ตอนที่ 1 ค่ำคืนแสนสุข
ตอนที่ 1
ค่ำคืนแสนสุข
ภายในห้องนอนกว้างขวางของเรือนเหมยหลิว เครื่องเรือนทุกชิ้นล้วนทำมาจากวัสดุเนื้อดีมีราคา ไม่ว่าจะเป็นตู้ เตียง หรือโต๊ะเก้าอี้ล้วนทำมาจากไม้สน แกะสลักด้วยช่างมือหนึ่งของเมืองฉิน นอกจากนี้ยังมีแจกันลายเมฆมงคลสองใบ และของประดับตกแต่งหรูหรา หากไม่ดูรกหูรกตาจนเกินไป
หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเคลือบเงาดำสนิท ประดับกระจกทองเหลืองขนาดใหญ่ สตรีงามพิลาสล้ำ คิ้วใบหลิว ดวงตาสวยเป็นประกายลึกล้ำ ริมฝีปากสีกุหลาบสวยแย้มยิ้มบาง ยามเพ่งพิศเงาสะท้อนจากกระจกบานใหญ่
“หยุนหลี่ เจ้าว่าวันนี้ข้างดงามพอหรือยัง” เสียงหวานใสเอ่ยถามสาวใช้คนสนิท ที่ติดตามมาจากจวนเดิม ใบหน้างามหันซ้ายแลขวา เพื่อดูว่ายังมีจุดไหนควรเติมแต่งอีกหรือไม่
เจ้าของชื่อที่กำลังจัดเตรียมชุดมาให้ผู้เป็นนายเลือก อมยิ้มอย่างมีความสุข นานแค่ไหนแล้ว ที่นางไม่ได้เห็นแววตาและรอยยิ้มสดใสบนใบหน้างามของผู้เป็นนาย
“คืนนี้คุณหนูของบ่าวงดงามมากเจ้าค่ะ งามกว่าสตรีใดในเมืองหลวงแน่นอน”
“แล้วเจ้าว่า--ท่านพี่จะพอใจหรือไม่”
สตรีที่ปกติจะมั่นใจในตนเองทุกเรื่อง แต่พอเป็นเรื่องของสามีแล้วละก็ นางกลับลังเลวิตกกังวลไปหมด นั่นก็เป็นเพราะว่า แต่งงานกันมาได้เกือบสองปี เขาพึ่งจะมาทำดีกับนางได้เพียงแค่สองเดือนเท่านั้น
ค่ำคืนนี้เป็นงานเทศกาลโคมไฟ ก็เป็นเขาที่เอ่ยปากชวนนางไปเที่ยวงานด้วยกันเป็นครั้งแรก นางจึงทั้งตื่นเต้นระคนกังวลใจไปพร้อม ๆ กัน
‘หยุนหลี่’ ติดตามรับใช้คุณหนูมาหลายปี แม้คุณหนูออกเรือนมาแล้ว ยังติดตามมารับใช้ มีหรือจะไม่รู้ว่าคุณหนูของนางรักนายท่านมากเพียงใด อาจจะรักมากกว่าตัวเองด้วยซ้ำ เพราะเมื่อสองเดือนก่อน เป็นคุณหนูที่เอาตัวเข้ารับลูกธนูอาบยาพิษแทนนายท่าน จนตัวเองเกือบเอาชีวิตไม่รอด ด้วยเหตุนี้เอง นายท่านที่จงเกลียดจงชังคุณหนูมาตลอด ถึงได้กลับมาทำดีกับคุณหนู จึงไม่แปลกที่คุณหนูจะยังไม่คุ้นชิน
“คุณหนู ท่านงดงามถึงเพียงนี้ นายท่านจะต้องพึงพอใจแน่เจ้าค่ะ มั่นใจในตนเองไว้นะเจ้าคะ”
คำปลอบใจของสาวใช้คนสนิท ทำให้ร่างบางกลับมามีความมั่นใจ ลุกออกจากโต๊ะเครื่องแป้ง เพื่อเลือกชุดที่จะสวมใส่ไปเที่ยวงานเทศกาลในค่ำคืนนี้
“มีแต่สีฉูดฉาดทั้งนั้นเลย ไม่มีชุดที่สีอ่อนหวานบ้างหรืออย่างไร”
