บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 ความสุขอยู่ได้ไม่นาน

ตอนที่ 2

ความสุขอยู่ได้ไม่นาน

 

รถม้าคันใหญ่ประทับตราตระกูลหวังและตราสัญลักษณ์ของแม่ทัพใหญ่ของแคว้น เคลื่อนมาจอดอยู่หน้าบริเวณใจกลางเมืองหลวง อันเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลโคมไฟในทุก ๆ ปี

บุรุษโดดเด่นองอาจชาติกำเนิดสูงส่งก้าวลงจากรถม้าเป็นคนแรก จากนั้นก็ยื่นมือขึ้นไปรับมือเรียวนุ่ม พร้อมกับช่วยร่างบอบบางให้ก้าวลงจากรถม้ามายืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง กระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวออกไปแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออก

“พวกเราเข้าไปด้านในกันเถอะ” เสียงทุ้มนุ่มกล่าว พร้อมกับจูงมือของฮูหยินให้เดินเคียงข้างไปตามท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา

เฉินเสวี่ยไป๋แทบไม่ได้มองทาง เอาแต่ก้มลงมองมือหนาของคนตัวสูงที่กำมือของนางเอาไว้แทน สัมผัสอันอบอุ่นนี้เป็นครั้งแรกที่นางได้รับจากชายที่ขึ้นชื่อว่าสามี ถึงแม้ว่าการที่เขากลับมาทำดีด้วย จะเป็นเพราะซาบซึ้งในบุญคุณที่นางเคยช่วยชีวิตของเขา หาใช่ความรัก แต่มันก็ทำให้นางรู้สึกดีและมีความสุขมาก

“ท่านพี่ ปล่อยมือข้าได้แล้ว ข้าเดินเองได้” แม้ปากจะบอกเขาไปแบบนั้น แต่ใจกลับปรารถนาให้เขาไม่ปล่อยมือของนางอีก

แล้วก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมือหนาไม่ได้คลายออกตามที่นางบอก แต่กลับกระชับแน่นยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับใบหน้าคมคายโน้มลงต่ำ กระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหูของนาง

“ข้าไม่ปล่อย วันนี้ข้าไม่ได้นำคนคุ้มกันมา เดี๋ยวเจ้าผลัดหลงไป ข้าเกรงว่าอาจจะมีอันตราย”

คำพูดของสามี ทำให้เฉินเสวี่ยไป๋ไม่คัดค้านอีก ปล่อยให้เขาเดินจูงมือพาเดินเที่ยวชมงานดูการละเล่นต่าง ๆ โดยมีคนสนิทของสามี ที่ถือคันธนูกับดาบเดินคู่กับคนสนิทของนางติดตามมาไม่ห่าง

ยามพบเห็นสิ่งของหรือของกินที่ถูกใจ เขาจะดึงมือของนางพาเข้าไปในร้านนั้น ควักเงินจ่ายโดยไม่สอบถามความเห็นของนางเลยสักคำ แต่ทุกอย่างที่เขาซื้อให้ ก็เป็นสิ่งที่นางชอบจริง ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...น้ำตาลปั้น

“เอาน้ำตาลปั้นรูปนกกระเรียนคู่อันหนึ่ง” หวังห่าวเทียนเอ่ยสั่งพ่อค้าขายน้ำตาลปั้น ที่กำลังปั้นเป็นรูปกระต่ายป่าให้เด็กชายคนหนึ่งอยู่

“ได้ขอรับ ท่านแม่ทัพ รอสักครู่”

ชายวัยกลางคนย่อมรู้จักแม่ทัพใหญ่ สหายสนิทของฮ่องเต้เหวินหลาง รีบปั้นน้ำตาลเป็นรูปนกกระเรียนคู่ แต่แยกเป็นคนละไม้ ก่อนจะยื่นส่งให้ชายหญิงตรงหน้า

“นี้ขอรับ”

