5. มัดมือชก
ร่างระหงของลั่วซินถูกดึงไปยังห้องโถงใหญ่ที่ประดับประดาอย่างงดงาม เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีคลอเคล้ากันไปทั่วห้อง จอกสุราเฉลิมฉลองถูกตั้งตระหง่านอยู่ทุกโต๊ะ
ทว่าในยามที่ทุกคนกำลังสุขสันต์ ลั่วซินกลับรู้สึกเหมือนตนเองถูกจับวางไว้กลางเวที มีสายตาคนในห้องคอยจับจ้องราวกับนางเป็นตัวประหลาด บ้างก็เผยแววตาริษยา
แต่เมื่อทั้งคู่ก้าวเข้าสู่จุดกึ่งกลางของงานเลี้ยง ภาพหนึ่งก็สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาของนาง ‘คุณหนูหวัง’ ลั่วซินนึกในใจ
นางคือบุตรสาวของเสนาขวา สตรีที่เคยกุมหัวใจรุ่ยอ๋องในชาติก่อน เหตุใดวันนี้นางจึงได้ปรากฏตัวที่นี่
บรรยากาศรอบด้านพลันกลายเป็นหมอกหนาทึบสร้างความอึดอัดให้กับใจดวงน้อย จนลั่วซินแทบหายใจไม่ออก
ทว่าในช่วงเวลาที่นางกำลังหวาดหวั่น มือเรียวที่กุมอยู่กลับกระชับแน่น รุ่ยอ๋องมิได้เอื้อนเอ่ยคำใด เพียงแต่ส่งสายตาอ่อนโยนมาให้ ประหนึ่งกำลังบอกกล่าวให้นางมั่นใจ
นำพาให้เสียงซุบซิบดังขึ้นอีกระลอก มีทั้งอิจฉาและสงสัย
“ท่านแม่ เหตุใดน้องสามถึงได้มากับรุ่ยอ๋องเล่า ก่อนหน้าข้าเดินตามหาเขาเสียตั้งนาน กลับไม่พบแม้แต่เงา แล้วเหตุไฉนยามนี้ท่านอ๋องถึงได้จับมือถือแขนนางลูกอนุนี้เข้ามาด้วย”
“ลั่วหนาน แม่ก็ยืนอยู่ใกล้เจ้าตลอด แล้วแม่จะไปรู้ได้เยี่ยงไรว่า ลั่วซินแอบไปยั่วยวนรุ่ยอ๋องตั้งแต่เมื่อใด ชิ! ดูหน้าพ่อเจ้าสิ” สองแม่ลูกกระซิบกระซาบกันอย่างขัดใจ เพราะมิอาจทนเห็นบุตรอนุได้ดีกว่า แม้นี่จะเป็นโอกาสให้ตระกูลโม่ก้าวหน้าก็ตามที
“ท่านแม่ ลูกอยากเป็นอนุท่านอ๋อง ท่านช่วยให้ลูกสมหวังได้หรือไม่” รั่วเหม่ยจับแขนมารดาเขย่า จึงถูกมารดาตีเข้าให้
“สิ้นคิด เจ้าเป็นบุตรสาวฮูหยินเอก จะยอมลดตัวไปเป็นอนุผู้อื่นได้เยี่ยงไร ต่อให้เป็นอนุท่านอ๋องก็เถอะ” โม่ฮูหยินตำหนิเสียงเบา เพราะยามนี้ภายในห้องเริ่มเงียบลงแล้ว
แม้แต่เสียงดนตรีที่เคยขับกล่อมก็ยังไม่มี
ทว่าในความเงียบงันนี้ เสียงหัวใจของลั่วซินกลับดังก้องราวกับกลองศึก นางเริ่มตระหนักได้แล้วว่าชะตากรรมที่เคยมีในชาติก่อน ตนคงไม่อาจหลีกหนีได้อีกต่อไปแล้ว
เพราะทันทีที่รุ่ยอ๋องพานางมายืนเคียงกันที่หน้าตั่งของเขา สุรเสียงหนักแน่นก็ถูกเปล่งออกมาอย่างแน่วแน่
“อีกสิบวัน ข้าจะแต่งโม่ลั่วซินเป็นพระชายา ฉะนั้นวันนี้ ให้ทุกคนถือว่ามาร่วมดื่มฉลองยินดีให้ข้าเลยแล้วกัน” สิ้นคำ เขาก็หันไปรับจอกสุราที่คนสนิทรินมาให้ก่อนจะชูขึ้นต่อหน้าแขก
ทว่าแขกเหรื่อที่นั่งอยู่กลับพากันงงงวย กระทั่งคนของรุ่ยอ๋องต้องเตือน พวกเขาจึงเริ่มขยับลุกขึ้นพร้อมกับจอกสุรา
“ยินดีกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!!” เสียงประสานดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง แต่ก็ใช่ว่าทั้งหมดจะยินดีอย่างที่เอ่ย
โดยเฉพาะกลุ่มของเสนาขวา
ยามนี้คุณหนูหวังผู้สง่างาม กำลังขบเคี้ยวเคี่ยวฟันจนแก้มเนียนนูนขึ้น มือหรือก็กำเข้าหากันแน่นจนรอยเล็บปรากฎ