‘เฉินเสวี่ยไป๋’ หันไปเอ่ยถามสาวใช้ หากเป็นเมื่อก่อนไม่ว่าจะวันไหน งานอะไร นางคงเลือกอาภรณ์ที่มีสีสันฉูดฉาดบาดตา โดยให้เหตุผลว่า จะได้ดูโดดเด่นกว่าสตรีใดในใต้หล้า แต่วันนี้นางอยากให้สามีประทับใจในตัวนาง เหมือนที่เขาชอบอนุเฉิน จึงอยากแต่งกายด้วยอาภรณ์สีหวานดูบ้าง
“มีเจ้าค่ะ แต่ว่ามีแค่ไม่กี่ชุดนะเจ้าคะ หนำซ้ำยังงามไม่สู้ชุดที่บ่าวเลือกมาด้วย”
“ไม่เป็นไร--เอามาเถอะ”
เมื่อคุณหนูต้องการ หยุนหลี่จึงไม่อิดออด รีบเก็บชุดสีสันบาดตาไปเก็บเข้าที่ แล้วนำชุดที่มีสีสันไปในโทนอ่อนหวานเรียบง่ายออกมาให้ผู้เป็นนายเลือกแทน
นัยน์ตาหงส์สะดุดเข้ากับชุดฮั่นฝูสีขาว ซึ่งตัดมาจากผ้าแพรเนื้อบางเบาพลิ้วไหว บริเวณขอบแขนและชายกระโปรงปักดิ้นเงินเป็นลายกลีบบัวซ้อนเรียงอ่อนหวาน
“ข้าเลือกชุดนี้แหละ”
สาวใช้จึงหยิบชุดขาวบริสุทธิ์มาสวมใส่บนเรือนกายเย้ายวน พร้อมกับช่วยผูกรัดผ้าคาดเอวสีเงินอ่อน ผูกชายยาวปล่อยให้พลิ้วตามลมยามเยื้องย่าง จากนั้นก็หยิบกำไลหยกขาวใสไร้มลทินมาสวมใส่ให้ข้อมือบาง พร้อมกับปักปิ่นเงินฝังมุกบนเรือนผมที่รวบครึ่งศีรษะ
ความเรียบง่ายในการแต่งกายโทนสีขาวในคืนนี้ มิได้ทำให้ความงามของคุณหนูของนางจืดชืดลงไปแม้แต่น้อย กลับยิ่งขับให้ดูโดดเด่นงดงามบริสุทธิ์ราวหิมะบนยอดเขาที่ไม่เคยเปื้อนมลทิน
“เทพธิดาของบ่าว” ขนาดหยุนหลี่เป็นสตรียังเพ้อขนาดนี้ นายท่านจะไม่ใจอ่อนก็ให้มันรู้ไป
หลังจากเตรียมตัวพร้อมแล้ว สองนายบ่าวจึงออกจากเรือนเหมยหลิว เดินตามทางหินอ่อนไปยังประตูหน้า ซึ่งรถม้าประจำตระกูลจอดรออยู่ แต่ยังไม่ทันจะถึง ก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กที่เฉินเสวี่ยไป๋รู้สึกสะอิดสะเอียนที่สุด ดังลอยตามลมมา
“ท่านพี่ พาข้าไปด้วยคนนะเจ้าคะ ปีก่อน ท่านพี่ยังพาข้าไปเที่ยวกันสองต่อสองเลย เหตุใดปีนี้ข้าถึงไปไม่ได้”
‘เฉินซือหยา’ หรืออนุเฉินไม่พูดเปล่ายังเดินเข้ามาสอดมือเข้าไปคล้องแขนร่างสูงโปร่ง ที่ยืนนิ่งอยู่ข้างรถม้า ราวกับกำลังรอการมาของใครบางคนอยู่ ใบหน้านั้นเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้คาดเดาได้ยาก ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ท่าทางเย็นชาเช่นนี้ ทำให้คนที่กำลังออดอ้อน รู้สึกใจเสียมิใช่น้อย
“ท่านพี่ พักหลัง ๆ มานี้ ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ เหตุใดถึงทำตัวห่างเหินนัก” ความน้อยอกน้อยใจซ่อนเร้นอยู่ในน้ำเสียง
