนใจ จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน คิดว่าการได้นั่งรถม้ากับเหอสวีอีช่างเป็นเรื่องน่าเบื่ออย่างถึงที่สุด ไม่รู้ว่าในแต่ละวัน หัวน้อยๆ ของสตรีนางนี้ มีเรื่องอันใดบ้าง
ทว่าเหอสวีอีกลับไม่รู้ตัว ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ท่านอ๋องบอกกับข้าแล้ว ว่าเจ้าจะจากไปภายในสามเดือน ข้าหวังว่าเจ้าจะพูดความจริง ฉะนั้นสามเดือนนี้ข้าจะทำดีกับเจ้าสักเล็กน้อย ถือเป็นรางวัลที่เจ้ายังรู้จักเจียมตัว” เอ่ยประโยคนี้จบ นางยังกล่าวต่ออีกหลายประโยค พอเห็นว่าหงซิ่วนั่งนิ่งไม่ตอบโต้ สวีอีก็เริ่มไม่พอใจ ตวาดเสียงดัง “เจ้าได้ฟังที่ข้าพูดหรือไม่!”
หงซิ่วรู้สึกรำคาญเป็นที่สุด คร้านแม้กระทั่งจะปรายตามอง เพียงกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าควรวางตัวให้ดีกว่านี้ อย่าได้เผยกำพืดเดิมให้ใครเห็น กระทำต่อหน้าข้านั้นไม่เป็นไร แต่เมื่อถึงโรงทานแล้วควรรู้จักสำรวม ท่านอ๋องจะเสียชื่อเอาได้”
สวีอีได้ยินก็โมโห ตะคอกเสียงดังกว่าเดิม “คนหน้าด้านไร้ยางอายอย่างเจ้า มีสิทธิ์อันใดมาตักเตือนข้า!”
หงซิ่วได้แต่ส่ายหน้า คร้านจะเอ่ยวาจากับคนโง่ ครั้นเห็นสวีอีทำท่าจะไม่ยอมสงบปาก ก็เอ่ยขัดเสียงเข้ม “หากเจ้ายังไม่หุบปาก ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปเดี๋ยวนี้!”
เหอสวีอีโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ทำปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ แต่กลับเอ่ยวาจาไม่ออก เพราะลึกๆ แล้ว กลับหวาดกลัวหงซิ่วอยู่บ้าง ในที่สุดหงซิ่วก็ได้อยู่อย่างสงบจนกระทั่งถึงโรงทาน
