4. หมาป่าขย้ำเหยื่อ
หลี่จิ่งเทียนยังคงเพ่งใบหน้าที่ก้มต่ำ หากเป็นสตรีอื่น คาดว่าเขาคงได้ยลโฉมของอีกฝ่ายถนัดตาไปแล้ว
"เหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนนัก" เขาเอ่ยเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยแววหยอกล้อ "หรือกลัวว่าข้าจะกลืนกินเจ้า ณ ศาลาแห่งนี้?"
ประโยคล่อแหลมนั้นทำเอาแก้มลั่วซินถึงกับเห่อร้อน นางขบฟันแน่น สูดลมหายใจเพื่อควบคุมอาการสั่นไหวของหัวใจที่กำลังมีมากขึ้นทุกที “ขออภัยที่รบกวนความสุนทรีย์เพคะ หากท่านอ๋องประสงค์จะพักผ่อนที่นี่ หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้เพคะ" นางรีบเอ่ยหาทางเลี่ยงให้ตนเอง เพื่อจะได้ออกไปจากตรงนี้เสีย
แต่รุ่ยอ๋องกลับขยับก้าวเข้าใกล้ พร้อมกันนั้นเขายังยื่นมือออกมาจับที่ราวไม้ในศาลา ทำให้ลั่วซินไม่อาจถอยได้ "เจ้าคิดจะหนีหรือ?" น้ำเสียงติดหัวเราะเช่นเคย "ข้ามิใช่สัตว์ร้ายในเรื่องเล่าของวังหลวง ไยเจ้าต้องหวาดหวั่นถึงเพียงนั้น"
ลั่วซินยืนนิ่งทว่าในใจกลับก่นด่าอีกฝ่าย
‘หลี่จิ่งเทียนท่านมันยิ่งกว่าสัตว์ร้ายอีก’
ขณะที่นางกำนัลก่นด่าเขา อีกฝ่ายกลับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ เป็นที่หงุดหงิดแก่ใจดวงน้อยยิ่งนัก
ลั่วซินทำได้เพียงพยายามระงับความรู้สึกมากมายที่กำลังตีวนอยู่ในอก คนชั่วอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ ทว่านางกลับไม่มีปัญญาเอาคืนเขา มิหนำซ้ำ...นางยังจนตรอกอีกด้วย
“ว่าอย่างไร เจ้าคิดจะหนีหรือ?”
“หม่อมฉันออกมานานแล้วเพคะ คาดว่าท่านพ่อท่านแม่และพี่หญิงคงเป็นห่วงแย่แล้ว หม่อมฉันขอตัวนะเพคะ” มือขาวกำชายเสื้อของตนแน่น ก่อนจะพยายามเบี่ยงตัวเพื่อหาช่องทางหนีไปให้พ้นจากวงล้อมของรุ่ยอ๋อง ทว่าทุกก้าวของนางกลับถูกอีกฝ่ายขวางไว้ราวกับอ่านท่าทีออกหมดสิ้น
"หม่อมฉัน... ขอประทานอนุญาตเพคะ" เสียงนางสั่นเครือแต่ยังรักษามารยาทสุดความสามารถ
"ช้าก่อน เจ้าจะรีบไปไหนกัน ข้าเป็นเจ้าภาพยังมิเห็นรีบร้อนเลย" เขาโน้มใบหน้าลงมาหานาง สุรเสียงอ่อนโยนทว่าแฝงแววข่มขู่เบาบางเหมือนเช่นแต่ก่อนไม่มีผิด
ลั่วซินได้แต่ยืนนิ่ง พยายามคิดหาทางรอดให้ตนเอง แต่ก็เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทัน เขาจึงยื่นมือออกมารั้งแขนนางให้นั่งลงบนแท่นหินเคียงข้าง ท่ามกลางความอึดอัดใจและหัวใจที่เต้นรัวเร็ว
"ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวข้าถึงเพียงนี้ ข้าไม่ทำอันใดเจ้า" เขาเอ่ยเสียงเบา ดวงตาคู่นั้นแม้คล้ายจะอ่อนโยนแต่กลับเหมือนอ่านความลับในใจนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ลั่วซินเผลอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา พลันใจดวงน้อยก็เต้นแรงขึ้น ความรู้สึกเก่าก่อนกำลังประเดประดังเข้ามาอีกแล้ว
‘ไม่นะรั่วซี เจ้าจะใจอ่อนให้คนผู้นี้อีกนี้ไม่ได้’ เสียงเตือนตนเองดังก้องในใจ นางกำนัลภาวนาให้มีใครสักคนผ่านมาเห็น แล้วช่วยพานางออกไปจากตรงนี้เสีย
เหตุใดกัน การหลีกหนีของนาง ถึงเป็นการพาตนเข้าใกล้เขาขึ้นไปอีก ในอดีต...สถานที่นี้มิใช่ที่แรกที่ทั้งคู่พบกัน