คนตัวสูงกว่าไม่ตอบคำถามในทันที แต่เลือกที่จะแกะมือนุ่มที่คล้องแขนตนเองออก พร้อมก้าวเท้าถอยห่างไปสองถึงสามก้าว ก่อนน้ำเสียงเรียบเหมือนสีหน้าจะยอมพูดขึ้นมา
“หากเจ้าอยากไปเที่ยวงานข้าไม่ได้ห้าม แต่จะไปรถม้าคันเดียวกับข้าไม่ได้ เพราะคืนนี้ข้ากับฮูหยินจะไปด้วยกัน”
“แล้วเหตุใดถึงไปพร้อมกันไม่ได้ หรือเป็นเพราะฮูหยินบีบบังคับท่านพี่ ข้าจะไปขอร้องฮูหยิน ให้เห็นใจความรักของพวกเราเอง รักมากจนไม่อาจห่างจากกันได้แม้แต่ลมหายใจเดียว”
เฉินซือหยาไม่ยอมแพ้ คิดว่าที่สามีเปลี่ยนไป มีท่าทีเย็นชาห่างเหิน ต่างจากเมื่อก่อน ที่ทั้งรักทั้งทะนุถนอมนางราวกับไข่ในหิน คงจะเป็นเพราะถูกพี่สาวต่างมารดาของนาง บีบบังคับไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เหมือนตอนที่บังคับให้แต่งนางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกด้วยสมรสพระราชทาน
จังหวะที่จะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในจวนนั้น นางก็เห็นคนที่นางตั้งใจจะไปหา กำลังเดินตรงเข้ามา การแต่งกายผิดแปลกไปจากทุกวัน คล้ายกับการแต่งกายของนางมาก แต่กระนั้นกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายงดงามบริสุทธิ์ผิดหูผิดตา จนน่าอิจฉา
ร่างสูงเห็นอนุยืนนิ่งงันไป ก็หันไปมองตามสายตาคู่นั้น เพียงแวบแรกที่ดวงตาคมมองเห็นภาพตรงหน้า ก็ถึงกลับตกตะลึงเบิกกว้างถูกตรึงให้จ้องมองเทพธิดาในชุดขาว ไม่อาจละสายตาไปมองทางอื่นได้อีก ลมหายใจสะดุดไม่สม่ำเสมอ มุมปากยกยิ้มบางเบาจนคล้ายจะไม่ยิ้ม
เฉินซือหยาจ้องมองพี่สาวต่างมารดาด้วยความอิจฉา พอหันมามองชายที่ตนรัก ได้เห็นแววตาคู่นั้นกับอากัปกิริยาของเขา ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไฟริษยาก็ยิ่งกระพือโหมขึ้นภายในใจ จนต้องหาทางดึงความสนใจของชายคนรัก ให้ออกจากพี่สาวต่างมารดาให้ได้
“ท่านพี่ ฮูหยินมาแล้ว ข้าจะลองขออนุญาตนาง หากนางให้ข้าไป ท่านพี่ต้องยอมให้ข้าขึ้นรถม้าไปด้วยนะเจ้าคะ” ด้วยอยากยั่วโมโหคนที่เดินมา และแสดงให้เห็นว่านางต่างหากคือคนที่แม่ทัพหวังรัก จึงเดินเข้าไปใกล้คล้องแขนสามีอีกครั้ง
“...” ‘หวังห่าวเทียน’ ยังคงไม่ละสายตาหนีจากความงดงามของภรรยาเอก แต่สัมผัสของอนุดึงสติที่เตลิดเปิดเปิงของเขากลับคืนมา เขาไม่ตอบคำถามของอนุเฉิน แต่แกะมือของนางออกอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาสตรีที่เดินผ่านซุ้มประตูใหญ่ออกมา
