6. ธรรมเนียมรุ่ยอ๋อง
หนึ่งเค่อต่อมา...คนสกุลโม่ก็กลับมาถึงจวนแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกัน คงมีแค่ลั่วซินที่ยังต้องนั่งฟังบิดากล่าวอบรม เพราะท่าทางนางที่มีต่อรุ่ยอ๋อง มันอาจส่งผลร้ายต่อครอบครัว
กว่านางจะถูกปล่อยออกมาก็แทบหูอื้อไปก่อน
“ม่านชิง เจ้าจัดหาที่พักให้ใต้เท้าท่านนี้ด้วยนะ”
“ไม่จำเป็น ข้านอนตรงไหนก็ได้”
ลั่วซินมองหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อย “ข้าแค่อยากให้ใต้เท้าได้หลับอย่างสบาย ท่านไม่ต้องกังวล ข้าไม่หนีไปไหนหรอก” เอ่ยกับเขาแล้วนางก็ตั้งท่าจะเดินขึ้นเรือนนอน ทว่าคำพูดจากอีกฝ่ายกลับทำให้เท้าเล็กต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับมามอง
“ข้ารู้ เพราะพวกเจ้าคงรอเวลานี้มานานแล้ว”
“หากใต้เท้าหมายถึงความต้องการของบิดาข้า ใช่ข้าไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าถามถึงความต้องการของข้า ข้าก็ตอบได้ว่าข้าไม่เคยอยากข้องเกี่ยวกับรุ่ยอ๋อง ที่รับปากก็เป็นเพราะอำนาจอันล้นเหลือของเขา ข้อนี้ใต้เท้าก็รู้มิใช่หรือ” ลั่วซินยกยิ้มมุมปาก
คนตรงหน้าจึงได้แต่ขบกรามแน่น เพราะคำพูดนางเขาเถียงไม่ได้ รุ่ยอ๋องนับว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจมากคนหนึ่ง ทว่าเรื่องเหล่านี้น้อยคนนักที่จะล่วงรู้ แล้วสตรีที่มาจากบ้านนอกเช่นนางรู้ได้เยี่ยงไรกัน กลับไปเขาคงต้องรายงานผู้เป็นนายแล้ว
ในขณะที่เขาครุ่นคิด ร่างอรชรก็เดินขึ้นเรือน องครักษ์วัยสามสิบจึงต้องเหาะขึ้นหลังคาเพื่อเฝ้ายามตามคำสั่ง
อีกด้านของเมืองหลวง...
“อะไรนะ นี่ท่านอ๋องถึงกับให้คนไปเฝ้าอารักขานางเลยกระนั้นหรือ” หวังอินเฟยแผดเสียงอย่างเดือดดาล หลังจากคนของบิดากลับมารายงานว่าเข้าเรือนนอนของโม่ลั่วซินไม่ได้
“ข้าน้อยเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นองครักษ์คนสนิทของรุ่ยอ๋อง จึงไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปขอรับ คนผู้นี้เก่งกล้านัก”
“ช่างเถิด เอาไว้ข้าจะหาโอกาสจัดการนางเอง ยังเหลือเวลาอีกตั้งสิบวัน กะอีแค่สตรีบ้านนอก มีหรือข้าจะจัดการไม่ได้ ไป่สือ เจ้าไปตามหวนอี้มาให้ข้า ข้ามีเรื่องจะใช้นาง”
เมื่อองครักษ์ออกไป หวังอินเฟยก็เผยยิ้มร้าย เพราะนางคิดหาวิธีกำจัดศัตรูได้แล้ว “หึ! คนไร้ค่าเช่นเจ้าหรือจะคู่ควรนั่งตำแหน่งพระชายา รอก่อนเถอะโม่ลั่วซิน ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า สกุลต่ำต้อยเช่นเจ้าไม่ควรค่าที่จะเป็นสะใภ้ราชวงศ์เลยสักนิด”
บ่ายของวันต่อมา...
ลั่วซินกำลังนั่งอ่านตำราที่ทำขึ้นมาเองอยู่ในสวน หากเป็นเมื่อชาติก่อน แน่นอนว่าคุณหนูสามผู้นี้ไม่มีทางอยู่ติดเรือนแน่
“คุณหนูทราบข่าวเรื่องที่รุ่ยอ๋องขอพระราชทานสมรสหรือยังเจ้าคะ” ม่านชิงกระซิบถาม เพราะเกรงองครักษ์จะได้ยิน
“ขอก็ไม่สำเร็จหรอก”
“คุณหนูรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ก็ ถ้าผ่านความเห็นชอบ คนในวังมาประกาศราชโองการแล้ว แต่นี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ก็แสดงว่าไม่ผ่าน”
“คุณหนู แล้วท่านไม่กังวลหรือเจ้าคะ”
ลั่วซินเงยหน้ามองสาวใช้ตนเล็กน้อย “ข้าหวังให้คนในวัง กล่าวคัดค้านเรื่องนี้อย่างหนักมากกว่า” นางเอ่ยเสียงดังพอให้องครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้ยินไปด้วย ทว่ามันกลับไม่ใช่แค่คนผู้นี้ที่ได้ยิน ยังมีกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงมาอีกนับสิบได้ยินไปด้วย
“เห็นที ชายาของข้าคงต้องผิดหวังแล้วกระมัง” สุรเสียงนุ่มอ่อนปนการหยอกเย้าดังขึ้นทันทีที่ก้าวมายืนประจันหน้ากับนาง
“ลูกสาม รีบมารับราชโองการเร็ว” โม่จางเหลียนรีบตรงเข้ามาจับแขนบุตร แล้วรั้งลงให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าขันที โดยมีภรรยาและบุตรสาวทั้งสองตามมาดูสถานการณ์ด้วย
“โม่ลั่วซินรับราชโองการ ว่าด้วยรุ่ยอ๋องถึงวัยที่ต้องเลือกคู่ครองแล้ว ซึ่งเราได้ยินว่าพระอนุชาของเรา มีใจชอบพอต่อคุณหนูสามตระกูลโม่ เราจึงขอพระราชทานสมรสให้แก่ทั้งคู่ ให้โม่ลั่วซินแต่งเข้าเป็นพระชายารุ่ยอ๋องภายในสิบวันนี้ เราในฐานะฮ่องเต้ ขอประกาศให้รู้ทั่วกัน จบราชโองการ”
ลั่วซินขยับเข้าไปรับราชโองการอย่างจำใจ สีหน้าและแววตามิได้สื่อถึงความยินดีแม้แต่น้อย ทว่าคนในครอบครัวกลับยิ้มหน้าชื่นตาบาน ยกเว้นพี่สาวสองคนของนางที่หน้าบูดบึ้งพอกัน
“ยินดีกับรุ่ยอ๋อง ยินดีกับพระชายารุ่ยอ๋อง”
“ขอบคุณท่านกงกงเจ้าค่ะ”
“ยินดีกับว่าที่พระชายารุ่ยอ๋อง ที่บ่าวมาเองก็เพราะฝ่าบาททรงอยากรู้ว่า สตรีเช่นใดกัน ที่สามารถกุมหัวใจรุ่ยอ๋องในเวลาอันสั้นได้ พอมาเห็นด้วยตาจึงได้เข้าใจ ที่แท้ว่าที่พระชายา ก็งามหาที่ติมิได้เช่นนี้เอง” อู่กงกงกล่าวอย่างที่เห็น
“ท่านกงกงกล่าวเยินยอข้าน้อยเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยก็แค่หญิงสาวธรรมดาทั่วไป มิได้งามจนหาที่ติไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เจ้าของเรือนกล่าวอย่างถ่อมตน ตามด้วยยิ้มบางเช่นเคย
“ดูสิ กิริยามารยาทก็งาม มิเห็นเหมือนข่าวลือที่ได้ยินมาเลย ใครกันนะช่างพูดไปเรื่อย น่าจับมาลงโทษนัก”
รอยยิ้มเมื่อครู่เจื่อนลงทันที ไม่ผิดหรอกเรื่องที่คนเล่าลือกันว่าโม่ลั่วซินไม่เอาไหนและยังเอาแต่ใจด้วย ทว่านั่นมันคือเรื่องราวก่อนที่นางจะย้อนกลับมาในช่วงนี้อีกหน ความผิดพลาดแต่หนหลังมันสอนให้ลั่วซินจดจำว่าอย่าได้ทำตัวเช่นนั้นอีก
“อู่กงกง เช่นนั้นยามเมื่อท่านกลับไป อย่าลิมพูดจาดีดีให้มันน่าฟังเข้าใจหรือไม่ เอานี่รางวัลของท่าน” จิ่งเทียนยื่นถุงเงินขนาดใหญ่ให้อีกฝ่าย ขันทีเฒ่าก็รีบรับไปพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านอ๋องทรงวางพระทัยได้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำตามรับสั่งอย่างเคร่งครัด” สิ้นคำ อู่กงกงก็โค้งให้อย่างนอบน้อม แล้วล่าถอยพาคนของตนกลับออกไปจากเรือน
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ารับราชโองการแล้ว เช่นนั้นก็ให้คนเก็บของใช้ที่จำเป็นย้ายไปอยู่ที่จวนข้าเถิด”
“ย้าย! ได้อย่างไรเพคะ เรายังไม่ได้แต่งงานกันเลยนะ มีธรรมเนียนไหน ให้สตรีย้ายเข้าเรือนก่อนแต่กันบ้าง” ลั่วซินค้าน
“ธรรมเนียมข้านี่แหละ แต่ถ้าเจ้าไม่เก็บของ เช่นนั้นเราก็ไปกันเลย ถึงวันงานค่อยกลับมาส่งเจ้าที่นี่ แล้วข้าจะเอาเกี้ยวแปดคนหามมารับเจ้าอีกที” สิ้นคำ รุ่ยอ๋องก็โน้มตัวลงมาแบกเอาว่าที่ชายาตนขึ้นบ่าแล้วพาออกไปจากเรือน ท่ามกลางสายตาของคนสกุลโม่ที่พากันยืนงง แต่มิมีใครกล้าทักท้วง
“ใต้เท้าโม่ อย่าสนใจทางนั้นเลย มากับข้าดีกว่า ท่านอ๋องเราจัดเตรียมสินสอดของหมั้นเองกับมือเลยนะ ข้าว่าใต้เท้าต้องพอใจมากแน่” พ่อบ้านจวนรุ่ยอ๋องกล่าวชักชวน มีหรือโม่จางเหลียนจะปฏิเสธ เขาเองก็อยากเห็นสินสอดของราชวงศ์เช่นกัน
sds