“ขอบใจ” แม่ทัพหนุ่มหยิบเหรียญขึ้นมาจ่ายเกินราคา ก่อนจะดึงมือฮูหยินพาเดินเที่ยวดูงานต่อ มือข้างที่ถือน้ำตาลปั้นก็ยกมันขึ้นมากัดกิน ทำเอาสตรีข้างกายและผู้ติดตามทั้งสอง พากันประหลาดใจไปตาม ๆ กัน

“ท่านพี่ไม่ชอบของหวานไม่ใช่หรือเจ้าคะ” เฉินเสวี่ยไป๋คิดว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากจนเกินไปแล้ว จึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้

“เมื่อก่อนข้าอาจมัวหลงไปทางอื่น ถึงได้เกลียดชังของหวาน แต่ยามนี้ข้าได้เรียนรู้แล้วว่า หากยังไม่ได้ลองลิ้มรสก็ไม่ควรด่วนตัดสินใจ ว่าชอบหรือไม่ชอบ”

คำตอบของสามีไม่ได้ทำให้เฉินเสวี่ยไป๋กระจ่างแจ้งเลยแม้แต่น้อย หัวคิ้วดกดำขมวดมุ่นแทบจะผูกกันเป็นปมได้อยู่แล้ว แต่พอคิดว่าการที่เขาเป็นแบบนี้ ยังดีกว่าให้เขาต่อว่าค่อนขอดนางเหมือนเมื่อก่อน คิ้วเรียงสวยก็คลี่คลายออก กัดกินชิมรสความหอมหวาน ทั้งจากน้ำตาลปั้น และจากชายหนุ่มที่นางเฝ้าหลงรักเขามาตั้งแต่วัยเยาว์อย่างมีความสุข

จนกระทั่งมีเสียงหวีดร้องดังมาจากบริเวณตรอกที่อยู่ด้านข้างที่ทั้งสองอยู่ เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือของสตรี หวังห่าวเทียนหยุดชะงักนิ่ง หันไปส่งสายตาให้คนสนิทที่ติดตามมาด้านหลัง

‘หงหลง’ ยื่นธนูส่งให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะหมุนตัวหายเข้าไปในตรอกมืด เพื่อดูว่าเกิดเหตุวุ่นวายอะไรขึ้น แต่แทนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความสงบ เสียงหวีดร้องของสตรียิ่งดังขึ้น บวกกับเสียงต่อสู้ที่ทวีความรุนแรง ผู้คนที่เดินเที่ยวงานเริ่มพากันแตกตื่น พากันเดินหนีหายออกจากบริเวณนั้นไป

หวังห่าวเทียน เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนสนิท รีบคลายมือออกจากมือนุ่ม หันมากำชับน้ำเสียงร้อนรน

“ฮูหยิน รีบพากันกลับไปรอข้าที่รถม้าก่อน กลับจวนไปก่อนได้ยิ่งดี”

เฉินเสวี่ยไป๋ส่ายหน้า เอื้อมมือไปคว้ามือข้างหนึ่งของสามีเอาไว้ “ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะรอกลับพร้อมท่าน”

แม่ทัพหนุ่มทอดสายตามองดวงหน้างามเป็นครั้งสุดท้าย ริมฝีปากขยับคล้ายจะบอกบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบ ทำแค่เพียงพยักหน้าให้หญิงสาว หมุนตัววิ่งหายเข้าไปในตรอกอีกคน

หยุนหลี่เหลียวซ้ายแลขวา รีบเข้ามาคล้องแขนคุณหนู เนื้อตัวของนางสั่นเทาด้วยความกลัว

“บ่าวว่าพวกเรารีบกลับไปที่รถม้าดีกว่าเจ้าค่ะ”

เฉินเสวี่ยไป๋เห็นด้วย รีบหมุนตัวเตรียมเดินไปยังจุดที่จัดเตรียมไว้ให้รถม้าจอดรอ แต่ก้าวเท้าได้เพียงสามก้าว ชายชุดดำสามคนก็วิ่งเข้ามายืนล้อมตัวพวกนางเอาไว้ ในมือของแต่ละคนถืออาวุธดาบเอาไว้ด้วย

“พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการอะไร” เฉินฮูหยินกลั้นใจเอ่ยถามคนกลุ่มนี้ แม้ภายในใจจะรู้สึกหวาดกลัวไม่ต่างจากสาวใช้

“ก็ต้องการชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า” เสียงเหี้ยมหนึ่งในชายชุดดำกล่าวขึ้น

“บังอาจ พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นผู้ใด ถึงได้คิดทำการโจ่งแจ้งเยี่ยงนี้” เพราะคิดว่าหากคนพวกนี้รู้ว่าสามีของนางเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ คงจะไม่กล้าก่อเรื่องอีก เลยพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “สามีข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้น หากรักตัวกลัวตาย ก็รีบพากันถอยไปเสีย”

แต่แทนที่คนชุดดำทั้งสามจะหวาดกลัว กลับยิ่งพากันหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่า ๆ --ท่านแม่ทัพนะหรือ ปานนี้คงพาสตรีที่รักลอยโคมไฟสองต่อสองอยู่บนสะพานคู่รัก ไม่มาเกะกะวุ่นวายพวกข้าหรอก ในเมื่อท่านเป็นคนส่งพวกข้ามา”

สองหูของเฉิยเสวี่ยไป๋อื้ออึงไปชั่วขณะ คิดว่านางต้องฟังคนพวกนี้ผิดเพี้ยนไปแน่ ๆ หรือไม่ก็เป็นมือสังหารกลุ่มนี้ที่ใส่ร้ายสามีของนาง “ไม่มีทาง ท่านพี่ไม่มีวันทำแบบนั้น” --ใช่...ถึงแม่สามีจะไม่เคยรักนาง แต่เขาไม่ใช่คนใจร้าย ที่จะส่งคนมาสังหารฮูหยินที่ตกแต่งเข้ามาแน่

“โถ! ๆ ฮูหยินผู้น่าสงสาร ท่านไม่แปลกใจหรืออย่างไร ที่คนเคยบอกว่าเกลียดชังท่าน แม้แต่หน้าไม่อยากจะมอง กลับมาทำดีด้วย ไม่นึกเอะใจเลยหรือ ว่าจะเป็นแผนการเพื่อหลอกให้ท่านตายใจ เพื่อลวงออกมาให้นักโทษเดนตายอย่างพวกข้าสังหาร” ชายชุดดำคนเดิมพูด

ก่อนชายชุดดำอีกคนจะกล่าวเสริมขึ้นมา “ท่านแม่ทัพวางแผนทั้งหมดนี้เพราะอยากกำจัดท่านออกจากชีวิต แต่หากให้ท่านตายในจวน ก็จะถูกผู้คนสงสัยเอาได้ ถึงต้องหลอกท่านออกมา แล้วให้นักโทษอย่างพวกข้าสังหาร จากนั้นก็จะโยนความผิดให้พวกข้า ว่าทำลงไปเพราะต้องการแก้แค้นท่านแม่ทัพ คราวนี้ก็จะไม่มีใครสงสัยในตัวท่านแม่ทัพอีก”

หยุนหลี่แม้หวาดกลัวคนพวกนี้จับใจ แต่เมื่อยามภัยมาเยือน นางก็รีบเอาตัวออกมายืนอยู่หน้าผู้เป็นนาย กางแขนทั้งสองข้างออก พร้อมปกป้องคุณหนูด้วยชีวิต พอเห็นกลุ่มมือสังหาร พูดให้ผู้เป็นนายเข้าใจท่านแม่ทัพผิด ก็รีบเอ่ยขึ้น

“คุณหนูอย่าไปเชื่อพวกมันนะเจ้าคะ พวกมันโกหก นายท่านไม่มีวันทำอย่างนั้นกับคุณหนูแน่” พูดกับเจ้านายจบ ก็หันมาพูดกับคนชุดดำต่อ “พวกเจ้าเองก็เถอะ จะโกหกก็โกหกให้แนบเนียนหน่อย เจ้าจะบอกข้าว่าพอสังหารคุณหนูของข้าได้ ก็พร้อมรอความตายให้ท่านแม่ทัพมาจับตัวหรืออย่างไร ตลกสิ้นดี”