เพราะลั่วซินในชาติภพก่อน นางพยายามทำตัวเด่นเพื่อให้ตนเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน และมันก็ได้ผลดีนัก
ในยามนั้นมีคุณชายสูงศักดิ์มากมายเข้าหานาง รวมถึงอ๋องในราชวงศ์และอ๋องต่างแซ่ที่อยู่ในงานเลี้ยง คนเหล่านี้ต่างก็ให้ความสนใจนางเป็นอย่างมาก เสียก็แต่โม่ลั่วซินในชาติก่อนหน้ามืดตามัวเกินไป ดันหลงรักบุรุษชั่วผู้นี้ตั้งแต่แรกเห็น
ทว่าคราวนี้นางจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้นแล้ว
“คิดสิ่งใดอยู่หรือ เงียบเชียว” จิ่งเทียนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ และยังเผยยิ้มอ่อนตามมา นำพาใจดวงน้อยเริ่มสั่นสะท้านอีกครั้ง
“ถะ…ถอยออกไปเพคะ” นางรีบขยับหนี
“หึหึ กลัวข้าเพียงนี้เชียว”
“ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดเพคะ”
“แต่ข้าอยากใกล้ชิดเจ้านี่” อีกฝ่ายตอบหน้าตาย พร้อมกับใช้สายตาอ่อนโยนมองนางราวกับคนรักกัน
ทว่าเสี้ยวหนึ่งในใจลั่วซินกลับรู้สึกหนาวเย็น ความทรงจำที่เขาเคยทำกับนางมันยังคงตามหลอกหลอนในจิตใจ รอยยิ้มและน้ำเสียงของเขาแม้จะดูนุ่มนวล แต่ภายใต้เปลือกอันสงบเย็นนี้กลับซ่อนคมหนามไว้คอยกรีดใจนาง ลั่วซินไม่มีวันลืมได้ว่า วันหนึ่งชายผู้นี้เคยเป็นคนดับลมหายใจนางมาก่อน
ความขมขื่นและหวาดระแวงเกาะกุมหัวใจ ลั่วซินขืนตัวเล็กน้อย สีหน้าของนางดูสงบกว่าความเป็นจริงมาก
“ขอท่านอ๋องทรงรักษาเกียรติของพระองค์ด้วยเพคะ หากมิมีธุระสำคัญอันใด หม่อมฉันขอตัวนะเพคะ” สิ้นคำ ร่างอรชรก็รีบลุกแล้วยอบกายลงอย่างอ่อนน้อม
รุ่ยอ๋องเงียบไปชั่วครู่ คล้ายจะค้นหาคำพูดที่เหมาะสม ดวงตาดำลึกจับจ้องใบหน้าอันเยือกเย็นของสตรีตรงหน้า ราวกับต้องการค้นหาความจริง “เจ้ารังเกียจข้าหรือ” เขากล่าวเบา ๆ ตามด้วยถ้อยคำตัดพ้อ “เหตุใดสายตาเจ้าจึงมีแต่ความระแวง”
ลั่วซินหลุบตาลงต่ำและไม่ยอมตอบโต้ถ้อยคำเขา ปล่อยให้เขาคิดไปเช่นนี้ก็น่าจะดี ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเลิกยุ่งกับนางก็ได้
สายลมเย็นเริ่มพัดผ่าน เส้นผมบางส่วนปลิวไหวเคลียแก้มเบา ๆ ลั่วซินยังคงยืนนิ่งราวกับรูปแกะสลัก
ในขณะที่รุ่ยอ๋องยังคงเพ่งพิศนางอย่างค้นหาเงื่อนงำในใจ ท่าทีของเขาดูเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ทว่าอดีตที่เคยจารึกไว้ด้วยเลือดมันไม่อาจลบเลือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพียงชั่วครู่
“หม่อมฉันเป็นเพียงบุตรอนุ มิคู่ควรให้รุ่ยอ๋องใส่ใจเพคะ” เอ่ยจบ ร่างเล็กก็ขยับก้าวถอยหลัง ก่อนจะหมุนตัวหมายจะเดินออกมา ทว่าผู้ที่นั่งอยู่กลับลุกพรวดมากอดรั้งนางไว้
“นี่มันอะไรกัน! รุ่ยอ๋อง เหตุใดพระองค์จึงทำเช่นนี้กับบุตรสาวของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” โม่จางเหลียนแผดเสียงลั่นสวน
“ก็อย่างที่เห็น” จิ่งเทียนตอบหน้าตาย อ้อมแขนที่กอดรัดร่างเล็กก็ไม่ยอมคลายออก แม้ลั่วซินจะพยายามดิ้นหนีก็ตาม
“ท่านพ่อ” หญิงสาวร้องเรียกอย่างตื่นกลัว แม้จะรู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้ามันถูกใจบิดาเพียงใด ถึงกระนั้น…นางก็ยังหวังว่าบุพการีจะช่วยเหลือตนให้รอดพ้นจากเงื้อมือมารร้ายผู้นี้
“ข้ายินดีจะรับผิดชอบ รองเจ้ากรมโม่ยื่นข้อเสนอได้เลย”
“ท่านอ๋องทรงตรัสเช่นนี้ก็หมายความว่า”
“หึ! เจ้าพาบุตรสาวมางานนี้ ก็เพื่อหาสามีให้นางมิใช่หรือ ฐานะข้า ไม่พอเป็นเขยสกุลโม่หรืออย่างไร” จิ่งเทียนเอ่ยตามจริง ก่อนจะคลายอ้อมแขนออก ทว่ามือนั้นกลับเลื่อนมากุมมือเล็กเอาไว้ แม้นางจะพยายามแกะมันออกเขาก็ไม่ยอมปล่อย
“หากท่านอ๋องยินดีจะรับซินเอ๋อร์ไว้ ก็ถือว่าเป็นเกียรติแก่ตระกูลโม่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” โม่จางเหลียนกล่าวอย่างปลื้มปีติ
“ไม่! ลูกไม่ยินดีเป็นอนุผู้ใด” ลั่วซินต่อต้านทันที นางรู้ดีว่าอดีตสามีไม่มีทางให้ฐานะเมียเอกกับนางแน่ เพราะตำแหน่งนี้เขาเก็บไว้ให้บุตรสาวเสนาขวามาตั้งแต่แรก
“แล้วใครบอกเจ้าหรือว่าข้าจะแต่งเจ้าเป็นอนุ” สิ้นสุรเสียงรุ่ยอ๋อง สองพ่อลูกก็ยื่นนิ่งงั้นไม่ต่างจากรูปปั้น
“ทะ…ท่านอ๋อง มะ…หมายความว่าพระองค์จะอภิเษกบุตรสาวกระหม่อมเป็นพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ” โม่จางเหลียนถึงกับเอ่ยเสียงติดขัด และเมื่อได้คำตอบยืนยันเขาก็ยิ้มกว้าง
“ใช่ ข้าจะแต่งบุตรสาวเจ้าเป็นชายา” สุรเสียงรุ่ยอ๋องหนักแน่นนัก แววตาที่เผยออกมาก็มั่นคงดุจขุนเขา
“ทรงเล่นสนุกพอหรือยังเพคะ” รั่วซินตำหนิอย่างเหลืออด การกระทำเขามันเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่อยากได้อะไรก็ต้องได้
“ซินเอ๋อร์อย่าเสียมารยาทกับท่านอ๋อง” โม่จางเหลียนรีบดุ
“ใต้เท้าโม่ อย่าได้ตำหนิว่าที่พระชายาข้า” จิ่งเทียนหันมาทำตาดุใส่ว่าที่พ่อตา ประหนึ่งว่าเขารักบุตรสาวอีกฝ่ายนักหนา
“กระหม่อมรู้ผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” โม่จางเหลียนรีบก้มหน้าลง ทว่าภายใต้ท่าทางสำนึกผิดนี้ กลับแฝงด้วยความพอใจอย่างเต็มเปี่ยม ความต้องการของเขาบรรลุเป้าหมายเกินคาด จะไม่ให้รู้สึกเป็นสุขได้อย่างไร บุตรสาวคนเล็กได้เป็นถึงพระชายาเชียวนะ ภายหน้า พวกขุนนางในท้องพระโรง คงไม่มีใครกล้าดูถูกตระกูลเขาอีกแล้ว ช่างเป็นวาสนาของตระกูลโม่โดยแท้
ทว่าคนที่ถูกมัดมือชก กลับยืนนิ่งไม่ไหวติง
“แต่หม่อมฉันไม่ยินดีเพคะ” รั่วซีรีบคัดค้าน
“ทำเรื่องงามหน้าถึงเพียงนี้ เจ้ายังคิดจะต่อต้านอีกหรือ” โม่จางเหลียนตำหนิบุตรสาวอย่างลืมตัว เขาเกรงจะทำให้รุ่ยอ๋องขัดเคืองพระทัยจนยกเลิกคำพูดเมื่อครู่ “ท่านอ๋องอย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ เอาไว้กลับจวนแล้ว กระหม่อมจะอบรมนางให้ดี ภายหน้าจะได้ไม่แสดงกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์อีก”
“ไม่ต้อง อย่างนี้แหละข้าชอบ” รุ่ยอ๋องเผยยิ้มมุมปากใส่นาง ก่อนจะตรัสขึ้นอีกว่า “ไปเถิด ได้เวลาฉลองแล้ว”
‘หลี่จิ่งเทียน นี่ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ ไยต้องมาวอแวกับข้าไม่รู้จบสิ้น’ รั่วซีตะโกนถามอีกฝ่ายในใจ
หลัวชั่วปรากฎตัวแล้ว เชิญหยุมค่ะ 55
sds