“ระวังกิริยาของเจ้าให้ดี” เสียงเตือนแว่วมา ดวงตาคู่งามจึงค่อย ๆ ลดความเคืองขุ่นลง ก่อนจะคงสีหน้าปกติไว้
“ท่านพ่อ ข้าควรทำอย่างไรดี”
“จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อรุ่ยอ๋องทรงประกาศด้วยตนเองเช่นนี้ หากเจ้าไม่มัวแต่พิรี้พิไร รีบกลับเมืองหลวงให้เร็วกว่านี้หน่อย ไม่แน่ว่าผู้ที่ยืนเคียงข้างรุ่ยอ๋องในยามนี้อาจเป็นเจ้าก็ได้” เสนาขวาสอดแทรกถ้อยคำตำหนิบุตรสาว
หวังอินเฟยเม้มปากแน่น ถ้อยคำของบิดามันถูกต้องทุกอย่าง หากนางกลับเมืองหลวงเร็วกว่านี้ก็คงไม่ต้องผิดหวัง
ทว่าต่อให้เรื่องราวเป็นอย่างที่เห็น นางก็ไม่ล้มเลิกความคิดเข้าหารุ่ยอ๋อง เขาคือบุรุษที่นางหมายจะใช้ไต่เต้าไปสู่อำนาจที่สูงขึ้น เพราะรุ่ยอ๋องถือว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจมากคนหนึ่ง หากสตรีใดได้ครองคู่กับเขา อำนาจมากมายย่อมตามมา
เอาไว้ให้มีโอกาสก่อนเถิด นางจะรีบเข้าหาเขาทันที
ทว่ามันต่างจากคนที่ยืนอยู่เคียงข้างรุ่ยอ๋องในยามนี้
ลั่วซินไม่ได้อยากกลับมาอยู่ ใต้อาณัติเขาอีกแล้ว ทว่านางจะหนีชะตากรรมนี้ได้อย่างไรเล่า ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นจับมัดมือชก ประกาศการแต่งงานต่อหน้าผู้คน มิหนำซ้ำ…ผู้เป็นบิดายังเห็นดีเห็นงามด้วยอีก ชะตาชีวิตนี้ นางมิอาจหลีกหนีได้จริงหรือ
ด้านจิ่งเทียน หลังดื่มสุราหมดเขาก็หันมาปรายตามองคนข้างกาย ที่เอาแต่ยืนนิ่งก้มหน้าไม่ยอมปริปากคัดค้านเช่นคราแรก ริมฝีปากหนาจึงเผยยิ้ม ก่อนจะโน้มหน้าลงมาเอ่ยว่า
“ดีใจจนอึ้งไปเลยหรือ”
“ใครจะดีใจที่ถูกบังคับให้แต่งงานเพคะ” ลั่วซินสวนกลับทันควัน ยังดีที่นางยังรักษาระดับเสียงได้ คนภายนอกจึงไม่ได้ยิน
“หึหึ” จิ่งเทียนส่งเสียงขบขันในลำคอ เขามิได้กล่าวตำหนินางอย่างที่ควรจะเป็น มิหนำซ้ำยังรั้งเอาว่าที่ชายาตนลงมานั่งเคียงข้างกันอีก ลั่วซินก็ได้แต่หลับตาค้อนส่งให้เขา
ทว่าเมื่อหันมาทางแขกเหรื่อทางด้านล่าง ก็พบกับสายตาหลากหลายของผู้คนที่กำลังมองมา นางรู้ว่าทุกคนกำลังคิดสิ่งใด
สตรีเช่นนางหรือจะคู่ควรกับตำแหน่งพระชายารุ่ยอ๋อง แม้นางจะมีท่าทางสงบนิ่งดั่งกุลสตรีที่ถูกสอนมาอย่างดี แต่ถึงอย่างไรโม่ลั่วซิน ก็ยังเป็นบุตรอนุที่ไม่ควรถูกเลือก
และสายตาของทุกคนมันก็บ่งบอกเช่นนี้ แม้ปากนั้นยังคงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำยินดี ถึงกระนั้นแววตามันก็ไม่อาจปิดบังได้
เมื่อรุ่ยอ๋องเห็นสายตาดูแคลนของเหล่าขุนนางและสตรีชนชั้นสูง ที่กำลังจับจ้องว่าที่ชายาตน เขาก็ตรัสด้วยสุรเสียงเข้ม
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ ข้าเกลียดสิ่งใดที่สุด”
“ท่านอ๋องเกลียดสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” ใครคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ข้าเกลียดคนที่ชอบดูแคลนผู้อื่น ทั้งที่ตนเองก็หมายจะทำไม่ต่างกัน ทว่าเมื่อมันไม่สำเร็จ คนเหล่านี้ก็หันมาใช้สายตาเหยียดหยันใส่ผู้ที่ได้รับชัยชนะแทน พวกท่านว่าน่าขันไหมล่ะ” สิ้นคำรุ่ยอ๋อง ภายในห้องก็เงียบกริบราวกับไม่มีใครอยู่
ลั่วซินขมวดคิ้วพร้อมกับเอียงหน้ามองเขาอย่างมึนงง
‘นี่เขากำลังปกป้องเรากระนั้นหรือ’
“จ้องหน้าข้าเช่นนี้ หลงรักข้าแล้วใช่หรือไม่” จิ่งเทียนเอ่ยเย้านาง คนที่มองอย่างลืมตัวจึงรีบเบี่ยงหน้าหนีนั่งตัวตรง
ลั่วซินรู้สึกร้อนสองแก้มเป็นอย่างมาก มือบางกำชายผ้าตนเองแน่นเพื่อข่มความอายที่กำลังตีตื้นขึ้นมา
กว่างานเลี้ยงนี้จะจบลง นางก็นั่งเกร็งอยู่เป็นชั่วยาม ทว่าพอถึงเวลาจะได้กลับ นางก็ดันถูกเขารั้งเอาไว้อีก
“ท่านอ๋องนี่ก็ดึกมากแล้ว ปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ ท่านพ่อและท่านแม่กำลังรออยู่ ให้ผู้ใหญ่รอนานมันไม่ดีเพคะ” นางกล่าวอ้างเหตุผล ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำนางหน้าเจื่อน
“ข้าว่า บิดาเจ้าน่าจะอยากให้เจ้าพักอยู่ที่นี่เลยมากกว่า หรือจะเถียง” จิ่งเทียนกล่าวอย่างรู้ทัน
“ในเมื่อพระองค์ทรงรู้ความต้องการของท่านพ่อ เหตุใดพระองค์ยังทรงตอบรับอีก ไยไม่ปฏิเสธไปล่ะเพคะ” ลั่วซินหันมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างจริงจังเป็นคราแรก
ในเมื่อชะตาบีบบังคับ นางก็จะขอสู้กับมันสักครั้ง
“เพราะเจ้าคือตัวเลือกที่ดี”
ลั่วซินนิ่งไปทันที เพราะประโยคที่เขากล่าว มันเหมือนคำพูดที่รุ่ยอ๋องได้ตรัสเอาไว้ในชาติก่อน ตัวเลือกที่ดีที่เขาหมายถึงคือ การไม่ทำให้ใครสงสัยเรื่องที่เขาต้องการอำนาจ เพราะตระกูลโม่ไม่มีสิ่งใดเกื้อหนุนเขาได้ และการที่เขาเลือกบุตรอนุอย่างนาง ก็เพื่อทำให้ทุกคนคิดว่า เขาพึงใจนางจริง ๆ
‘หลี่จิ่งเทียน ไม่ว่าชาติไหน ท่านก็ยังกระหายในอำนาจอยู่สินะ หากท่านเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นชะตาชีวิตของข้า ก็ยังต้องดับดิ้นเพราะน้ำมือท่านใช่หรือไม่’ ลั่วซินเผลอเผยแววตาตัดพ้อออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะได้สติเพราะเสียงรายงานที่หน้าประตู
“ท่านอ๋อง ไทเฮาทรงเรียกเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” จางเฉิงกล่าวจบก็ถอยไปยืนที่มุม สายตาจับจ้องมายังสตรีที่ผู้เป็นนายประกาศจะแต่งงานด้วยอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก
ฐานะหรือก็ต่ำชั้น ที่สำคัญคำเล่าลือเกี่ยวกับนางก็ไม่น่าฟังเลยสักนิด มีดีก็แค่ความงามเท่านั้นเอง
“เจ้าไปเตรียมม้า ให้หานฟู่ไปกับข้า ส่วนเจ้าไปส่งว่าที่ชายาข้า และเฝ้าอยู่ที่นั่น จำไว้อย่าให้ว่าที่ชายาข้าหายเป็นอันขาด ถ้าเจ้าทำงานไม่ดี ข้าจะตัดมือขวาของเจ้าทิ้งเสีย” สุรเสียงรุ่ยอ๋องหาได้มีแววหยอกล้อไม่ และลั่วซินก็เชื่อว่าเขาทำจริง
และการที่เขาเอ่ยเช่นนี้ ก็เพื่อบังคับนางไปในตัวกระมัง
คงเป็นเพราะชาตินี้ นางไม่ได้ง่ายเหมือนชาติก่อน เขาเลยกลัวว่านางจะหนี ใจลั่วซินก็อยากทำอย่างนั้นอยู่เช่นกัน
ติดที่ท่านยายยังต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อยารักษา นางจึงมิอาจตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีปัญหาไปคนเดียวได้
e-book มาคืนนี้นะคะ จิ้มลิ้งได้หลังเที่ยงคืนค่ะ 00:01