“เจ้าแต่งกายแบบนี้ ดูเหมาะกับเจ้ามาก ฮูหยินของข้า” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยชมคนตรงหน้า ดวงตาคมแฝงแววหลงใหล ขณะมองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
พวงแก้มนุ่มของคนที่ถูกสามีเอ่ยปากชมเป็นครั้งแรกปรากฏสีชมพูระเรื่อ ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกสิเน่หาในตัวของชายหนุ่มให้เพิ่มทวีขึ้นไปอีก
“ท่านชมข้าเกินไปแล้ว” เสียงหวานใสของเฉินเสวี่ยไป๋สั่นด้วยความประหม่าเขินอาย
ท่าทีที่ทำราวกับว่าบริเวณนี้มีกันอยู่เพียงสองคน ทำให้สตรีที่ถูกเมินยืนกัดริมฝีปาก สองมือกำหมัดเข้าหากันแน่น พยายามสูดลมหายใจเข้าออก ระงับโทสะที่แผดเผาในใจเอาไว้ รีบเดินเข้าไปใกล้คนทั้งสอง กีดกันไม่ให้สานสัมพันธ์กันไปมากกว่านี้
“ฮูหยิน ข้าอยากจะขออนุญาตติดตามไปคอยดูแลท่านพี่กับฮูหยินด้วย ท่านจะว่าอย่างไรหรือไม่เจ้าคะ”
ยังไม่ทันที่ฮูหยินเอกของจวนหวังจะทันได้กล่าว เสียงเข้มของประมุขของจวนก็กล่าวตัดหน้าขึ้นมาเสียก่อน
“ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าหากอยากไปก็ให้ไป รถม้าของจวนมีตั้งหลายคัน คืนนี้ข้าจะไปกับฮูหยินตามลำพัง เจ้าฟังไม่รู้ความหรืออย่างไร ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปเลย กลับเข้าจวนไป”
“ท่านพี่” น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจไหลลงมาเงียบ ๆ
แต่หวังห่าวเทียนหาได้สนใจ หมุนตัวสะบัดชายเสื้อกลับไปยืนข้างรถม้า คล้ายรอให้สตรีอีกหนึ่งนางก้าวขึ้นไปพร้อมกัน
เฉินเสวี่ยไป๋มองหยดน้ำตาบนใบหน้าน้องสาวต่างมารดาด้วยแววตาเรียบเฉย เจือแววเย้ยหยันอยู่ในนั้นเล็กน้อย
“เป็นอย่างไรบ้าง ความรู้สึกถูกเมินเฉยจากคนที่รัก เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ขอบใจสำหรับความหวังดี ที่จะติดตามไปรับใช้ข้ากับท่านพี่ แต่ไม่จำเป็นหรอก ข้ามีหยุนหลี่คอยดูแลอยู่แล้ว คืนนี้ฝากเจ้าดูแลจวนด้วยแล้วกัน อยากทำมาตลอดมิใช่หรือ” กล่าวจบก็เดินผ่านตัวน้องสาวไปหาสามี ที่ยื่นมือมาให้ นางวางมือลงบนมืออบอุ่นนั้น ปล่อยให้เขานำพานางก้าวขึ้นรถม้าเคียงข้ากันไป
“ลอยหน้าลอยตามีความสุขไปก่อนเถอะ” เฉินซือหยามองตามแผ่นหลังของคนทั้งสองที่หายเข้าไปในตัวรถม้า รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างบอบบาง แววตาทอประกายสังหารเข้มข้น...