“เป็นแค่บ่าวรับใช้ ฉลาดไม่เบานี้ ใช่ ใครที่ไหนจะบ้ายอมรับโทษใช่หรือไม่เล่า แต่พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าพวกข้าคือนักโทษ ที่มีโทษตายอยู่แล้ว ที่พวกข้ารับปากทำงานนี้ให้ท่านแม่ทัพ ก็เพราะว่าท่านสัญญาว่าจะดูแลครอบครัวของพวกข้าให้อยู่สุขสบาย ไม่ต้องตกเป็นทาสของใครอีก หากคำพูดของข้าไม่น่าเชื่อถือพอ ถ้าเป็นอันนี้ล่ะ พอจะเป็นหลักฐานยืนยันหรือไม่”

ชายชุดดำที่พูดอยู่ ล้วงเข้าไปในสาบเสื้อ หยิบป้ายประจำตัวที่ประทับตัวอักษรคำว่าแม่ทัพใหญ่ชูขึ้นสูง ให้สตรีตรงหน้าทั้งสองคนมองเห็นได้ชัดถนัดตา

“ทะ--ท่านพี่” ใครจะจำป้ายประจำตัวแม่ทัพที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำไม่ได้ ขาแขนไร้เรี่ยวแรงในบัดดล หัวใจจมดิ่งลงเรื่อย ๆ ลงในกระแสน้ำเย็นเฉียบ เจ็บปวดเสียจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป “เหตุใดถึง...” หยดน้ำอุ่น ๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตา

“คุณหนู ถึงจะมีป้ายของนายท่านก็อย่าพึ่งเชื่อ คุณหนูจะต้องรอดไปถามจากปากของนายท่านเองเจ้าค่ะ หนีไป บ่าวจะต้านพวกมันเอาไว้เอง” หยุนหลี่เตือนสติผู้เป็นนาย ดวงตาสอดส่ายหาทางรอด ตั้งแต่เกิดเสียงความวุ่นวายดังมาจากในตรอก ผู้คนก็หายไปจากบริเวณนี้จนหมด จะร้องขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ นายท่านกับหงหลงก็ยังไม่กลับมา คงจะมีเพียงนางที่ต้องใช้ชีวิตปกป้องคุณหนูอย่างสุดความสามารถ

เฉินเสวี่ยไป๋ที่จมดิ่งลงไปในความเศร้าโศกผิดหวัง ถูกเตือนสติทำให้คิดได้ “ใช่--ข้าควรจะไปถามจากปากของท่านพี่เอง ขอบใจเจ้ามากหยุนหลี่ พวกเราจะต้องรอดไปด้วยกัน” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่นางก็ยังมองไม่เห็นทางรอด เพราะไม่ว่าจะขยับไปทางไหน คนพวกนี้ก็ดักหน้าดักหลังเอาไว้ ทำให้ขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย

ความหวังที่จะมีชีวิตกลับไปถามหาความจริงจากสามีเริ่มริบหรี่ ขณะที่ความตายเริ่มคืบคลานเข้ามา

“ตายเสียเถอะ อย่าอยู่เลย” หนึ่งในชายชุดดำเงื้อดาบขึ้นสูง เฉินเสวี่ยไป๋พยายามจะดันตัวสาวใช้ออก แต่หยุนหลี่ก็ไม่ยอม ยังคงใช้ตัวบังเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย

ในขณะที่คมดาบเคลื่อนลงต่ำเข้าใกล้ร่างของหยุนหลี่ ก็มีคมดาบของใครบางคนเข้ามาต้านคมดาบนั้นเอาไว้ ก่อนจะดันดาบของมือสังหารให้ขยับออกห่างจากตัวของหญิงสาวทั้งสอง...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel